อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 237 ผมภูมิใจในตัวเธอมาก
ตอนที่ 237 ผมภูมิใจในตัวเธอมาก
ลู่จือฉินหันมองมู่เถาเยา
มู่เถาเยายิ้มพูด “อาจารย์สาม นี่เจียงเฟิงเหมียนค่ะ ลูกสาวของอาจารย์อาเล็กเจียงเฉา”
เจียงเฟิงเหมียนพยักหน้าทั้งน้ำตา
ลู่จือฉินปวดใจเล็กน้อย แต่กลับอยากยิ้มอย่างบอกไม่ถูก
กู่ย่าจูงอาจารย์อาเล็กเดินไปตรงหน้าหมอลู่ ยิ้มพูดอย่างอ่อนโยน “จือฉิน ฉันคือกู่ย่า แม่ของเสี่ยว เหมียน ยินดีต้อนรับกลับมานะ”
“ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”
ลู่จือฉินจิตใจเข้มแข็ง ยอมรับได้
แม้จะไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากเจอพี่ชายของร่างนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการรับมิตรไมตรีที่มาจากอีกฝ่าย
โชคดีมากที่พี่ชายคนนี้ถูกสำนักแพทย์แผนโบราณเก็บได้ ไม่ใช่ถูกคนประหลาดเลี้ยงดูมา มิฉะนั้นต่อให้เธอหาเจอแล้วก็ใช่ว่าจะอยากยอมรับ
ที่ตามหาก็เพื่อทำตามความปรารถนาในชาติที่แล้ว ส่วนยอมรับ คงต้องให้ความรู้สึกของในชาตินี้นำพา
อาจารย์อาเล็กกลับดูทำตัวไม่ถูกเมื่อเทียบกับลู่จือฉิน
กู่ย่ามองสามี รู้สึกว่าเขาเหมือนลูกเขยที่ถูกพามาเจอญาติๆ เป็นครั้งแรก จึงอดขำไม่ได้
แต่ก็ไม่มีใครกดดันเขา
อย่างไรเสียก็ไร้ญาติมาตั้งห้าสิบปี อีกทั้งไม่มีความทรงจำอะไรเลย
น้องสาวที่อยู่ๆ ก็โผล่มาคนนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกหวย ไม่กล้าเชื่อ
มู่เถาเยามองอาจารย์อาเล็ก จากนั้นก็หันไปพูดกับหยวนเหยี่ยและซย่าโหวโซ่ว “อาจารย์ใหญ่ อาจารย์เล็กคะ หนูฝากตัวเป็นศิษย์กับหมอลู่แล้วค่ะ”
หยวนเหยี่ยพยักหน้า “ได้ วันนี้เย็นแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยคำนับเป็นทางการแล้วกัน”
ตอนเขารับเสี่ยวเยาเยาเข้าสำนัก เสี่ยวเยาเยายังเป็นแค่เด็กทารก รอจนเธอพูดได้เดินได้แล้วถึงทำพิธีคำนับอาจารย์อย่างเป็นทางการ
ซย่าโหวโซ่วรับเสี่ยวเยาเยาเป็นลูกศิษย์ก็มีพิธีคำนับเหมือนกัน
ดังนั้นอาจารย์สามคนนี้ก็ต้องมีพิธีคำนับเช่นกัน
หยวนเหยี่ยพูดจบซย่าโหวโซ่วก็พยักหน้าทันที
พวกเขาย่อมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว และก็ไม่มีทางถามถึงสาเหตุ
ข้อแรกเป็นเพราะลูกศิษย์คนเล็กเป็นเด็กดี ข้อสองเป็นเพราะมีคนมาสอนเสี่ยวเยาเยาเพิ่มขึ้น เอ็นดูเสี่ยวเยาเยา นี่เป็นเรื่องดี
พวกเขาไม่มีอะไรใหม่ๆ จะสอนลูกศิษย์คนเล็กแล้ว
ย่าตี้ยิ้มพูด “เสี่ยวเยาเยา พวกเรากินข้าวกันก่อนดีไหม อาจารย์สามของหนูอยู่เขตป่าชั้นในตั้งนาน คงไม่ได้กินข้าวร้อนๆ…”
เป่ยซี “นั่นสิ พวกเรากินข้าวกันก่อน”
ไม่ว่าจะอาจารย์สาม ลูกสาวของเธอกับอา ก็น่าจะหิวกันแล้ว
ลู่จือฉินยิ้มถาม “เย็นขนาดนี้แล้วยังไม่กินข้าวกันอีกเหรอคะ”
อาจารย์แม่เล็ก “พวกเราดื่มชาตอนบ่ายกันไปเลยไม่หิว แต่พวกเธอใช้กำลังกันไปมากน่าจะหิวกันแล้ว”
ลู่จือฉิน “ฉันกับเย่ว์เลี่ยง เสี่ยวเยาเยา กินลูกท้อน้ำผึ้งที่หนักเกือบหนึ่งกิโลกันไปคนละผลเลยไม่หิวเท่าไรค่ะ”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นจือฉินไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน ร่างกายสดชื่นแล้วค่อยมากินข้าวดีไหม”
ลู่จือฉินพยักหน้า
เนื้อตัวเธอสกปรก ต่อให้คนอื่นไม่รังเกียจ แต่เธอก็เกรงใจไม่กล้าไปนั่งในโต๊ะอาหาร
เย่ว์เลี่ยง “เสี่ยวเยาเยา พาอาจารย์สามไปอาบน้ำที่ห้องของหลานสิ”
“ค่ะ”
“หนูไปด้วยค่ะ” เจียงเฟิงเหมียนเปลี่ยนจากกอดเป็นคล้องแขน
กู่ย่าแกะลูกสาวออก
“เสี่ยวเหมียน อาของลูกไม่หนีไปไหนหรอก ลูกไปข้างบนด้วยคนอื่นจะคิดว่าลูกไปเร่งอานะ”
เจียงเฟิงเหมียนหันมองลู่จือฉิน “หนูเปล่านะคะคุณอา”
ใบหน้าสะสวยที่มีน้ำตาคลอมีสีหน้าน้อยใจ
ลู่จือฉินลูบผมยาวของเจียงเฟิงเหมียนแล้วยิ้มพูด “เสี่ยวเหมียนกินท้อน้ำผึ้งอยู่กับทุกคนที่ข้างล่างก่อนนะ เดี๋ยวพวกเราก็ลงมาแล้ว”
เจียงเฟิงเหมียนถึงได้ปล่อยมือ
มู่เถาเยาพาลู่จือฉินไปห้องเก็บของหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่ แปรงสีฟันและแก้วน้ำ จากนั้นถึงพาขึ้นห้องตัวเอง
เนื่องจากที่นี่มีแขกมาพักบ่อย จึงมีของใช้ในชีวิตประจำวันเตรียมไว้ตลอด
เดิมทีหมู่บ้านเถาหยวนก็ผลิตพวกของใช้สำหรับอาบน้ำกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีทางขาดแคลนของพวกนี้
แต่มู่เถาเยาก็ไม่ได้หยิบของเหล่านี้ เพราะเธอไม่ถือสาที่จะใช้ร่วมกับอาจารย์
“อาจารย์คะ หนูเตรียมชุดออกกำลังกายวางไว้ให้ที่หัวเตียง พวกชุดชั้นในเป็นของใหม่ค่ะ”
เธอสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสอง ลู่จือฉินสูงหนึ่งร้อยหกสิบสอง ต่างกันสิบเซนติเมตร ให้ใส่ชุดอื่นคงใส่ด้วยกันไม่ได้
แต่น้ำหนักพอกัน ชุดชั้นในพอใส่กันได้
“อืม เสี่ยวเยาเยาลงไปก่อนเถอะ”
“อาจารย์ไม่ต้องรีบนะคะ คนข้างล่างสนิทกันทั้งนั้น รอนานก็ไม่มีทางมีใครไม่พอใจค่ะ”
“จ้ะ”
“งั้นหนูลงไปแล้วนะคะ”
“อืม”
มู่เถาเยาลงมาจากห้อง เจ้าถุงลมน้อยวิ่งเข้าไปกอดขาทันที ทั้งยังยื่นลูกท้อที่ตัวเองกัดแล้วหลายคำให้
“พี่สาวกินแล้ว อันเหยี่ยกินเถอะจ้ะ”
“หวาน!”
“อืม หวานมาก อันเหยี่ยชอบพรุ่งนี้ก็กินอีกนะ”
“ฮะ”
มู่เถาเยาอุ้มเขาขึ้นมาแล้วเดินไปตรงหน้าอาจารย์อาเล็ก
“เสี่ยวเยาเยา…”
“อาจารย์อาเล็กคะ พรุ่งนี้พวกเรากลับเย่ว์ตูไปตรวจดีเอ็นเอกันค่ะ”
“เสี่ยวเยาเยา…หมอลู่จะไม่พอใจหรือเปล่า จะคิดว่าอาจารย์ไม่อยากยอมรับไหม”
“ไม่หรอกค่ะ อาจารย์สามก็คงอยากตรวจเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากยอมรับ ก็แค่…”
มู่เถาเยาอธิบายเหตุผลเป็นพรวน
เธอค่อนข้างรู้จักอาจารย์ของตัวเองดี จึงพูดกับอาจารย์อาเล็กอย่างเปิดใจ
“ได้ งั้นหมอลู่จะกลับเย่ว์ตูพร้อมพวกเราใช่ไหม”
มู่เถาเยาพยักหน้า
“พรุ่งนี้หลังจากหนูฝังเข็มให้ตี้อู๋เปียนเสร็จค่อยหารือกับอาจารย์ใหญ่อาจารย์สาม ดูว่าพอจะมีวิธีอื่นอีกไหม วิชาฝังเข็มของอาจารย์สามล้ำเลิศมาก ใช้พิษก็เก่งค่ะ”
ปู่ทวดถัง “เสี่ยวเยาเยา หมอลู่เรียนมาจากไหนเหรอ หากว่ากันด้วยเรื่องพิษ ถ้าตระกูลถังบอกเป็นรองก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่ง แต่ก็ย่อมมีคนที่เหนือกว่าอยู่แล้ว…บนโลกนี้มักมีคนเก่งที่ไม่สนเรื่องชื่อเสียง…”
ทุกคนพอเข้าใจได้
“ปู่ทวดคะ อาจารย์สามบอกว่าเธอเคยได้รับคำชี้แนะจากคนมีวิชาสูงส่งเมื่อสมัยเธอเด็กๆ ค่ะ…”
มู่เถาเยาเล่าประสบการณ์เมื่อชาติที่แล้วของลู่จือฉินให้ทุกคนฟัง
ไม่มีใครสงสัยแม้แต่น้อยยกเว้นตี้อู๋เปียน
มู่เถาเยาก็ไม่กลัวตี้อู๋เปียนสงสัย อย่างไรเสียต่อให้เขาเก่งแค่ไหนก็สืบไม่ได้ อย่างมากก็แค่คิดว่าเธอโกหก
“ปู่อยู่ในสำนักตระกูลถังมานานจนไม่รู้ว่าคนข้างนอกเก่งไปถึงไหนแล้ว”
ปู่ทวดถังในเวลานี้ยิ่งรู้สึกว่าถังถังเหลนสาวของเขาออกไปทำงานข้างนอกก็ถูกแล้ว ถ้าเอาแต่หมกตัวอยู่ในสำนักตระกูลถังจะเจริญก้าวหน้าได้ยังไง
“ปู่ทวดถ่อมตัวเกินไปแล้วค่ะ บนโลกนี้ไม่มีใครสู้ปู่ทวดเรื่องพิษได้เลยค่ะ”
ปู่ทวดถังยิ้มพูด “เสี่ยวเยาเยา ปู่อายุปูนนี้แล้ว ถ้าหนุ่มสาวยังมาเทียบชั้นได้ แบบนั้นก็เท่ากับเสียเวลาเปล่ามาทั้งชีวิต”
หยวนเหยี่ย “ลุงถัง ขนาดลูกศิษย์ของผมยังเก่งกว่าผมเลย ผมภูมิใจมาก”
ซย่าโหวโซ่วพยักหน้าเห็นด้วย
ปู่ทวดถัง “ถ้าเสี่ยวเยาเยาเป็นลูกศิษย์ของผม ผมก็ภูมิใจเหมือนกัน”
ถ้าบอกว่าไม่อิจฉาคงโกหก
“ปู่ทวดคะ พี่ถังถังก็ไม่ด้อยไปกว่าหนู เธอเองก็เตรียมพักเรื่องงานไว้แล้วตั้งใจเรียนก่อนค่ะ”
คราวนี้ปู่ทวดถังยิ้มออกแล้ว
นั่นสินะ เขายังมีเหลนสาวที่พรสวรรค์สูงอยู่อีกคน เป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลถังได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงโมโหพวกลูกหลานที่ไม่เอาไหนตายไปนานแล้ว
อืม นับแต่นี้เป็นต้นไป เขาต้องเตรียมหาเหลนเขยที่เพียบพร้อมให้เหลนสาวแล้ว
“เอ๊ะ ศาสตราจารย์จินไม่อยู่เหรอคะ”
มู่เถาเยาจัดให้ศาสตราจารย์จินพักที่บ้านของมู่ซือจิ่น
“ซาลาเปาน้อย ศาสตราจารย์จินโทรมาบอกฉันว่าไม่มา เขาจะกินข้าวที่บ้านซือจิ่น”
ในที่สุดตี้อู๋เปียนก็หาโอกาสคุยกับมู่เถาเยาได้แล้ว
“อ่อ”
มู่เถาเยาพอจะจินตนาการภาพศาสตราจารย์จินหมกมุ่นจนลืมกินข้าวได้
เธอวางเจ้าถุงลมน้อยลงแล้วเดินไปนั่งข้างเป่ยซี จับชีพจรให้
หลังจากจับชีพจรข้อมือทั้งสองข้างเสร็จเย่ว์จือเหิงก็ถาม “เสี่ยวเยาเยา คุณแม่เป็นยังไงบ้าง”
ใช่ว่าสองพี่น้องจะไม่เชื่อในฝีมือของหยวนเหยี่ย ก็แค่มาจากความเป็นห่วงและความกตัญญูของลูกๆ
ก็เหมือนกับแม่คนหนึ่งที่รู้ทั้งรู้ว่าลูกๆ ไปทำงานข้างนอกได้เก่งมาก แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้
แม้จะได้เห็นกับตาก็ยังคงเป็นห่วงว่าตอนลูกๆ ทำงานจะประสบกับปัญหานั้นปัญหานี้…
“อาหารบำรุงที่อาจารย์ใหญ่จัดให้คุณแม่ได้ผลดีมาก พี่ใหญ่วางใจได้ค่ะ ขอแค่คุณแม่ทำใจให้สบาย ร่างกายก็จะดีวันดีคืน”
ผมยาวสีขาวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทาแล้ว
หยวนเหยี่ยยิ้มพูด “สบายใจได้ อีกระยะหนึ่งแม่ของพวกเธอก็หายสนิท”
ทุกคนต่างมีสีหน้ายินดี