อัศวินดำ - ตอนที่ 11
◆ อัศวินดำคุโรกิ
สาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย หนึ่งในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้
เป็นเมืองที่รวมคนหลายเชื้อชาติเอาไว้โดยมีประชากรประมาณ 200,000 คน
โดยตัวเลขประชากรนั้นนับเพิ่งคนที่มีสถานะเป็นพลเมืองเท่านั้น หากนับคนที่ไม่มีสถานะเป็นพลเมืองล่ะก็จำนวนจะเพิ่มขึ้นมหาศาลทีเดียว
สาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียเป็นประเทศที่ไม่มีกษัตริย์ ไม่มีราชวงศ์ตามชื่อ ประเทศนี้ปกครองโดยระบบสภาซึ่งจะเลือกตั้งกันทุกๆ สี่ปี
สภานั้นจะได้รับเลือกจากการเลือกตั้ง แต่ก็แตกต่างกันไปตามแต่ประเทศ โดยวิหารเรน่าจะเลือกสภาจากคนที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดจากประชาชน
โดยทางวิหารเรน่านั้นมีสิทธิ์ที่จะยับยั้งพลโหวตและการชุมชุมในฐานะองค์กร
สรุปแล้วก็คืออำนาจทางการเมืองของประเทศนี้อยู่ใต้การควบคุมของวิหารเรน่า ดังนั้นผู้ปกครองสูงสุดที่แท้จริงของประเทศนี้ก็คือวิหารเรน่านั่นเอง
วิหารเรน่านี่กล่าวได้ว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่ของเหล่าผู้ศรัทธาเทพธิดาเรน่าและสถานที่ซึ่งผู้ศรัทธาจากทั่วโลกจะมาเคารพบูชาเทพธิดาเรน่า
เพราะประเทศนี้เป็นประเทศที่ร่ำรวย จึงมีนักท่องเที่ยวมากมายมาเที่ยวชมสถานที่อื่นมากมายนอกจากวิหารเทพธิดาเรน่าอยู่มาก
และผมเองก็มาในฐานะนักท่องเที่ยวนั้นเอง
[ จากนี้จะทำอะไรดีครับท่านไดร์ฮาร์ด? ]
นัคที่อยู่บนไหล่ของผมถามขึ้น
[ อืมมม จะทำอะไรกันก่อนดี… ลองหาที่พักก่อนแล้วกันนะ ]
ผมเดินไปยังเมืองที่อยู่นอกกำแพง
เพราะเมืองนี้ใหญ่มาก จึงมีหลายอย่างที่สามารถทำได้นอกเมือง
ถนนนอกเมืองที่ยาวเหยียดไปถึงกำแพง
ถ้าเป็นเมืองนอกกำแพงผมก็ไม่จำเป็นต้องแสดงตัวตน สามารถเข้าออกได้ตามสบาย
แต่มันจะอันตรายในตอนกลางคืนล่ะนะ
แต่มันก็ทำให้คนที่ไม่มีสถานะเป็นพลเมืองทำอะไรได้สะดวกดี ยังไงก็ไม่มีที่ให้ไปอยู่แล้ว
โดยคนที่อาศัยอยู่นอกเมืองส่วนใหญ่จะเป็นคนของประเทศที่ถูกทำลายหรือไม่ก็คนร้ายที่มีค่าหัวถูกไล่ล่าจากประเทศต่างๆ
ดังนั้นความปลอดภัยจึงต่ำมาก
หน้าที่ของอัศวินคือการปกป้องความปลอดภัยของประชาชนนอกกำแพงปราสาท
แบ่งเป็นกลุ่มเฝ้าระวังและกลุ่มที่เฝ้ายามภายใน โดยจะเฝ้ายามตั้งแต่ทางหลวงไปจนถึงนอกกำแพง
เพราะมักจะมีปีศาจปรากฏตัวที่ทางหลวง หากไม่กำจัดปีศาจเป็นระยะๆ จะทำให้นักเดินทางตายมากขึ้น
อัศวินต้องต่อสู้กับปีศาจและบริเวณรักษาการณ์ที่ใหญ่มาก ดังนั้นการจะเป็นอัศวินจึงต้องขี่ม้าเป็นและมีฝีมือที่มากพอควรจึงจะสามารถเป็นอัศวินได้
เพราะประเทศคงลำบากแน่ถ้าคนที่มีฝีมือทางการรบเป็นกบฏต่อประเทศ ดังนั้นอัศวินจึงต้องมีความจงรักภักดีด้วย
แต่ทว่าสุดท้ายแล้วอัศวินก็ช่วยปกป้องเพียงแค่เมืองที่พวกเขาถูกผูกมัดตามสัญญาหรือที่พวกเขาเกิดเท่านั้น
อัศวินจะไม่ปกป้องคนที่ไร้สัญชาติ
ถึงแม้ว่าจะมีคนฆ่ากันที่นอกกำแพงเมืองมันก็ถือว่าไม่ใช่หน้าที่ของอัศวิน
ในทางตรงกันข้าม หากคนไร้สัญชาติไปฆ่าคนที่มีสถานะเป็นพลเมือง อัศวินจะฆ่าคนไร้สัญชาติอย่างไร้ปราณีทีเดียว
ถ้ามองจากมุมมองของอัศวิน ผู้คนนอกเมืองก็ไม่ต่างอะไรจากปีศาจหรอก
งั้นทำไมไม่ขับไล่พวกผู้คนนอกเมืองไปซะล่ะ?
เหตุผลก็เพราะพวกเขาถือเป็นแรงงานที่ราคาถูกมาก
ราคาค่าแรงของพวกเขาถูกกว่าคนที่มีสถานะพลเมืองทั่วอยู่มาก จึงช่วยได้ในการก่อสร้างพัฒนาเมือง
ด้วยเหตุนี้ อัศวินจึงปล่อยให้เหล่าคนที่ไร้สัญชาติอยู่นอกกำแพงเมืองได้ ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อประชาชน
คนที่ดูเหมือนโจรเดินผ่านหน้าผมไป
[ ตอนนี้เราจะไปที่ไหนรึครับ? ]
นัคที่ย้ายมาอยู่ในกระเป๋าเสื้อกำลังถามผม
[คิดว่าจะไปหาโรงแรมน่ะ แต่… ดูท่าว่าจะหาโรงแรมดีๆ นอกเมืองยากล่ะนะ ]
เพราะนอกเมืองความปลอดภัยต่ำล่ะนะ โรงแรมถ้าจะดีก็คงเป็นด้านในเมืองจะดีกว่า
แต่สำหรับผมที่ไม่มีสัญชาติการจะเข้าไปในกำแพงมันก็ยากพอดูเลยนะสิ
ถึงจะแอบเข้าไปได้สำเร็จ แต่จะเข้าพักโดยไม่โดนสงสัยได้เหรอ?
คงจะดีถ้าผมใช้เวทมนตร์ลบตัวตนได้ แต่น่าเสียดายที่ใช้ไม่ได้นี่สิ
หลังจากบ่นจบ ผมก็เดินหาสถานที่พักที่นอกเมืองอีกครั้ง
ผมเดินไปรอบๆ เมืองด้านนอก
แอ่งน้ำจากฝนที่ตกเมื่อวานทำให้รองเท้าสกปรกทุกครั้งที่ก้าว
[ … ก็ถือว่าดีกว่าเมืองด้านนอกที่เจอมาล่ะนะ ]
ผมพึมพำคนเดียวขณะที่มองไปรอบๆ
จากที่พวกเราเดินทางมา นี่เป็นเมืองด้านนอกเมืองที่สามแล้ว
สองเมืองที่ผมเดินทางผ่านมา มันแย่มากเลยล่ะ
ไม่ว่าจะเป็นศพของคนที่กระจัดกระจายไปทั่ว นั่นก็ถือเป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไป
แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นศพของคนเลยนะ
ถึงผมจะรู้สึกไม่สบอารมณ์นิดหน่อย แต่ก็ได้แค่เบือนสายตาหนีเท่านั้น
ถ้าเป็นที่โลกเดิมของผมล่ะก็มันคงจะเกิดเรื่องวุ่นเข้าแล้ว
ตั้งแต่ที่ผมถูกอัญเชิญมา บางทีมันอาจจะเป็นผลข้างเคียงที่ทำให้ความคิดของผมเปลี่ยนไป
ผมไม่รู้สึกกลัวแม้จะถูกรายล้อมด้วยปีศาจตอนที่ถูกอัญเชิญมา
ทางตรงกันข้าม เรย์จิกับชิโรเนะน่ากลัวกว่าซะอีก
บางทีนี่อาจเป็นสถานการณ์เดียวกับที่ชิโรเนะกำลังพบเจอก็ได้
เรย์จิกับชิโรเนะจัดการพวกปีศาจมามากมาย
นี่พวกเขาไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยเหรอ?
ผมเจอที่ที่ดูเหมือนจะเป็นโรงแรมแล้ว ผมยืนแล้วมองรอบๆ แล้วคิดอยู่สักพัก
แล้วก็เดินผ่านมันไป
เหตุผลก็คือผมไม่มีเงิน
ที่ที่ผมหาก็คือสถานที่ที่หลบฝนและลมได้เท่านั้นเอง
ผมเดินไปที่ชานเมือง
◆ นายทหารยากจนคนนึง โดซุมิ
[ บัดซบ… ข้า… จะทำยังไงดี… ]
ไม่มีความคิดดีๆ เข้ามาในหัวข้าเลย แม้จะพยายามขบคิดแค่ไหน
แม้ข้าจะดื่มเหล่าไปมากแค่ไหน ความคิดดีๆ ก็ไม่ผุดขึ้นมาในหัวข้าเลยสักนิด
เริ่มรู้สึกเวียนหัวแล้วสิ
ข้าเดินไปยังสถานที่ที่ลับตาคน
[ เฮ้ โดซุมิ!! ]
เสียงจากใครบางคนเรียกข้า ขณะที่ข้ากำลังอ้วก
โดซุมินั่นคือชื่อของข้าเอง
มันไม่ใช่ชื่อจริงของข้าหรอก แต่เพราะหน้าตาของข้าคล้ายหนู จากชื่อ ‘โซบุเนซุมิ’ พวกเขาย่อมันจนไปชื่อ “โดซุมิ’
ข้าหันหน้าไปก็เห็นชายห้าคนยืนอยู่ข้างหลังกับชายตัวสูงที่เด่นกว่าคนอื่นอยู่คนนึง
ข้ารู้จักกับพวกเขาดี
ใช่แล้ว พวกเขาคือเพื่อนร่วมงานของข้า กลุ่มนักทหารรับจ้างอิสระที่ข้าเคยทำมาก่อน
การได้เจอหน้าคนที่ไม่อยากเจอ ทำให้ข้าที่เมาอยู่ถึงกับหายเมาไปเลย
ตัวข้าเคยอยู่ในกองพันทหารเมืองด้านนอกของสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย
แม้ว่าจะว่าเป็นกองหาร แต่ก็เป็นเพียงการรวมตัวของกลุ่มนักเลงเท่านั้น
แตกต่างจากอัศวินจริงๆ ที่มีไว้เพื่อจัดการเหล่าปีศาจที่จะบุกเข้ามาในเมือง
พวกเราไม่เคยทำอะไรอย่างการจัดการพวกปีศาจเลย
คนที่เราจัดการจึงมีเพียงมนุษย์เท่านั้น
เราเป็นกลุ่มคนไม่ดีที่มักจะแย่งอาหารจากคนที่อ่อนแอ นั่นล่ะกองทหารที่ข้าเคยอยู่
การจะอยู่นอกเมืองโดยไม่สังกัดองค์กรไหนเลย มันใช้ชีวิตยากลำบากมาก
ข้าถึงได้ไม่เคยบ่นเลย ถึงแม้ว่าจะต้องทำงานที่เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม
แต่เพราะกลุ่มทหารที่ข้าอยู่พยายามจะฆ่าข้านี่ล่ะ ข้าถึงได้จะร้องไห้
[ ไม่ใช่ข้านะ… ท่านหัวหน้า]
ข้ามองไปที่หัวหน้า ขณะที่เขากำลังยิ้มเยาะเย้ย
เขาเป็นชายร่างใหญ่ที่มีรอยแผลบนหน้าและหัวล้าน
แม้ว่าท้องของเขาจะมีพุงออกนิดหน่อย แต่แขนของเขาก็มีกล้ามที่ใหญ่มาก
[ เจ้าคิดจะหนีไปไหนโดซุมิ? แกไม่เข้าใจรึไง? ข้าก็แค่บอกให้แกไปแทงท่านผู้กล้านะ เข้าใจมั้ย? ]
หัวหน้ากำลังหัวเราะ
[ พูดอะไรกัน อย่างข้าจะไปทำอะไรผู้กล้าได้… ]
ข้าตะโกนทั้งที่กำลังร้องไห้
[ ฮ่า! งั้นแกก็ฆ่าคนรักของเจ้าผู้กล้านั้นซะก็จบแล้ว! ]
[ ข้าไม่ทำ! ข้าไม่อยากเป็นฆาตกร!! ก็ท่านหัวหน้าเป็นคนฆ่าเองไม่ใช่เหรอไง! ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนของผู้กล้าเชียวนะ! ]
[ เฮ้ย อย่าตะโกนเสียงดังสิวะ! ]
หัวหน้าเข้ามาใกล้ข้า
ข้าเดินถอยหลังไป
[ หลังจากข้าแทงยัยนั้น ข้าก็จะกลายเป็นแพะรับบาปแล้วพวกแกก็จะหนีไปละสิ ใครจะยอมกัน! พอผู้กล้า ถ้าผู้กล้าหายดี คนที่จะถูกไล่ล่าก็จะเป็นข้าแทน…! ]
[หุบปากซะ!]
หัวหน้าตวัดดาบของเขา
ขืนเป็นแบบนี้ข้าโดนฆ่าแน่
ถึงแม้ว่าข้าจะวิ่งหนี แต่ข้าก็คงวิ่งได้ไม่ถนัดนักเพราะอาการเมาจากเหล้าที่ดื่มไป
ข้าจะตายทั้งๆ แบบนี้เหรอ?
ไม่เอา
ข้าไม่อยากตาย
[ เอ่อ ขอโทษนะครับ? ]
ทันใดนั้นข้าก็ได้ยินเสียง
จากโทนเสียงนั่นดูท่าว่าจะเป็นเด็กหนุ่ม
หัวหน้าหันหน้าไปมองตามเสียง
แต่เพราะหัวหน้าตัวใหญ่เกินไป ทำให้หน้ามองไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่มคนนั้น
เจ้าของเสียงเดินมาทางข้าในโดยไม่สนใจหัวหน้า
ร่างกายของคนตรงหน้าข้าสวมฮู้ดสีดำปกคลุมทั้งตัว
[ ขอโทษนะครับ แต่ช่วยเล่าเรื่องของคุณให้ฟังได้มั้ย? ]
ชายสวมฮู้ดสีดำถามข้า
แต่เพราะฮู้ดนั้นปกปิดใบหน้าของเขาไว้หมด ทำให้ข้ามองไม่เห็นหน้า
แล้วเมื่อกี้เขาถามว่าอะไรน่ะ?
มันจะถูกรึไม่สำหรับตอนนี้ ข้าไม่สนแล้ว ขอแค่มีคนเต็มใจอยากจะฟังเรื่องของข้า ข้าก็ดีใจแล้ว
[ จ เจ้าบอกว่า… อยากฟังเรื่องของข้างั้นเหรอ ]
ขณะที่ข้ากำลังคิดจะเล่าเรื่องทั้งหมดของข้าให้เขาฟัง
[ เฮ้ย ไอ้หนุ่ม เราจะเดือดร้อนเอาได้ ถ้าแกไปฟังเรื่องของเจ้านั้น! ]
หัวหน้าเอาดาบไปพาดไว้บนคอของชายสวมฮู้ดจากข้างหลัง
[ อืมม… ในเมื่อคุณหันดาบใส่ผมเอง ถ้าผมต่อสู้กลับก็อย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน! ]
หลังจากพูดจบ ชายสวมฮู้ดก็คว้าดาบขอหัวหน้า ดาของหัวหน้าหักไปในพริบตาและเขาก็โดนลูกไฟสีดำเข้าไป
[ อะไรกัน เวทมนตร์!!! ]
หัวหน้าพูดออกมาอย่างตกใจ
[ ขอโทษด้วยนะ แต่อยู่เงียบๆ สักพักได้มั้ย?! ]
ชายสวมฮู้ดหันไปทางผู้นำ ตอนนี้เข่าของเขาทรุดไปแล้ว
ข้าไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
หัวหน้าเอามือจับคางไว้
ดูเหมือนขากรรไกรของหัวหน้าจะถูกตัดไปแล้ว
[ ฟุ กะ.. ฟุ กะ… ]
หัวหน้ามองชายสวมฮู้ดราวกับกำลังพูดอะไรบางอย่าง
ดวงตาของเขาถูกย้อมไปด้วยความกลัว
[ ถ้าคุณไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมันคงจะดีกว่านะ ]
หลังจากชายสวมฮู้ดพูดจบ หัวหน้าและคนอื่นๆ ก็หนีไป
[ เอาล่ะ… ช่วยเล่าเรื่อทั้งหมดให้ผมฟังหน่อยได้มั้ย? ผู้กล้า… เรย์จิยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย? ]
ข้าพยักหน้าเมื่อได้ยินคำถามของเขา
◆ อัศวินดำคุโรกิ
นัคและผมเดินเปลี่ยนสถานที่คุยไปยังรังของคนที่ชื่อว่าโดซุมิ
รังของโดซุมิ มันก็คือกระท่อมไม้ที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองเล็กน้อยนั้นเอง
ในกระท่อมมีหลุมอยู่มากมาย ราวกับมันจะพักได้ตลอดเวลา
[ เรื่องมันเป็นแบบนี้เองเหรอ… ]
[ ถูกต้องแล้วครับนายท่าน… ]
จากที่โดซุมิบอก เด็กสาวที่เป็นคนของกองกำลังทหารของที่เขาอยู่ ได้เป็นที่ถูกใจของผู้กล้า
แม้จะบอกว่า ‘ถูกใจ’ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเพราะตัวเธอเอง แต่เพราะหัวหน้าของพวกเขาบังคับให้เธอไปเข้าใกล้ผู้กล้าเท่านั้น
หัวหน้าของพวกเขาข่มขู่เด็กผู้หญิงคนนั้นว่าจะฆ่าพ่อเธอ หากไม่ยอมทำตามที่พูด
เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่มีสถานะเป็นพลเมืองของสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย ขืนไปทำร้ายใครเข้ารับรองโดนฆ่าอย่างไม่ปราณีแน่
และแล้วผู้กล้าเรย์จิก็ปรากฏตัวขึ้น
เด็กสาวได้ขอให้เรย์จิช่วยและเรย์จิก็ยอมช่วยเธอ เพราะเด็กสาวคนนั้นก็เป็นสาวสวยนั้นเอง
หัวหน้าของพวกเขาจึงได้แต่ยอมถอนตัวเพราะคงไม่อาจเอาชนะผู้กล้าได้
แต่เพราะข่าวลือว่าผู้กล้าเรย์จิได้ตายลงด้วยน้ำมือของอัศวินดำได้แพร่กระจายไปทั่ว
เด็กสาวที่สูญเสียการคุ้มครองจากเรย์จิทำให้ไม่มีใครปกป้องและพ่อของถูกหัวหน้าฆ่าตาย
แต่ทว่าเรย์จิยังมีชีวิตอยู่
ถึงแม้จะเป็นเมืองภายนอก แต่เขาก็ย่อมไม่ให้อภัยกับนักฆ่าแน่
แต่เด็กสาวเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อของเธอ แต่หากลองตามสืบดู หัวหน้าอาจจะไม่รอดก็ได้
ด้วยเหตุนั้นเขาจึงต้องหาแพะรับบาป เพราะกลัวว่าเรย์จิจะมาไล่ล่า
แต่ผมไม่คิดว่าเรย์จิจะติดกับลูกไม้ตื้นๆ พรรค์นี้หรอก ผมที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากที่เขาเล่าแล้วก็เงียบขบคิดอยู่พักนึง
[ ขอบคุณสำหรับข้อมูล ]
ผมหยิบอัญมณีจากหลังเอวส่งให้โดซุมิ
โดซุมิมองที่อัญมณีที่ผมให้
[ นี่มัน… ของจริง? ]
โดซุมิมองอัญมณีจากมุมต่างๆ และพยายามจะกัดมัน
[ น้อยไปงั้นเหรอ? ]
โดซุมิส่ายหัวเมื่อผมถามออกไป
[ ถ้านี่เป็นของจริง ข้าสามารถออกไปจากที่นี่ไปยังเมืองอื่นยังได้เลย… ถึงอย่างนั้นนายท่าน! ให้ของมีค่าขนาดนี้กับข้าจะดีงั้นเหรอ!? ]
ฟันของโดซุมิสั่นขณะที่พึมพำคำพูดนั้น
[ ไม่เป็นไร ฉันได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว… นอกจากนี้นายยังให้ฉันพักในกระท่อมนี้ด้วยล่ะนะ ]
เมื่อโดซุมิได้ยินคำพูดของผม ก็พยักหน้าหลายครั้ง
[ ข้ายินดีให้กระท่อมนี้กับนายท่านเลยครับ! ข้าจะออกจากเมืองนี้แล้ว! ดังนั้นโปรดใช้ได้ตามสบายเลยครับ! ]
[ งั้น… ผมยังมีเรื่องจะถามอีกสักหน่อยได้มั้ย? ]
[ ได้ทุกเรื่องตราบที่เป็นเรื่องที่ข้าตอบได้ครับ แม้ท่านจะเป็นปีศาจข้าก็ไม่เกรงกลัว! ]
เขาพยักหน้าแล้วหัวเราะ
ผมได้ฐานมาแล้ว
งานต่อไปก็คือการตรวจสอบสถานะปัจจุบันของเรย์จิ