อัศวินดำ - ตอนที่ 19
◆ อัศวินดำรันฟิว
[ ช่างเป็นวันที่เงียบสงบจริงๆ นะครับว่ามั้ย ท่านริวฟิว? ]
อัศวินดำผู้กำลังขี่ไวเวิร์นพูดด้วยน้ำเสียงไร้ความระวัง
[ อย่าประมาทสิ มีโอกาสที่ข้อมูลที่ว่าการทำลายภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์เป็นข่าวลวง ต่อจากนี้เราต้องลาดตระเวนตามปกติเข้าใจมั้ย? ]
ข้าเตือนอัศวินดำที่ขี่ไวเวิร์นไปแล้วใช้มังกรบินข้ามภูเขาเขตแดนของนากอล เมื่อข้ามองไปข้างหลังก็เห็นอัศวินคนนึงตามหลังมา
[ การสร้างกองกำลังขึ้นมาใหม่นี่มันเป็นงานที่ยากจริงๆ ล่ะน้า… ]
ข้าพึมพำโดยไม่ได้พูดกับใคร
อัศวินดำมากกว่าครึ่งถูกฆ่าตายเพราะการต่อสู้กับผู้กล้า แม้จะมีผู้รอดชีวิตแต่บาดแผลของพวกเขาก็สาหัสมาก
เดิมที คนที่มีฝีมือพอจะเป็นอัศวินดำก็ขาดแคลนอยู่แล้วในหมู่เผ่าปีศาจ และยิ่งสำคัญกว่าคือคนที่ขี่ไวเวิร์นได้ เกือบทั้งหมดของอัศวินมีฝีมือถูกผู้กล้าจัดการไปหมด ตอนนี้จึงมีเพียงแค่คนเดียวที่สามารถขี่ไวเวิร์นได้
ตอนนี้จำนวนของอัศวินดำมีไม่ถึง 20 คน นี่เป็นเรื่องด่วน ข้าต้องสร้างกองอัศวินดำขึ้นมาใหม่แล้ว
และพักนี้เหล่าอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของเอลีอัสยังมาบุกรุกน่านฟ้าของเราด้วย
พอข้านึกถึงเรื่องนี้หัวของข้าก็มีแต่ความโกรธ
พวกมันยืนยันว่าท้องฟ้าทั้งโลกเป็นของเทพแห่งเอลีอัส ไม่เว้นแม้แต่ท้องฟ้าที่นากอล
โดยปกติ ข้าไม่มีเจตนาจะยอมพวกมันหรอก
ก่อนที่ผู้กล้าจะมาถึง พวกมันไม่เคยบุกรุกเข้ามาในดินแดนนากอลเลย แต่เมื่อพวกมันเห็นว่ากองอัศวินดำได้รับความเสียหายหนักจากผู้กล้าทำให้พวกมันเริ่มเหิมเกริ่ม
พวกมันบุกรุกเข้ามาในน่านฟ้าของเราราวกับจะเยาะเย้ย
แม้ว่าจะบอกให้พวกมันออกไปแต่โดยดี แต่มันกลับทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เราพูด จึงไม่มีทางเลือกนอกจากเฝ้าดูอยู่เงียบๆ เพราะทางอัศวินดำของเราก็ขาดแคลนกำลังรบอยู่
แต่แล้วการบุกรุกเข้ามาในน่านฟ้าก็หายไปเมื่อสองวันก่อน พอข้าชายที่เป็นสาเหตุของเรื่องนี้ ก็ไม่มีอะไรนอกจากความกลัวจากหัวใจ
การลาดตระเวนวันนี้ของเราจบลงเพียงเท่านี้
[ เอาล่ะ กลับไปที่ป้อมปราการได้ !! ]
ไวเวิร์นบินเป็นวนตามคำสั่งข้า มันยังคงรักษาระดับความสูงเดียวกับภูเขาอาเครอนซึ่งเป็นเขตแดนแบ่งแยกระหว่างนากอลและโลกมนุษย์ไว้อยู่
หลังจากบินไปสักพัก ข้าก็มองเห็นป้อมปราการที่อยู่บนเทือกเขา
ป้อมปราการนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องนากอลจากเอลีอัส พวกเราลงจอดศูนย์กลางป้อมปราการ
[ ยินดีต้อนรับกลับครับท่านรันฟิว ]
ข้ามอบหมายให้ลูกน้องที่ข้าไว้ใจคอยดูแลไวเวิร์น จากนั้นก็เดินไปยังที่พักข้างในป้อมปราการ
[ พ่อ!! ]
[ ท่านพ่อ !! ]
มีเด็กสองคนวิ่งออกมาจากป้อมปราการ
[ ไลลี่ เรย์เฟลโด้ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ]
ลูกๆ ของข้าวิ่งตรงมาหาข้า
เรย์เฟลโด้เป็นเด็กผู้ชายที่อายุเพิ่งจะ 120 ปีในปีนี้ ส่วนไลลี่เป็นเด็กผู้หญิงที่อายุเพิ่ง 90 ปีเท่านั้น สองคนนี้เป็นลูกของข้า พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ใกล้กับปราสาทราชาปีศาจ ซึ่งเป็นหมู่บ้านของเผ่าปีศาจ
[ เพราะแม่อยากมาช่วยพ่อ ]
[ ใช่แล้วล่ะ เพราะแม่อยากให้เราเป็นอัศวินในอนาคตมาช่วยคุณพ่อ ]
ไลลี่และเรย์เฟลโด้ตอบกลับมาเช่นนั้น
[ งั้นเหรอ… ]
ถึงมันจะเป็นความจริงที่เรากำลังขาดแคลนคน กระทั่งการรบครั้งก่อนก็ยังคัดที่ไม่ใช่ทหารมารบด้วย แบบขอแค่มีคนจะเป็นใครก็ได้ แต่ข้าไม่คิดจะทำร้ายตัวเองโดยให้พวกเด็กๆ มารบหรอก
[ พ่อครับ ขอร้องล่ะนะ… ผมอยากลองขี่ไวเวิร์นดูอ่ะ ]
[ ไลลี่ก็อยากขี่ด้วย! ]
พอได้ยินคำพูดของเด็กๆ ก็ทำให้ข้าหนักใจ ในป้อมปราการนี้ยังมีการเบ็ดเตล็ดนอกเหนือจากการต่อสู้อยู่อีกงาน บางทีอาจจะมีงานที่พวกเด็กๆ ทำได้
แต่มันคงเร็วเกินไปที่พวกเขาจะมารบในฐานะอัศวิน โดยเฉพาะเรย์เฟลโด้
ขณะที่ข้ากำลังขบคิดอยู่นั้นเอง
ไวเวิร์นก็ส่งเสียงดังขึ้น
[ อะไร!! เกิดอะไรขึ้น!! ]
ข้าบอกให้เหล่าลูกน้องดูแลไวเวิร์น
[ ไม่ทราบครับ!! แต่ไวเวิร์นตกใจกันใหญ่เลยครับ !! ]
ลูกน้องข้าพยายามจัดการดูแลไวเวิร์นที่คลั่งอยู่
[ ท่านรันฟิว!! เหตุฉุกเฉินครับ!! ]
อัศวินที่หอสังเกตการณ์ส่งเสียงดังขึ้นด้วยความสับสน
[ เกิดอะไรขึ้น!! ]
[ มังกร!! มีมังกร… มุ่งตรงมาทางพวกเราครับ! ]
ข้ามองตรงไปยังทิศที่อัศวินคนนั้นชี้ไป มีบางอย่างกำลังลอยอยู่บนฟ้า แต่ไม่ใช่ไวเวิร์น… นั่นมันมังกร
[ เราควรทำยังไงดีครับท่านริวฟิว!! ]
เมื่อข้ามองไปรอบๆ ก็เห็นทหารกำลังง้างธนูเตรียมต่อสู้กับมังกรกันเต็มที่
[ วางอาวุธซะ!! อย่าเล็งไปที่มังกรตัวนั้นเด็ดขาด!! ]
เหล่าอัศวินต่างสับสนกับคำสั่งของข้า
[ ทำไมถึงสั่งให้เราวางอาวุธกันล่ะครับท่านริวฟิว?! ]
[ ไม่ต้องถามแล้วทำตามคำสั่งซะ!! เร็วเข้า!! ]
ถ้ามันเป็นไปตามที่ข้าคิด มังกรตัวนั้นไม่ใช่ศัตรูของเรา
ทุกคนในป้อมวางอาวุธลงกันหมดแล้ว
มังกรเข้ามาใกล้ป้อมปราการด้วยความเร็วอันน่ากลัว ยิ่งเข้าใกล้ มังกรตัวนั้นก็ยิ่งตัวใหญ่ขึ้น
[ อุว๊าาาาาา!! ]
[ ท่านพ่อ!! ]
[ พ่อคะ!! ]
ลูกน้องของข้าหลายคนล้มกันไม่เป็นท่าเพราะความกลัว ขณะที่เรย์เฟลโด้และไลลี่เกาะขาข้าไว้ เสียงคำรามของมังกรทำให้ความกลัวปกคลุมทุกคน หลายคนต่างกลัวจนไม่กล้าขยับตัว
ราวกับอารมณ์ในใจข้าเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เมื่อได้เห็นมังกรใกล้ๆ
มังกรซิ่งมีตัวใหญ่กว่าไวเวิร์นหลายเท่า แค่มันลงมาก็ทำให้พื้นที่กลางป้อมปราการไม่เหลือที่ว่าง มันคือมังกรดำที่อาศัยอยู่ที่เทือกเขาอาเครอนซึ่งเคยได้รับสมญานามว่า “มังกรปีศาจ” มันเป็นมังกรที่ดุร้ายและทุกคนที่เข้าใกล้จะกลายเป็นธุลีด้วยลมหายใจของมัน
แต่นั่นมันจนกระทั่งเมื่อวาน
ข้าจ้องมองไปยังอัศวินดำผู้ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังมังกรตัวนั้น
อัศวินดำไดร์ฮาร์ด
ผู้กล้าแห่งนากอลที่ทำลายภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์เมื่อไม่กี่วัน
ไดร์ฮาร์ดกระโดดลงมา
[ ทุกคนเคารพ!! ]
ยังมีบางคนที่ยืนไม่ไหวเพราะความกลัวจนละเลยคำสั่งของข้า ข้าก้มหัวและเอามือวางไว้ที่หน้าอก
[ ลอร์ดรันฟิว… นั่นคือ… ]
ไดร์ฮาร์ดถอดหมวกออกขณะที่พูด เผยถึงใบหน้าที่เพรียวบาง ผิวที่ดูนิ่มนวล และผมสีดำ
หากมองจากแค่รูปลักษณ์ เขาก็เป็นคนที่มีท่าทางอ่อนโยน ไม่เข้ากับบุคลิกที่แข็งแกร่งเลย ไม่ว่าข้าจะมองยังไงก็เห็นเพียงแค่มนุษย์ไร้เขาที่แสนอ่อนแอ
แต่ข้าไม่ปล่อยให้รูปลักษณ์นั้นมาหลอกได้หรอก เพราะชายตรงหน้าที่ดูอ่อนแอนี้ แท้จริงแล้วเป็นดั่งสัตว์ประหลาด
เขาสามารถจัดการผู้กล้าได้ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวและทำลายภาคีอัศวินศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยตัวคนเดียว
ข้ามองไปยังชุดเกราะที่ไดร์ฮาร์ดสวมอยู่ ชุดเกราะของไดร์ฮาร์ดนั้นคือชุดเกราะแห่งปีศาจดำ ชุดเกราะที่อัศวินดำทุกคนสวมเป็นเพียงของกระจอกถ้าเทียบกับของไดร์ฮาร์ด
และคนที่สวมชุดเกราะนี้ได้จะต้องมีพลังเวทมหาศาลเท่านั้น มนุษย์ไร้เขาที่สามารถทำเรื่องที่แม้แต่เผ่าปีศาจก็ยังทำไม่ได้ ข้าสิ้นหวังเมื่อคิดถึงมัน นี่คือไดร์ฮาร์ดผู้ใต้บังคับบัญชาของราชาของพวกเรา
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ด้อยค่า ดังนั้นจึงมีปีศาจที่เกลียดมนุษย์อยู่มาก เป็นธรรมดาที่ปีศาจแบบนั้นก็มีอยู่ในป้อมปราการแห่งนี้
[ อย่าถือสาเลยครับ เพราะท่านคือผู้กล้าของเรา!! ]
ไดร์ฮาร์ดแสดงสีหน้าลำบากใจหลังจากได้ยินคำพูดของข้า ไดร์ฮาร์ดดูจะไม่ค่อยชอบที่คนอายุมากกว่าปฏิบัติตัวกับเขาแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะทำตัวไร้มารยาทได้ เพราะตอนนี้ข้ากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่สามารถทำลายภาคีอัศวินศักสิทธิ์ได้ด้วยตัวคนเดียว
[ วันนี้ท่านมีอะไรงั้นรึครับ? ]
เสียงของข้าแข็งกระด้างเล็กน้อย พูดตามตรงข้าไม่อยากให้เขามาที่ป้อมนี้เลย
[ ต้องขอโทษด้วยที่มาในวันที่วุ่นวายแบบนี้ลอร์ดริวฟิว ผมกำลังฝึกขี่โกเรียสอยู่นะ… แล้วก็อยากจะแนะนำมังกรตัวนี้ด้วย ระหว่างที่ผ่านก็เลยคิดจะมาตรวจตราดูสักหน่อย เพราะอยากรู้เรื่องของป้อมปราการในเขตแดนไว้บ้างน่ะ ]
ไดร์ฮาร์ดมองไปที่มังกรแล้วพูดออกมาขณะที่น้ำเสียงมีความลังเลเล็กน้อย
ชื่อโกเรียสนั้นดูเหมือนในโลกของไดร์ฮาร์ดจะหมายถึง ความรุ่งโรจน์ ซึ่งมันช่างเหมาะกับไดร์ฮาร์ดซะจริงๆ
เจ้ามังกรที่แสนดุร้ายตัวนั้น… กระทั่งเมื่อวานมันยังเป็นมังกรปีศาจอยู่… แต่ตอนนี้ไดร์ฮาร์ดกลับทำให้มันเป็นพาหนะซะแล้ว
ทันใดนั้นข้าก็นึกถึงเรื่องเมื่อวาน
ข้าได้บอกเขาเรื่องมังกรปีศาจที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาอาเครอนกับเขาไป เพราะเขาบอกว่าอยากได้ไวเวิร์นส่วนตัว นี่มันเป็นมาจากการคิดอย่างถี่ถ้วนของข้าแล้ว เพราะแม้แต่เผ่าปีศาจก็ยากนักที่จะฝึกไวเวิร์น แล้วความเป็นไปได้นั้นยิ่งน้อยกว่าเป็นร้อยเท่า หากจะเอามังกรมาเป็นพาหนะ
ข้าคิดว่าถึงเป็นไดร์ฮาร์ดก็ลำบากแน่
ในตอนนั้นข้าได้พูดไปว่า [ ถ้าเป็นท่านน่าจะขี่มังกรได้ใช่มั้ยครับ? ] ข้าพูดเสียดแทงใส่เขา
แต่ไดร์ฮาร์ดกลับทำให้มังกรเชื่องได้อย่างง่ายดาย
ทุกววันนี้ข้ารู้สึกอับอายที่กล้าไปพูดจาเสียดแทงใส่เขา คำพูดนั้นยังคงวนเวียนตอกย้ำตัวข้าเสมอ ราวกับข้าอกตัญญูถ่มน้ำลายใส่ผู้มีพระคุณ ช่างน่าสมเพซตัวเองจริงๆ
[ ข้าไม่คู่ควรกับความกรุณาหรอกครับ… ]
ข้าพูดเช่นนั้น ขณะที่ไดร์ฮาร์ดมองไปที่ปลายเท้าของข้า
เมื่อข้าเบนสายตาไปตามสายตาของเขาก็เห็นไลลี่และเรย์เฟลโด้กำลังเกาะขาไว้แน่น
[ เด็ก? ]
ไดร์ฮาร์ดถามข้าเรื่องเด็กๆ
[ ครับ ข้าคิดว่าจะให้เด็กๆ มาช่วยงานที่ป้อมปราการ… ]
ถึงจะพูดยังไม่จบประโยค แต่ข้าก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากไดร์ฮาร์ด
[ นี่คิดจะรังแกเด็กแล้วบังคับให้พวกเขาเข้าร่วมสงครามงั้นเรอะ? ]
เสียงของเขาแตกต่างไปจากคนขี้อายคนเดิม เสียงนั้นมันยะเยือกไปถึงกระดูกข้า ข้าถึงกับสั่นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา
[ ต้องขออภัยด้วยครับ! เพราะเรากำลังขาดแคลนกำลังคนมาก หลังจากต่อสู้กับพวกผู้กล้าไป… ต้องขอโทษด้วยครับ!! ]
ข้าขอโทษไดร์ฮาร์ดไปถึงสองครั้งและไดร์ฮาร์ดก็สงบลงเมื่อได้ยินคำพูดของข้า
[ ไม่ล่ะ ขอโทษด้วย เป็นผมเองที่ไม่รู้สถานการณ์ของพวกคุณ… ]
ไดร์ฮาร์ดพูดขอโทษ
ข้าถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้สึกได้ว่าไดร์ฮาร์ดใจเย็นลงแล้ว
ผู้ชายคนนี้น่ากลัวยิ่งกว่ามังกรที่อยู่ข้างหลังเขาซะอีก
[ นี่คือลูกๆ ของข้า เรย์เฟลโด้และไลลี่ครับ… มาทักทายนายท่านหน่อยสิ ]
[ น-นายท่าน ผมชื่อเรย์เฟลโด้ครับ!! ]
[ ห-หนูชื่อไลลี่ค่ะ ท่านไดร์ฮาร์ด!! ]
ไลลี่และเรย์เฟลโด้กล่าวทักทายโดยที่สั่นกลัวเล็กน้อย
[ เป็นเด็กดีกันจังนะ… ]
ไดร์ฮาร์ดชมเด็กๆ
[ เอาล่ะ ผมไม่ส่ใจหรอก ทุกคนกลับไปทำงานกันต่อเถอะ ]
จากนั้นไดร์ฮาร์ดก็เดินตรงเข้าไปในป้อมปราการ
[ ผมจะนำทางให้เองครับ ]
[ ไม่เป็นไร เพราะผมมาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากจะตรวจสอบนิดหน่อย… ]
หลังจากพูดจบ ไดร์ฮาร์ดก็เดินเข้าไปในป้อมปราการเพียงคนเดียว
◆ อัศวินดำคุโรกิ
หลังจากการเดินตรวจสอบป้อมปราการเสร็จ ผมก็ขึ้นขี่โกเรียส
[ ดูเหมือนผมจะเป็นตัวน่ารำคาญสินะเนี่ย… ]
ผมพึมพำออกมา
[ ไม่จริงหรอกครับ! ต้องขอบคุณท่านไดร์ฮาร์ดที่ทำให้พวกเรารอดชีวิตมาได้ด้วยซ้ำ! ]
เสียงไม่พอใจของนัคดังขึ้นจากในกระเป๋าเสื้อเกราะของผม
ดูท่าว่าเผ่าปีศาจในป้อมปราการนี้จะรู้สึกไม่ดีกับผมนัก นัคเองก็โกรธเพราะสาเหตุนั้น
เพราะเดิมทีผมก็เป็นคนที่ถูกอัญเชิญมาเพื่อช่วยพวกเขา เพื่อต่อสู้กับผู้กล้า
แม้ว่ามันจะเป็นการอัญเชิญที่ไม่ได้รับจากยินยอมจากตัวผมเลยก็ตาม แต่ผมก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะมีความสุขกับความลำบากของคนอื่น
ผมคิดว่า… ผมเองก็อยากสนุกกับโลกใบนี้เหมือนกับเรย์จิ
เมื่อผมได้ยินเรื่องของการเดินทางของเรย์จิจากลีนาเรียมายังที่นี่ ทำให้ผมคิดว่าเขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากและยังทำุกอย่างด้วยความโหดเหี้ยมอีก
แต่ผมคิดว่าผมไม่ใช่คนประเภทนั้น
ดังนั้นผมถึงอยากสร้างความประทับใจกับคนอื่นๆ ถึงจะรู้สึกไม่ดีที่คนที่ไม่รู้จักจู่ๆ ก็เป็นศัตรูไปก็ตาม
ผมถึงได้พยายามช่วยเหลือเผ่าปีศาจ
แต่กลับรู้สึกน่าหงุดหงิดที่พวกเขาดูจะไม่ต้อนรับผมสักเท่าไหร่
พูดตามตรงเลย คนที่ยินดีกับการที่ผมมายังโลกนี้ก็มีเพียงนัคกับโมเดสเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ผมจะโมโห เพราะจู่ๆ ก็โดนอัญเชิญมายังจะบอกว่าผมเป็นคนโหดร้ายอีกน่ะ
แต่อาจจะมีคนอื่นที่ยินดีต้อนรับผมอยู่ได้ แค่ผมยังไม่รู้จักเขาแค่นั้นเอง
แต่ก็ยังไม่เลวร้ายถึงขนาดเป็นศัตรูกันหรอก แต่ถ้าเกิดมีคนจ้องจะฆ่าผมขึ้นมา
ผมคงทำใจดีต่อไปไม่ไหวเหมือนกัน
[ ไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะที่เป็นห่วงนัค ]
ผมขอบคุณนัคที่เขาอุตส่าห์โกรธแทนผม
[ แล้วเราจะไปที่ไหนกันดี? ]
ผมกอดคอโกเรียส
ไม่มีอะไรยอดไปกว่าการขี่มังกรแล้วชี้ดาบไปยังท้องฟ้าสุดลูกหูลูกตาอีกแล้ว
ชื่อของมังกรตัวนี้ ถึงแม้ว่าความหมายของชื่อมันจะตรงกันข้ามกับผมเลยก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นชื่อที่ดีเหมือนกัน
ผมเองก็หนักใจอยู่พักนึงเหมือนกันนะ แต่จู่ๆ ก็ปิ๊งขึ้นมาล่ะนะ
เรากำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาอาเครอน
ก่อนหน้านี้ผมก็เคยบินด้วยไวเวิร์นตอนที่เดินทางไปยังเมืองของมนุษย์มาก่อน การบินด้วยมังกรนี่รู้สึกดีกว่าขี่หลังไวเวิร์นคนอื่นจริงๆ ด้วยนะ
แม้ว่าท้องฟ้าของนากอลจะไม่ค่อยสวยเพราะมีเมฆปกคลุมจากพลังเวทมนตร์ แต่ผมก็ยังรู้สึกมีความสุขอยู่ดี
วันนี้ลองบินไปที่อื่นที่ไกลกว่านี้ดูบ้างดีกว่า
หลังจากข้ามเทือกเขาอาเครอนแล้ว ผมก็บินไปยังบริเวณใกล้ดินแดนที่มนุษย์อาศัยอยู่
จากที่นัคบอก เทือกเขาอาเครอนด้านล่างพวกเราคือเขตแดนที่แบ่งแยกโลกมนุษย์กับนากอล
ซึ่งเทือกเขาอาเครอนนั้นมีจุดเริ่มต้นจนถึงจนสุดท้ายยาวสุดลูกหูลูกตาจนน่าลึกลับ
นั่นคือที่มาความขัดแย้งกับอัศวินศักดิ์สิทธิ์ของเอลีอัส
และเทือกเขาอาเครอนยังเป็นต้นกำเนิดก๊อบบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่นี่มีอาณาจักรก๊อบบินอยู่
ดังนั้นถึงแม้ผมจะมองจากไกลๆ ก็ยังมองเห็นก๊อบบินจำนวนมากบนภูเขาอาเครอน
แม้ว่าก๊อบลินส่วนใหญ่ในอาณาจักรก๊อบบินจะเชื่อฟังโมเดส แต่ดูเหมือนในโลกมนุษย์จะไม่ใช่และเป็นไปได้ว่าพวกก๊อบลินพวกนั้นตั้งตนเป็นศัตรูกับเราด้วย
ถึงพวกมันจะโจมตีมาไม่ถึงมังกรก็เถอะ แต่ผมเพิ่มระดับความสูงขึ้นอีกนิดดีกว่า
ในขณะที่ผมคิดเช่นนั้นเอง…
ผมก็เห็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่กลางภูเขา
[ นัค!! นั่นมันมนุษย์ใช่มั้ย? ]
มีมนุษย์อยู่กลางเทือกเขาอาเครอน
และมนุษย์พวกนั้นดูเหมือนกำลังจะโดนพวกก๊อบลินทำร้าย
[ โกเรียส!! ]
ผมบอกให้โกเรียสไปยังที่นั้นโดยไม่ตั้งใจ
ก๊อบลินหนีตายกันและกรีดร้องเสียงดังเมื่อได้เห็นมังกรปรากฏตัวตรงหน้า
ผมมองไปยังเหล่ามนุษย์ที่มีประมาณ 20 คน ในหมู่พวกเขาไม่มีผู้ชายอยู่เลย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมนุษญ์ผู้ใหญ่เพศหญิงและเด็ก
เหล่ามนุษย์แสดงสีหน้ากลัวและร้องโวยวายเมื่อเห็นมังกร
[ เฮ้ พวกเจ้าชื่ออะไร!!? ]
ผมถามพวกมนุษย์ขณะที่ยังอยู่บนหลังของโกเรียส
แต่มนุษย์กลับไม่ตอบกลับเพราะยังคงกลัวอยู่ที่จู่ๆ มังกรก็โผล่ออกมาจากที่ไหนไม่รู้
อา ผมเริ่มปวดหัวแล้วสิ
แล้วคนพวกนี้มันอะไรกัน ไม่รู้รึไงว่าจะถูกทำร้ายถ้าเข้าไปในดินแดนของก๊อบลินน่ะ
บางทีการที่ผมช่วยพวกเขาอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ เหมือนกับที่ป้อมเมื่อก่อนหน้านี้
แต่ในฐานะที่ผมอุตส่าห์ข่วยชีวิตไว้ ผมก็แค่อยากฟังสถานการณ์ของพวกเขาเท่านั้นเอง
ผมกระโดดลงจากโกเรียสแล้วถอดหมวกเกราะออก
ทุกคนเริ่มวุ่นวายกันมากขึ้น
[ มนุ… มนุษย์? ]
[ อัศวินดำเป็น… มนุษย์? ]
มนุษย์ที่ได้เห็นหน้าผมเริ่มสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย
[ ชื่อของฉันคืออัศวินดำไดร์ฮาร์ด! มีใครในหมู่พวกคุณพอจะบอกได้มั้ย ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน? ]
มนุษย์ส่งเสียงโวยวายเมื่อได้ยินชื่อของไดร์ฮาร์ด
ไม่นานนัก ผู้หญิงคนหนึ่งก็ก้าวออกมา
เธออายุน่าจะประมาณ 15-20 ชุดที่เธอสวมอยู่ดูดีที่สุดในหมู่คนพวกนี้
[ เอ่อ… ฉัน… ฉันชื่อเรจิน่า เป็นเจ้าหญิงของอาณาจักรอัลโกลี่ค่ะ ส่วนคนพวกนี้เป็นญาติของฉัน… ]
ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกัก
[ … เจ้าหญิง? ทำไมคนอย่างเจ้าหญิงถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้? ]
ผมยิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์เข้าไปใหญ่ เจ้าหญิงหรือพวกราชวงศ์เนี่ยปกติน่าจะอยู่ในปราสาทกันใช่มั้ยล่ะ?
แล้วพวกเขามาทำอะไรกันที่นี่?
พอผมลองถามนัค ดูเหมือนเขาเองก็ไม่รู้สถานการณ์ของอาณาจักอัลโกลี่เหมือนกัน นัครู้จักเพียงประเทศใหญ่ๆ ของมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นดูเหมือนอาณาจักรอัลโกลี่คงไม่ใช่ประเทศที่ใหญ่นัก
[… พวกเราถูกเนรเทศมายังดินแดนแห่งนี้ค่ะ ]
เรจิน่าพูดออกมาด้วยเสียงเศร้าหมองและยังคงเล่าต่อไป
ดูเหมือนอัลโกลี่จะเป็นอาณาจักรที่อยู่ใกล้ๆ กับนากอล
ราชานั้นจะคัดเลือกจากผู้มีสิทธิ์สองถึงสามคนซึ่งอาศัยในอาณาจักรอัลโกลี่
ตระกูลเรจินาครองบัลลังก็ราชามาเป็นช่วง 2-3 ทศวรรษได้แล้ว เป็นผลทำให้ตระกูลอื่นไม่พอใจและเกิดการจลาจล สุดท้ายตระกูลเรจิน่าก็พ่ายแพ้และถูกเนรเทศออกมาจากอาณาจักร
[ เนรเทศงั้นเหรอ… ]
การประหารน่าจะได้ผลดีกว่าการเนรเทศนี่นา
แต่คนที่ปลุกระดมการจลาจลกลัวว่าตระกูลเรจิน่าจะมาแก้แค้นหลังจากฟื้นฟูอำนาจในเมืองได้ พวกเขาจึงขับไล่ตระกูลเรจิล่าและคนอื่นๆ มายังนากอลให้กลายเป็นอาหารให้พวกปีศาจแทน ผมชักรู้สึกว่ามันเกินกว่าจะเรียกว่าการเนรเทศซะอีก
เรจิน่าเล่าให้ผมฟังขณะที่ร้องไห้ ดูเหมือนตอนแรกจะมีคนอยู่นับร้อย แต่ตัวเลขก็ค่อยๆ น้อยลงจากการโจมตีของก๊อบลิน ผู้ชายต่างเอาตัวปกป้องผู้หญิงและเด็กไว้ รวมทั้งพี่ชายและพ่อของเธอก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ชายอยู่เลยในหมู่พวกเธอ
[ ได้โปรด… ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย… ]
เรจิน่ากำลังขอร้องผม จากที่เรจิน่าเล่า ดูเหมือนอาณาจักรอัลโกลี่จะมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีกับอาณาจักรข้างเคียงทำให้ไม่มีใครต้อนรับตระกูลเรจิน่าที่เป็นราชวงศ์ของอาณาจักรนั้นเลย ด้วยเหตุนี้เธอจึงต้องหนีอย่างไม่มีที่ไหน
ผมถอนหายใจแล้วมองท้องฟ้า
ผมไม่ิคิดหรอกว่าพอช่วยแล้วเรื่องมันจะจบลงแบบนี้ ถึงผมจะพาพวกเธอหนีไปจากถิ่นของก๊อบลินได้ แต่พวกเธอก็เข้าไปในกำแพงไม่ได้เพราะเป็นผู้ลี้ภัย ซ้ำร้ายอาจจะกลายเป็นเหยื่อให้ปีศาจที่อยู่นอกกำแพงก็ได้
แม้ว่าผมจะพาไปยังประเทศใหญ่ๆ ได้ แต่ก็ไม่สามารถพาไปได้ทุกคนหรอก
[ กรุณาเถอะค่ะ… ฉันยอมทำทุกอย่าง… ! ]
เรจิน่าขอร้อง บางทีระหว่างเดินทางมาที่นี่พวกเธอคงพบเจอเรื่องลำบากมามาก เสียงของเธอถึงได้แผ่วเบาขนาดนี้
คนอื่นๆ ก้มหน้าขอร้องผม
กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซะแล้วสิ
ผมควรทำยังไงดีล่ะ…? มันคงจะง่ายดีถ้าผมทิ้งพวกเขาแล้วปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาล่ะนะ
พวกก๊อบลินคงจะแห่กันมาหลังจากที่ผมกลับไปแน่
แต่ก็ไม่เห็นจะไม่มี หากจะลดปัญหาลง
ทันใดนั้นผมก็นึกสงสัย ถ้าเรย์จิมาเจอสถานการณ์เดียวกันกับผมจะทำยังไงนะ
มองๆ ดูแล้ว เรจิน่าก็เป็นคนที่สวยคนหนึ่ง
แน่นอน เรย์จิต้องช่วยเธอแน่ จากนั้นเขาก็คงจะผลักภาระทั้งหมดให้คนอื่นดูแล ตราบเท่าที่เป็นผู้กล้าก็มีสิทธิ์ใช้อำนาจเอาแต่ใจในฐานะผู้กล้า ในกรณีที่เลวร้ายสุดๆ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นภายหลังเขาก็ไม่มีส่วนให้ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว
พอมองไปที่เรจิน่าก็ทำให้ผมเป็นห่วงขึ้นมา ถ้าเป็นเรย์จิคงไม่มาลังเลกับการตัดสินใจแบบผมหรอก
◆อัศวินดำคุโรกิ
[ คัดค้านครับ! นี่มันหมายความว่ายังไงครับ!! ]
รันฟิวกำลังส่งเสียงคัดค้านผมในป้อมปราการ
[ เพราะดูเหมือนกำลังขาดคน ผมก็เลยพาพวกทาสมาให้คอยดูแลจัดการงานในป้อมปราการไงล่ะ ลอร์ดรันฟิว ]
ผมพูดขณะที่ชี้ไปยังกลุ่มเรน่า
มันก็มีประโยชน์ด้วยสิ ถ้าให้พวกเขาทำงานในป้อมปราการนี้
ผมหวังว่าพวกเขาคงไม่ทำตัวเสียมารยาทหรอกนะ แล้วก็บอกไปแล้วด้วยว่าพวกเขาเป็นของๆ ผม ซึ่งก็คือทาสนั่นเอง
[ แต่พวกเขามีเด็กด้วยนะครับ… !!! ]
ริวฟิวพูดออกมาเพื่อต้องการบอกว่าพวกเขาไม่มีประโยชน์หรอก
[ โอย๊ะ คราวก่อนได้ยินว่าป้อมปราการนี้กำลังขาดคน จนถึงขนาดจะไปใช้แรงงานเด็กๆ เลยใข่มั้ยล่ะ? ]
ผมกลับคำแล้วชี้ไปยังลูกๆ ของรันฟิว
เสียงบ่นไม่พอใจดังขึ้นจากป้อมปราการที่มีแต่เผ่าปีศาจ
เผ่าปีศาจมองมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ด้อยค่าจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะดูแคลนหากมนุษย์จะมาทำงานที่ป้อมปราการแห่งนี้
แต่ผมไม่สนใจหรอก
[ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจก็ได้ลอร์ดรันฟิว ใช้งานพวกทาสของผมได้เต็มที่เลย ไม่ว่าจะล้างจานหรือทำความสะอาด ขอแค่ให้พวกเขากินและนอนเท่านั้นก็พอแล้ว ]
ผมพูดขณะที่แสดงท่าทีว่าไม่สนใจ
ที่จริงอาจจะดูเหมือนผมกังวลเรื่องป้อมปราการนี้ แต่แท้จริงแล้วผมก็แค่ทิ้งงานให้ลอร์ดรันฟิวคอยดูแลเท่านั้นเอง
ผมได้ยินเสียงบ่นจากเผ่าปีศาจ “ ไม่เอาด้วยหรอกเว้ย” ข้างหลัง
ดูเหมือนพวกเขาจะคิดว่าผมไม่ได้ยิน แต่อย่าลืมไปสิ ในโลกนี้ผมคือยอดมนุษย์เชียวนะ
เอาน่า ผมคิดว่าไม่มีปัญหาในภายหลังหรอก
ผมตรงดิ่งไปที่เรจิน่า แล้วอธิบายแบบสั้นๆ ให้พวกเธอหายกังวล
บางทีพวกเธออาจจะคิดว่ากำลังจะถูกเผ่าปีศาจที่นี่ฆ่าก็ได้ แต่ผมไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรพวกเธอได้มากกว่านี้อีกแล้ว
ผมไม่สามารถดูแลพวเธอได้จนสุดท้าย แต่ก็ดีกว่าไปเป็นอาหารก๊อบลินละกัน
[ คัดค้าน!! ]
รันฟิวยังคงพยายามคัดค้านผมต่อ
[ ต้องขอโทษด้วยลอร์ดริวฟิว แต่วันนี้ผมต้องกลับไปที่ปราสาทราชาปีศาจแล้ว ถ้ามีเรื่องจะคุยเอาไว้วันหน้าแล้วกัน จนถึงวันนั้นก็ฝากดูแลทาสพวกนี้ด้วยล่ะ ลอร์ดรันฟิว!! ]
ผมเน้นเสียงตอนคำพูดตอนท้ายประโยค ทำให้เขาไม่กล้าคัดค้านอะไรเพิ่มอีก
ดูเหมือนว่าขนาดรันฟิวก็ไม่อาจจะกล้าต่อปากกับผม
[ งั้นผมกลับไปปราสาทราชาปีศาจก่อนแล้วกัน ]
หลังจากพูดจบ ผมก็ขึ้นขี่โกเรียส เมินรันฟิวที่ทำท่าทีไม่พอใจไว้อย่างนั้น
โกเรียวบินขึ้นแล้วทะยานสู่ท้องฟ้า
จนเห็นป้อมปราการเล็กลงจนกลายเป็นจุดเล็กๆ
ขณะที่ขี่โกเรียสอยู่บนท้องฟ้าผมขบคิดเรื่องต่างๆ
สุดท้ายแล้วผมก็ทำเหมือนกับเรย์จิ โยนทุกอย่างให้คนอื่นเพื่อที่ตัวเองจะไม่ต้องรับผิดชอบและยิ่งทำให้เผ่าปีศาจเกลียดผมเข้าไปอีก
ผมไม่รู้หรอกว่าเรจิน่ากับคนอื่นๆ จะเป็นยังไงกันต่อไป
แต่ผมคงเสียใจแน่ถ้าไม่ช่วยชีวิตพวกเธอไว้ เรย์จิเองก็ทำเหมือนกัน ดังนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร
เอาล่ะ อย่าเก็บมาคิดดีกว่า
แทนที่จะมาคิดถึงเรื่องพรรค์นี้ ผมควรนึกถึงเรื่องเทพธิดาที่จะสร้างขึ้นวันพรุ่งนี้ดีกว่า น่าสนุกจังแฮะ
ผมขี่โกเรียสขณะที่จิตใจยังคงดำมืดเหมือนท้องฟ้าของนากอล