อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร - ตอนที่ 365 ไม่ใช่ปลานำโชคเสียหน่อย
ตอนที่ 365 ไม่ใช่ปลานำโชคเสียหน่อย
วันจันทร์ ลู่จือฉิน เป่ยซี เหล่าผู้อาวุโส ย่าลู่ รวมถึงสองเทาน้อยได้กลับถึงเมืองเย่ว์ตู
วันอังคาร ย่าลู่ปฏิเสธมู่เถาเยาที่จะให้คนไปส่งเธอที่บ้านหลังเก่า แค่ขอให้ไปส่งที่สนามบินพอ
วันพุธ เดิมทีลู่จือฉินอยากย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่ซื้อจากอาจารย์หลี่ แต่มู่เถาเยาไม่เห็นด้วย เลยต้องพักอาศัยด้วยกันไปก่อน
วันพฤหัสบดี บรรดาศิษย์พี่จากสำนักแพทย์โบราณมาตำหนักพระจันทร์เพื่อกินข้าวกับเหล่าผู้อาวุโสและเป่ยซี
วันศุกร์ มู่เถาเยา ลู่จือฉิน คนตระกูลเย่ว์ ปาอิน ถังถัง อาจารย์อาเล็ก ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หกกับภรรยา และยังมีสองเทาน้อย ต่างกลับหมู่บ้านเถาหยวนด้วยกัน
วันเสาร์ สองศิษย์กับอาจารย์ไม่ไปไหนทั้งนั้น ร่วมหารือกับหยวนเหยี่ย ปู่ทวดถัง ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หก เรื่องหาสมุนไพรมาแทนที่หญ้าร้อยรส
ตี้อู๋เปียนฟังแล้วก็ร้อนใจ อยากตะโกนบอกทุกคนเหลือเกินว่าเขารู้ว่าหญ้าร้อยรสอยู่ที่ไหน!
หลังกินอาหารเย็นเสร็จเขาจึงพามู่เถาเยาไปคุยที่สวนด้านหลัง
“ซาลาเปาน้อย ฉันฟังพวกเธอคุยกันเรื่องหาสมุนไพรทดแทนมันดูซับซ้อนมากเลยนะ ดีไม่ดีเอามาผสมกันแบบนี้จะกลายเป็นพิษชนิดใหม่…”
“ฉันรู้ แต่ถ้ามีความหวังก็น่าลองดู”
“…ซาลาเปาน้อย เหมียวอวี้ยังเหลือเวลาอีกเท่าไร”
“อย่างช้าไม่เกินสองเดือน นานกว่านั้นก็จนปัญญาแล้วจริงๆ”
“งั้นรอเธอปิดเทอมหน้าหนาวพาฉันเข้าเขตป่าชั้นในหน่อย ฉันจะช่วยเธอตามหาหญ้าร้อยรส”
“ตี้อู๋เปียน ขนาดฉันกับอาจารย์สามที่ฝีมือต่อสู้ดีแถมยังรอบรู้เรื่องสมุนไพรยังหาไม่เจอ คุณจะหายังไง”
“…ซาลาเปาน้อย ฉันดวงดี เชื่อฉันนะ”
มู่เถาเยา “…” เรื่องดวงจะให้เชื่อยังไงดี
เขาไม่ใช่ปลามงคล และก็ไม่ใช่สัตว์วิเศษที่ตามหาสมุนไพรได้
“…ซาลาเปาน้อย นับตั้งแต่มาอยู่หมู่บ้านเถาหยวนร่างกายของฉันก็ดีขึ้นมาก นี่เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนไม่กล้าคิดเลยนะ หรือจะเถียงว่ามันไม่ใช่เพราะดวงดี”
มู่เถาเยาพูดอย่างจริงจัง “ไม่ใช่ นี่คือผลลัพธ์จากความพยายามของฉัน”
“…แต่ถ้าไม่ใช่เพราะฉันดวงดีก็คงไม่ได้เจอเธอ จะทำให้เธอใช้ความพยายามจนมีผลลัพธ์ได้ยังไง”
“นี่ไม่ใช่ดวงดี แต่เป็นวาสนาระหว่างคนเรา”
ตี้อู๋เปียนดีใจ ที่แท้ซาลาเปาน้อยก็คิดเหมือนกันว่าพวกเรามีวาสนาต่อกัน!
“ย่าตี้กับอาจารย์ใหญ่ของฉันมีวาสนาต่อกัน เลยทำให้นายมีวาสนาได้รักษา”
“…”
ดีใจยังไม่ถึงสองวิเลย!
“…ซาลาเปาน้อย ไม่งั้นเธอลองเด็ดใบของเสี่ยวฉยงมาศึกษาดูไหม”
ดอกฉยงฮวา “!”
มู่เถาเยายื่นมือออกไปลูบใบของดอกฉยงฮวา
ดอกฉยงฮวาสั่นด้วยความกลัว
มู่เถาเยาอึ้ง
เธอรู้สึกไปเองหรือเปล่า
ตอนนี้ไม่มีลมพัด ดอกฉยงฮวาจะขยับได้ยังไง
เป็นเพราะเธอเสียสมาธิแน่ ถึงได้รู้สึกไปเอง
มู่เถาเยาดึงมือกลับ “เสี่ยวฉยงยังเล็กไป เพิ่งจะมีแค่สามใบ” หลักๆ คือเธอไม่คิดว่าเสี่ยวฉยงจะมีประโยชน์อะไร
ดอกฉยงฮวาดีใจ ส่ายลำต้น
มู่เถาเยารู้สึกว่าตัวเองตาฝาดอีกแล้ว
อืม น่าจะเพราะเธอนั่งยองนานเกินไป
ลุกขึ้นยืน ไปนั่งที่ชิงช้าตรงต้นลิ้นจี่ เว้นที่ไว้ครึ่งหนึ่งให้ตี้อู๋เปียน
ชิงช้าใหญ่มาก สองคนที่รูปร่างผอมนั่งด้วยกันยังมีที่เหลือเฟือ
“ซาลาเปาน้อย ไม่งั้นพรุ่งนี้เธอพาฉันเข้าเขตป่าชั้นในเถอะ ฉันจะแสดงความดวงดีของฉันให้ดู”
“พรุ่งนี้พวกเราวางแผนไว้ว่าจะไปเก็บสมุนไพรมาทำยาทดแทน ไม่ว่างดูคุณแสดงหรอก”
ตี้อู๋เปียน “…” รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวถ่วงยังไงไม่รู้
“ซาลาเปาน้อย ทำไมเธอไม่เชื่อฉันล่ะ”
“เรื่องที่ต้องอาศัยดวงแบบนี้จะให้เชื่อยังไง แต่เล็กจนโตเคยมีเหตุการณ์ที่คุณดวงดีด้วยเหรอ กลับ…”
ช่างเถอะ ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวเขาจะเสียใจ
ตี้อู๋เปียนอัดอั้นตันใจ
“งั้นเอาแบบนี้ พรุ่งนี้พวกเธออย่าเพิ่งรีบไปเก็บสมุนไพร รอฉัน ปู่หยวน อาจารย์สาม ปู่ทวดถังค้นคว้าอีกสักสองสามวัน อาจารย์สามเอาตำราแพทย์กลับมาจากบ้านครอบครัวเหมียวด้วยไม่ใช่เหรอ พวกเราอ่านให้จบก่อน ลองหาดูว่ามีวิธีที่ดีกว่านี้ไหม”
มู่เถาเยามองตี้อู๋เปียนด้วยสายตาเหมือนมองคนบื้อ
“…มีอะไรเหรอ”
“คุณดวงดีหรือเปล่าฉันไม่รู้ แต่ฉันว่าคุณดูโง่ลงนะ หรือเป็นเพราะชีวิตในหมู่บ้านเถาหยวนมันสงบสุขเกินไป สมองเลยไม่ค่อยได้ทำงาน”
ตี้อู๋เปียน “!”
ทำไมเขารู้สึกว่าซาลาเปาน้อยกำลังด่าเขาว่าสมองทึบ
“ตำราที่อาจารย์สามเอากลับมาเป็นของครอบครัวเหมียว เหมียวฉีอ่านจบแล้ว อาจารย์สามก็เคยปรึกษาเหมียวฉีเรื่องพิษฮ่วนเซี่ยง ถ้ามีหนทางอื่น เหมียวฉีจะไม่รู้ได้เหรอ”
และก็ไม่มีทางที่รู้แล้วแต่ไม่อยากบอก อย่างไรเสียก็ถึงขั้นให้ยืมหนังสือแล้ว
“…ฉันหมายความว่า พวกเรามีกันตั้งหลายคนน่าจะคิดค้นอะไรออกมาได้บ้าง ไม่อย่างนั้นตำราโบราณที่สืบทอดกันมาจะมีความหมายอะไร”
“ถึงแม้ของที่ตกทอดกันมาใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป แต่ตกทอดมาแล้วก็ย่อมมีความหมายในตัวเอง”
ตี้อู๋เปียน “…”
ซาลาเปาน้อยแน่ใจนะว่าไม่ได้กำลังเถียงข้างๆ คูๆ
“สามคนเดินมาย่อมมีอาจารย์ของเรา เหมียวฉีคนเดียวจะเก่งกว่าพวกเราที่มีกันตั้งหลายคนได้เหรอ”
มู่เถาเยาพยักหน้าเห็นด้วย “มันก็จริง”
เหมียวฉีเทียบกับพวกเขาไม่ติดเลยสักคน
เหมียวฉีมีพรสวรรค์แค่นิดเดียว อีกทั้งยังมีทรัพยากรที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ แถมยัง ‘สุดโต่ง’ ในทางไม่ดี ถึงได้คิดค้นสูตรยาประหลาดออกมา
แต่ก็ใช่ว่าเธอจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการปรับสูตรยาเล็กน้อยจะเกิดยาชนิดใหม่ขึ้นมาได้หรือเปล่า
ตอนนี้เธอถ่ายทอดพวกตำรับยาต่างๆ ให้ปาเฝ่ยไปแล้ว รอแค่นำไปตรวจสอบทีละรายการ
ตี้อู๋เปียน “ดังนั้น อย่าเพิ่งไปเก็บสมุนไพรดีกว่า รอศึกษาตำราโบราณพวกนั้นเสร็จค่อยว่ากัน อีกทั้งตำราก็ยืมมา ต้องเอาไปคืน”
มู่เถาเยาครุ่นคิด รู้สึกว่าที่ตี้อู๋เปียนพูดมาก็มีเหตุผล จึงเอ่ยขึ้น “งั้นฉันให้คนไปเก็บสมุนไพรที่มีในเขตป่าชั้นนอกก่อน รออ่านตำราจบค่อยหารือกัน”
ต่อให้ตอนนี้พวกเขาเริ่มคิดค้นยาแทนที่ก็ใช่ว่าจะสำเร็จในเร็ววัน อีกทั้งยังต้องผ่านสามช่วงทดสอบ
ว่ากันตามปกติ ยาชนิดใหม่ถ้าเริ่มตั้งแต่คิดค้นไปจนถึงวางขายตามท้องตลาดต้องใช้เวลาประมาณสิบห้าปี แต่เหมียวอวี้มีเวลาแค่สามเดือน
ครอบครัวลู่รู้ว่าถ้าเหมียวอวี้ไม่มียาถอนพิษจะต้องตาย จึงยอมให้พวกเขาคิดค้นยาแทนที่แล้วใช้กับเหมียวอวี้โดยตรงได้เลย ดีกว่าไม่ทำอะไร
แต่ผู้อาวุโสสองคนครอบครัวเหมียว…อาจจะไม่ยอม
ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือกอื่นและไม่มีเวลาเหลือแล้ว พวกเขาไม่มีทางเอายาชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านการทดสอบไปใช้กับคน อีกทั้งยังเป็นยาที่มีผลต่อสมอง
ช่างเถอะ ปล่อยไปตามธรรมชาติแล้วกัน ตอนนี้คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ใช่ว่าจะคิดค้นยาออกมาได้ในสามเดือน
จะรอดไหมก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา
มู่เถาเยาแอบเศร้าเล็กน้อย
เธออยากช่วยชีวิตเหมียวอวี้
ตี้อู๋เปียนรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของคนข้างกาย จึงดึงมู่เถาเยาลงจากชิงช้า “ซาลาเปาน้อย ฉันต้องไปฝึกโยคะแล้ว ระยะนี้ฉันตั้งใจมากเลยนะ ดูสิช่วงนี้รูปร่างฉันดีกว่าเมื่อก่อนหรือเปล่า”
พูดจบก็หมุนตัวให้มู่เถาเยาดู
“ยังผอมเหมือนเดิม แต่ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น”
“ฉันฝึกกำลังภายในได้หน่อยแล้วนะ”
“ใช้ได้นี่ หมิงเจ๋อศิษย์หลานของฉันบอกว่าคุณตั้งใจเรียนมาก”
“ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว! จริงสิ ฉันเรียนทำอาหารกับเชฟด้วยนะ” รีบชมเขาสิ!
มู่เถาเยาถามด้วยความตะลึง “คุณเรียนทำอาหารทำไม”
“เอ่อ…ฉันเห็นไป๋เฮ่าอวี๋ เยี่ยอิ่ง เฉิงซิ่นเรียน ก็เลยไปเรียนด้วย” แน่นอนว่าเพราะในอนาคตอยากทำให้เมียกับลูกกิน!
หูของตี้อู๋เปียนเริ่มแดง
“เอ่อ”
“…”
ทำไมซาลาเปาน้อยไม่ชมเขาสักหน่อยล่ะ
เขาได้ยินเยี่ยอิ่งคุยโทรศัพท์ แฟนของเยี่ยอิ่งชมว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ทำไมเขากลับไม่ได้รับคำชมอะไรเลย
ตี้อู๋เปียนแอบไม่เข้าใจ