อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 281 เจ็บปวดใจเจียนตาย
ตอนที่ 281 เจ็บปวดใจเจียนตาย
เช้าวันต่อมา หลังกินอาหารเช้าเสร็จ มู่เถาเยาก็วาดรูปหญ้าร้อยรส หญ้าไป๋หลิง ดอกพันวัน และดอกจื่อตันให้เย่ว์หลั่ง
ภาพหญ้าพิษชีวิตกับดอกไม้สองชีวิตเคยให้เย่ว์เลี่ยงไปแล้ว
น่าเสียดายที่ตามหามาระยะหนึ่งแล้วก็ยังหาไม่เจอ
เดิมทีก็เป็นสมุนไพรในตำนาน ยังไม่แน่ว่าจะมี เธอจึงไม่ได้รู้สึกผิดหวังเท่าไร ทำได้เพียงให้นักเก็บสมุนไพรของตระกูลปาช่วยลองหาให้หน่อย
สถานที่ที่มีความอันตรายมากอย่างร่องน้ำลึก หน้าผา นักเก็บสมุนไพรทั่วไปเข้าไปไม่ถึง
จุดประสงค์ของมู่เถาเยากับลู่จือฉินในระยะนี้ก็คือสถานที่เหล่านี้
“พ่อคะ หญ้าร้อยรสกับดอกพันวันเป็นสมุนไพรสำคัญ ส่วนหญ้าไป๋หลิงกับดอกจื่อตันเป็นสมุนไพรเสริมค่ะ”
เธอยังได้พูดอธิบายลักษณะเด่นภายนอกของสมุนไพรเหล่านี้ รวมถึงสรรพคุณของมันอย่างละเอียด
เย่ว์หลั่งรับรูปไปแล้วพูด “ได้ พ่อเข้าใจแล้ว”
ตี้อู๋เปียนแอบร้อนใจ
ทั้งๆ ที่เขารู้ว่าหญ้าร้อยรสกับดอกพันวันอยู่ที่ไหน แต่กลับพูดออกไปไม่ได้
“ซาลาเปาน้อย ฉันคิดว่าในป่าเซียนโหยวน่าจะมี ยังไงซะมันก็เป็นป่าดงดิบที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ยังมีพืชพรรณที่ไม่ทราบชนิดอีกหนึ่งในห้า”
“มีความเป็นไปได้สูงที่ป่าเซียนโหยวจะมี แต่เพราะพื้นที่ของมันกว้างขวางมาก ไม่มีใครรู้ว่าสมุนไพรที่พวกเราต้องการอยู่ที่ไหน ไม่มีทางที่จะตามหาได้ทุกซอกทุกมุม”
ถ้าไม่ติดว่าอันตรายเกินไปคงกระจายกำลังคนออกไปตามหาแล้ว
แต่ในความเป็นจริงคือ คนธรรมดาเข้าไปก็มีแต่ตายสถานเดียว
ตี้อู๋เปียน “ถึงมันจะเป็นแบบนั้น แต่ฉันคิดว่าไปทุ่มเทตามหาในป่าเซียนโหยวจะยิ่งมีความหวังกว่านะ”
“อืม พวกเราอยู่ที่เผ่าไปก่อนครึ่งเดือน ดูสถานการณ์แล้วค่อยกลับไป”
“ได้” ก็คงต้องเป็นแบบนี้แล้ว
คนตระกูลเย่ว์ก็ไม่ว่าอะไร อย่างไรเสียเรื่องตามหาสมุนไพรมาถอนพิษให้เหมียวอวี้ก็เกี่ยวพันถึงแก้วตาดวงใจของพวกเขา
ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงเรื่องการหายตัวไป หาตัวคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไม่พบ พวกเขาก็จะไม่สบายใจไปตลอด
จัดการปัญหาได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งสบายใจได้เร็วเท่านั้น
ยายหลานหยิบพวกรูปสมุนไพรมาจากมือของลูกเขย ตั้งใจดูทีละใบแล้วถามขึ้น “เสี่ยวเยาเยา ยายก็เป็นหมอ ทำไมไม่เคยได้ยินชื่อสมุนไพรพวกนี้เลยล่ะ”
“คุณยายคะ แต่ละวงการมีความเฉพาะทาง คนที่เรียนแพทย์แผนโบราณถึงจะรู้จักสมุนไพรดีที่สุด อาจารย์สามรู้เยอะกว่าหนูอีกค่ะ ฝังเข็มก็เก่งกว่าหนู”
มู่เถาเยารีบอวยอาจารย์ตัวเองต่อหน้าคนในครอบครัวอย่างแนบเนียน
เธอรู้สึกได้ว่าคนตระกูลเย่ว์ยังดูระแวงอาจารย์อยู่บ้าง
และก็จงใจแสดงให้อาจารย์ของเธอเห็นว่าที่นี่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่สมบูรณ์แบบ ขาดก็แค่ไม่ได้พูดเตือนอย่างโจ่งแจ้งว่า ‘อย่าคิดไม่ดีเป็นอันขาด มิฉะนั้นต่อให้วรยุทธสูงส่งแค่ไหนก็ไม่มีทางรอดไปจากตำหนักพระจันทร์ได้’
นี่คือการปกป้องที่ตระกูลเย่ว์ทำเพื่อเธอ
เพราะไม่ว่าจะในสายตาใครก็ตาม เธอกับอาจารย์สามก็เป็นเพียงคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน ไม่เหมือนชาวบ้านหมู่บ้านเถาหยวนซานที่เห็นเธอมาตั้งแต่เด็กๆ
ต่อให้มีอาจารย์อาเล็กเป็นพี่ชาย พวกเขาก็ไม่ได้ไว้ใจอาจารย์สามมากนัก อย่างไรเสียนี่ก็น้องสาวที่เพิ่งยอมรับกันไม่นาน
ต่อให้สืบประวัติของอาจารย์สามแล้วหลายครั้งก็ไม่อาจทำให้พวกเขาวางใจได้อย่างสิ้นเชิง
มู่เถาเยาเข้าใจคนตระกูลเย่ว์
นี่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ อาจารย์ของเธอก็เข้าใจ
หากตัวเองเป็นอีกฝ่าย อาจารย์ก็ปกป้องเธอแบบนี้เหมือนกัน
ลู่จือฉินยิ้มพลางลูบศีรษะลูกศิษย์ของตัวเอง “เธอเก่งเกินคนเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์บนโลกแล้ว อาจารย์ภูมิใจในตัวเธอ หมอเทวดาหยวนกับเจ้าสำนักซย่าโหวสอนเธอมาดีมาก”
คำพูดนี้ชมให้คนตระกูลเย่ว์ฟัง
แน่นอนว่าก็เป็นความรู้สึกจากใจเธอเช่นกัน
เมื่อชาติก่อนเสี่ยวเยาเยาไม่ใช่แบบนี้ ในความเป็นจริงก็ไม่อนุญาตให้เป็นแบบนี้
ชาตินี้อยู่ในยุคที่บ้านเมืองสงบสุข ไม่มีภาระผูกพันติดตัว หมอเทวดาหยวน เจ้าสำนักซย่าโหว และคนในหมู่บ้านเถาหยวนซานจึงมีอิทธิพลต่อเธอมาก
มู่เถาเยายิ้มมุมปากเอาศีรษะคลอเคลียมือของลู่จือฉินที่ลูบหัวเธอ
เย่ว์หลั่งอิจฉาขึ้นมาทันที
ลูกรักของเขายังไม่เคยออดอ้อนเขาแบบนี้เลยนะ!
เขารู้ว่าพวกเขาเทียบกับอาจารย์หยวนอาจารย์ซย่าโหวที่เลี้ยงเธอมาจนโตไม่ได้ แต่อาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าคนนี้เห็นๆ อยู่ว่ามาทีหลัง! เพิ่งมาใกล้ชิดลูกสาวสุดที่รักของเขาได้ไม่นาน!
มีสิทธิ์อะไร!
พ่ออยากร้องไห้
พี่น้องตระกูลเย่ว์ก็รู้สึกเหมือนกินบอระเพ็ดไปทั้งต้น เจ็บปวดขมขื่นไม่แพ้กัน
บรรดาผู้อาวุโสกลับยิ้มตาหยีมองท่าทางของอาจารย์กับลูกศิษย์คู่นี้
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เจ็บปวด แต่รู้ดีว่าเรื่องของหลานสาวก็คงต้องปล่อยตามใจหลานไป เช่น อยากจะใกล้ชิดใคร อยากห่างเหินกับใคร
พวกเขาไม่เคยเลี้ยงดูแม้แต่วันเดียว ไม่มีสิทธิ์ไปอิจฉา
เย่ว์เลี่ยงดูนิ่งที่สุด เพราะพวกเธอสามคนคือพวกเดียวกัน
อวิ๋นไป๋เอาโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปสมุนไพรไว้ ยิ้มพูด “หลานน้า น้าจะช่วยดูข่าวจากทางงานประมูลให้นะ”
“ขอบคุณค่ะน้าเล็กอวิ๋น”
“ตอนบ่ายน้าไปบ้านครอบครัวเหมียวเป็นเพื่อนนะ” เขาก็ถือเป็นคนแปลกหน้าสำหรับคนครอบครัวเหมียวเหมือนกัน
“น้าเล็กไม่พาตี้อู๋เปียนไปเที่ยวแล้วเหรอคะ”
“อู๋เปียนยังมีเวลาอีกเยอะ ปล่อยอยู่บ้านคุยเป็นเพื่อนผู้อาวุโสไปก่อน ไว้สุดสัปดาห์ฝังเข็มเสร็จน้าค่อยพาออกไปเที่ยว”
ตี้อู๋เปียนก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวไหน เขามาที่นี่ด้วยก็ไม่ได้เพื่อมาเที่ยว เขาจึงไม่อะไรกับโปรแกรมที่น้าเล็กอวิ๋นจัดให้
“ซาลาเปาน้อย เธอวาดภาพได้สมจริงมาก ราวกับมันมีชีวิต” ขาดก็แค่พวกรายละเอียดอย่างเส้นขนเล็กๆ ที่ไม่ได้วาดออกมา
คนอื่นๆ ต่างพยักหน้า
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมน “ฉันเรียนวาดภาพตั้งแต่เด็ก อาจารย์ใหญ่กับอาจารย์รองหาอาจารย์มาสอนฉันมากมายนับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเงินเก็บทั้งชีวิตของอาจารย์ทั้งสองเอามาใช้กับฉันหมด”
เธอจึงให้เงินพวกอาจารย์ทุกเดือนเหมือนให้ค่าขนม เก็บเป็นเงินเกษียณก้อนใหญ่เผื่อไว้ใช้
ตอนนี้บัญชีส่วนตัวของพวกอาจารย์มีเงินเก็บเป็นร้อยกว่าเท่าของเงินที่พวกเขาหามาทั้งชีวิตแล้ว
คนตระกูลเย่ว์กับตระกูลเป่ยพอได้ยินมู่เถาเยาพูดแบบนี้ก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของอาจารย์ทั้งสอง
มีแค่เย่ว์เลี่ยงกับลู่จือฉินที่รู้ว่า เสี่ยวเยาเยาเรียนมาก็จริง แต่ระยะเวลาไม่ได้นาน หลักๆ เป็นเพราะมีพื้นฐานจากชาติก่อน บวกกับเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว
แต่พวกเธอก็รู้สึกซาบซึ้งที่อาจารย์ทั้งสองทุ่มเทให้แก้วตาดวงใจของพวกเธออย่างหมดใจ