อัศวินดำ - ตอนที่ 25
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ หวังว่าเมื่อคืนจะได้สนุกเต็มที่นะ ]
นั่นคือคำพูดแรกของกาลิอุสที่พูดขึ้นหลังจากผมออกจากห้องมา
พูดตามตรง ผมไม่รู้เลยว่าจะตอบกลับไปว่ายังไงเพราะเพราะจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้เลย
เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สุดท้ายผมก้ไม่รู้เป้าหมายของเรน่า
ที่จริงต้องมีเหตุฉุกเฉินบางอย่างแน่ เธอถึงได้รีบกลับไป
…. หรือว่ามันจะเป็น
…. แต่ผมคิดว่ามันต้องใช่แน่
เพราะจะให้พวกเรย์จิเคลื่อนไหวเพื่อมาจัดการผมแน่นอน
ตอนที่ผมตื่นขึ้นมาก็ยังนั่งสับสนอยู่นานพอดู
ผมเก็บของในห้องที่ดูยุ่งเหยิงราวกับว่าอยากจะหนีไปในทันที
หลังจากนั้นผมก็สังเกตเห็นว่าเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ไม่ดีแน่ ถ้าผมไม่รีบหนีละก็…
พอรู้สึกตัวอีกที ห้องของผมก็สะอาดเป็นประกายไปซะแล้ว
ดูเหมือนจะทำเกินไปซะแล้ว ทั้งที่ผมไม่ได้ใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มเลย แต่เตียงก็นุ่มฟูอบอุ่นไปซะแล้ว ผมจะทำยังไงดี….
จากนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีใครมาจัดการผมเลย
เป็นไปได้มั้ยว่าเรน่าไม่มีความตั้งใจจะฆ่าผม?
ดังนั้นเธอถึงไม่ได้รายงานเรื่องของผมให้เรย์จิรู้?
หรือเธอจะรายงานเรย์จิไปแล้ว แต่เรย์จิประเมินว่าผมไร้ค่าเมื่อเทียบกับตัวเขา?
อืมมม คำอธิบายสุดท้ายดูจะสมเหตุสมผลที่สุด
แม้ว่าผมจะโกรธถ้าเป็นเพราะอย่างที่ผมคิดจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงเหมือนกัน
[ คุโระ แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะ? ]
เขาคงจะหมายถึงเรน่า กาลิอุสยิ้มกรุมกริมขณะที่ถาม
[ พอผมตื่นเธอก็ไม่อยู่แล้วนะครับ… ]
ผมตอบไปตามความจริง ผมเองก็ไม่รู้ว่าเรนาอยู่ที่ไหนเหมือนกัน
กาลิอุสแปลกใจหลังจากได้ยินคำตอบจากผม
[ แปลกจังนะ ข้าไม่เห็นว่าจะมีคนเดินผ่านมาเลย… ]
บางทีเธอคงออกไปด้วยเวทมนตร์บิน
บางทีเธออาจจะไปที่บ้านของเรย์จิล่ะมั้ง?
กาลิอุสเอียงหัวขณะที่ตกใจ แต่ก็ช่วยไม่ได้หรอก ถ้าเขาจะไม่รู้
[ ถ้ามีเวลาละก็คุโระ… ขอแนะนำให้ไปส่องกระจกก่อนเลย ใบหน้านายตอนนี้มันสุดยอดเลยล่ะ ]
กาลิอุสพูดขึ้นขณะที่หัวเราะเต็มที่
[ ? ]
ตามคำแนะนำของกาลิอุส ผมเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ
กระจกในโลกนี้ทำจากโลหะขัดเงา แม้จะค่อนข้างมองยาก แต่แค่นั้นภาพสะท้อนของผมก็เพียงพอแล้ว
ที่ใบหน้าผมมีร่องรอยถูกต่อยและยังมีรอยสีแดงเต็มไปหมด
[ นี่มัน…. รอยแดงๆ นี่มันอะไรกันนะ? ]
ถึงผมจะไม่รู้ว่าอะไร แต่มันก็ล้างออกได้
ผมเทน้ำจากเหยือกออกมาเพื่อล้างหน้า
[ ดูเหมือนมันจะล้างออกไม่ได้ง่ายๆ แฮะ… ]
เป็นไปได้ว่ารอยแดงๆ นี้อาจจะเป็นเครื่องหมายคำสาปที่จะไม่หลุดออกมาง่ายๆ รึเปล่านะ?
แม้จะต้องออกแรงขัดหน่อย แต่ก็ดีกว่าต้องปิดบังใบหน้าไว้ทั้งวันละน่า
[ รุ่นพี่กาลิอุส คุโระอยู่มั้ยครับ? ]
เสียงเรียกดังกึกก้องดังขึ้น นั่นคือเสียงของเร็มเบอร์ เกิดอะไรขึ้นกันนะ?
จากนั้นผมก็เดินไปยังห้องนั่งเล่นที่เร็มเบอร์รออยู่
[ รุ่นพี่!! คุณคุโระ!! โปรดให้ผมยืมพลังด้วยเถอะครับ! ]
เร็มเบอร์ก้มหัวขอร้องมาทางผมกับกาลิอุส
◆ สาวบริสุทธิ์แห่งดาบ ชิโรเนะ
ดีจริงๆ ที่อากาศวันนี้มีเมฆมาก
เหมาะกับการออกไปเที่ยวเล่นนอกกำแพงเมือง
วันนี้ฉันจะไม่ได้ใส่ชุดหรูหราอะไรมากมาย แล้วก็ไม่ต้องใส่เจ้าชุดเกราะน่าอายนั้นแล้วด้วย
วันนี้ทุกคนกำลังออกตามหาเจ้าโรคจิตนั่น
มันคงจะดีนะที่หาทางกลับโลกเดิมได้ แต่ว่า…
ทุกคนยกเว้นคุณจิยูกิไม่อยากกลับไปที่โลกเดิมเลย
เรย์จิคุง ริโนะจัง นาโอะจังก็ดูจะไม่มีปัญหาอะไร ถึงจะกลับไปโลกเดิมไม่ได้
คุณซาโฮโกะก็ดีจะไม่เป็นไร ตราบใดที่ได้อยู่ข้างๆ เรย์จิคุง ทางคุณเคียวกะหรือคุณคายะก็ดูจะไม่คิดจะกลับเหมือนกัน
แล้วทางฉันล่ะ?
บอกตามตรง ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน
ฉันสนุกสนานกับทุกคน บางส่วนลึกๆ ในใจของฉันกลับดีใจที่ไม่มีทางกลับไปโลกเดิมแล้ว
ฉันมีความสุขและอยากอยู่กับทุกคน
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันไม่ได้อยากกลับไปเลย
ที่คุณจิยูกิพูดน่ะถูกต้องแล้ว ฉันมีคนที่อยากเจอที่อีกโลก
ฉันไม่ยกโทษให้ไดร์ฮาร์ดแน่ หมอนั่นต้องชดใช้ที่ทำให้เส้นทางกลับโลกเดิมของเราหายไป
ฉันรู้สึกหงุดหงิดตัวเองมากที่ไปแพ้ผู้ชายคนนั้น
ในใจฉันก็อยากจะต่อสู้กับไดร์ฮาร์ดอีกครั้ง
แต่ก่อนอื่นก็ต้องยืดเส้นยืดสายก่อนจะไปต่อสู้ล่ะนะ
นั่นคือเหตุผลที่ฉันมาที่หอคอยแห่งนี้
ฉันยืดตัวและปรับการหายใจให้ราบเรียบขึ้น
มีคนเดินเข้ามาหาฉัน ชื่อของเขาคือเร็มเบอร์ อัศวินของอาณาจักรนี้และเป็นผู้ช่วยของฉันในวันนี้
[ คุณชิโรเนะ ผมได้รวบรวมทุกคนมาให้ครับ ]
ฉันหันหลังกลับไปหลังจากได้รายงานจากเร็มเบอร์
ที่ตรงนั้นมีกลุ่มคนติดอาวุธครบมือมารวมตัวกันที่ใกล้ประตูทางออกของกำแพง
พวกเขาคือคนของอาณาจักรร็อกที่จะไปสำรวจหอคอยด้วยกันกับฉัน
เพราะฉันไม่เก่งเรื่องงานตรวจสอบ คุณจิยูกิจึงได้ขอร้องให้อาณาจักรร็อกส่งคนมาช่วย
ราชายอมรับคำขอและส่งคนจากอาณาจักรมา
น่า ก็เป็นธรรมดา เพราะอาณาจักรของพวกเขากำลังถูกสคิเกอร์รุกรานล่ะนะ
จำนวนคนที่มาด้วยกันมี 12 คน เพราะนาโอะจังไม่ได้มาด้วยกัน จึงไม่มีทางเลือกต้องเติมช่องว่างด้วยจำนวนแทน
ปัญหาคือ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะพอรับมือกับพวกปีศาจในหอคอยได้มั้ย
เพราะในหอคอยน่าจะมีปีศาจเหลืออยู่ แม้ฉันจะไม่เป็นไร แต่ทางด้านพวกเขานี่สิ
ถึงฉันจะไม่เก่งเท่าเรย์จิคุง แต่ก็ยังพอมีพลังมากพอที่ปกป้องตัวเองได้
แม้จะรู้ตัวเองดีว่า หากไปเปรียบพลังกับเรย์จิคุง ตัวฉันมันน่าสมเพซขนาดไหน
ไม่ดีแล้ว ที่ฉันมาวันนี้ก็เพื่อระบายความเครียดนี่นา
อย่างที่คุณจิยูกิบอก ฉันไม่ควรเอาเรย์จิคุงเปรียบเทียบมาตรฐานผู้ชาย
ฉันก้มหัวนิดหน่อยแล้วมองไปที่พวกเขา
[ กำลังรออยู่เลยค่ะ หวังว่าเราจะร่วมมือกันได้ดีนะคะ ]
เมื่อฉันก้มหัวให้ พวกเขาก็ก้มหัวให้เช่นกัน
ดูจากสมาชิกแล้ว
หัวหน้าปาร์ตี้คือเร็มเบอร์ เขาคืออัศวินที่มาจากตระกูลอัศวินที่คอยทำหน้าที่ปกป้องอาณาจักรร็อกมาหลายชั่วอายุคน เขาค่อนข้างมีอิทธิพลมากในอาณาจักร จนถึงขั้นได้หมั้นกับเจ้าหญิง
ต่อไปก็คือหัวหน้าตัวจริง กาลิอุส แม้ว่าเขาจะเคยเป็นอัศวินมาก่อน แต่ตอนนี้เขาทำงานเป็นทหารรับจ้างแทน ตัวเขาสามารถรวบรวมคนมากฝีมือขนาดนี้ได้ในเวลาอันสั้น แค่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาเก่งขนาดไหน
ถัดไปก็คือเรนเจอร์ สโตร ดูเหมือนเขาจะเป็นนายทหารฝีมือเยี่ยมของอาณาจักรนี้และเป็นผู้กวาดล้างปีศาจในป่าร่วมกับกาลิอุส
นักเวทนิมริ ชายผู้เป็นนักใช้เวทมนตร์ของปาร์ตี้นี้ เขาเป็นผู้ใช้เวทมนตร์ของอาณาจักรร็อกและดูเหมือนนักเวทธรรมดาที่เคยเห็นตามนิยาย
คนที่เหลือก็อย่างที่คาดไว้ ทหารรับจ้างอีก 8 คนฉันจำชื่อไม่ได้ แต่จำได้แค่ 4 คนก็ดีแล้วล่ะ
จากนั้นทั้ง 12 คนรวมฉันเข้าไปด้วยเป็น 13 คนจึงเดินทางไปตรวจสอบหอคอย
[ ดีล่ะ งั้นพวกเราไปกันเลยมั้ย? ]
เมื่อฉันพูดจบ พวกเขาก็ส่งเสียงเอะอะกันเล็กน้อย
[ เอ่อ ท่านชิโรเนะ… พวกเราขอเวลาสักเดี๋ยวได้มั้ย? ]
มีคนๆ หนึ่งเดินมาหาฉัน เขาคือเรนเจอร์สโตรนั้นเอง
[ มีอะไรเหรอคะ? ]
[ กว่าเราจะไปถึงที่หอคอยจากที่นี่ก็ใช้เวลาถึงครึ่งวัน ดังนั้นก็คงจะตั้งแคมป็ใกล้ๆ หอคอยใช่มั้ยครับ? แต่เรายังไม่ได้เตรียมอะไรไปเลย… ]
สโตรถามด้วยความเป็นห่วง
[ อ่อ ไม่เป็นไรหรอกคะ เพราะพวกเราจะใช้เวทมนตร์สนับสนุนการเคลื่อนที่ให้เอง ]
เมื่อฉันพูดแบบนั้น ทุกคนก็จ้องตากันใหญ่
แม้ฉันจะไม่เก่งเท่าริโนะแต่ก็พอจะใช้เวทมนตร์ลมได้
เวทมนตร์นี้จะทำให้คนที่ตามหลังผู้ใช้สามารถวิ่งได้เร็วเท่ากับผู้ใช้เวทมนตร์นี้ ฉันจึงต้องนำหน้าในฐานะกองหน้า
ดังนั้นเราน่าจะถึงหอคอยใน 30 นาที ถ้าไปพร้อมกับทุกคน
ทุกคนต่างมองกันไปมา เมื่อฉันอธิบายให้ฟัง
แต่การอธิบายให้ฟังมากกว่านี้มันคงจะลำบาก
[ งั้นเราไปกันเถอะ! ]
◆ สาวบริสุทธิ์แห่งดาบ ชิโรเนะ
เรามาถึงหอคอยของสคิเกอร์แล้ว
[ อ่ะ จำนวนคนของพวกเราหายไปกี่คนคะ? ]
ฉันมองไปข้างหลัง ดูจำนวนทหารรับจ้างจะน้อยกว่าตอนที่อยู่ที่กำแพงเมือง
[ ดะ… ดูเหมือนพวกเราบาคน… จะออกนอกเส้นทางไปครับ ]
เร็มเบอร์พูดขณะที่กำลังหายใจหอบ
[ บะ… บางที… พะ-เพราะมันเร็ว… เกินไป… พวกเขาเลยตาม… ไม่ทันครับ ]
ฉันรู้สึกผิดหวังหลังได้ยินคำพูดของเขา
นี่ฉันลดความเร็วให้มากที่สุดแล้วนะ แต่ดูเหมือนมันก็ยังเร็วเกินไปสำหรับพวกเขาอยู่ดี
ทหารรับจ้างสี่คนหลุดเส้นทางไป ก็ยังไม่ได้หายไปถึงครึ่งล่ะนะ
ทหารรับจ้างสี่คนที่ฉันชื่อได้ก็ยังอยู่กันหมด แต่ดูเหมือนการตรวจสอบทั่วหอคอยด้วยคนแค่ 9 คนจะเป็นไปไม่ได้ ฉันมองไปที่ทหารรับจ้างที่เหลือ พวกเขาเกือบทุกคนแทบจะหมดแรงแล้วหายใจไม่ทัน ดูเหมือนแบบนี้จะไร้ประโยชน์สินะ
มีเพียงทหารรับจ้างคนเดียวที่ไม่หมดแรงไป แต่ฉันจำชื่อเขาไม่ได้ ตอนนี้เขากำลังเอาผ้าปิดห่อหน้าไว้ราวกับกำลังปกปิดมันไว้และกำลังยืนใจเย็นอยู่ข้างนิมริ
บางทีเขาอาจจะเป็นทหารรับจ้างฝีมือดี ไว้ลองถามชื่อทีหลังแล้วกัน
จากนั้นฉันก็ทิ้งเหล่าทหารรับจ้างให้เขาดูแล แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในหอคอย
[ นี่มัน? ]
ฉันสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
[ นี่มันหรือว่า… บาเรีย? ]
ฉันรู้ได้ว่าบาเรียนี่มันแตกต่างจากครั้งก่อน
ดูเหมือนในหอคอยจะมีเวทสำหรับตรวจจับอยู่
บางทีถ้าเป็นคุณจิยูกิอาจจะรู้อะไรมากกว่านี้
นอกจากนี้บาเรียนี้ยังแข็งแกร่งมาก
[ ไม่จริงน่า มันอยู่ที่นี่จริงๆ เหรอ? ]
ถ้างั้นมันก็ง่ายเกินไป และฉันก็ไม่รุ้สึกถึงพลังเวทจากสคิเกอร์เลยด้วย
[ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับท่านชิโรเนะ? ]
เร็มเบอร์เดินสั่นๆ มาหาฉัน
[ ครั้งก่อนที่มาฉันเข้ามาจากทางบนฟ้า แต่วันนี้ล่ะเราจะเข้าไปข้างหน้ากัน ]
ซึ่งเมื่อครั้งก่อนพวกเราเข้าไปเพียงแค่ชั้นบนสุดที่เป็นที่อาศัยของสคิเกอร์เท่านั้น
แม้นาโอะจะตรวจสอบดู แต่ก็ตรวจจับได้เพียงอันเดด เพราะเรารู้ว่าไม่มีสัญญาณชีวิตของสคิเกอร์แล้วเราจึงได้กลับกัน
ดังนั้นที่นี่จึงมีอันเดดและกับดักหลงเหลืออยู่
แต่ทว่าการจะไปตรวจสอบส่วนล่างของหอคอย และยังไม่มีใครใช้เวทมนตร์บินได้นอกจากฉัน ดังนั้นเลยต้องเลือกทางประตูหน้า
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ฉันเดินเข้าไปในหอคอยครั้งนึง แล้วนึกเรื่องนึงขึ้นมาได้
[ ถ้าทำงานคนเดียวมันจะดีกว่าที่จะไปห่วงเรื่องการปกป้องคนอื่นนะ แต่ถ้าคิดว่าอันตรายให้หนีไปซะ เข้าใจมั้ย? ]
ฉันถึงนึกเรื่องที่คุณจิยูกิพูดที่บอกให้ฉันระวังตัว ฉันหวังว่าพวกทหารรับจ้างจะไม่ฝืนตัวเองกันนะ คงลำบากแน่ถ้าพวกเขาเกิดตายขึ้นมา
จากนั้นเราก็เข้าไปในหอคอย
◆ อัศวินดำคุโรกิ
สถานการณ์แย่สุดๆ
ไม่ว่าผมจะพยายามคิดเท่าไหร่ก็บอกได้แต่ว่าสถานการณ์ตอนนี้มันแย่มาก
เพราะนี่เป็นหอคอยที่โกเรียสอยู่
ตอนนั้นเร็มเบอร์มาที่บ้านของกาลิอุส
ผมคิดว่าตัวเองเผลอไปทำอะไรผิดซะอีก
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ เรื่องมันต่างไป
ผมรับคำขอของเร็มเบอร์ที่บอกให้ไปกวาดล้างสคิเกอร์ด้วยกัน
แต่ผมไม่คิดว่าชิโรเนะจะไปด้วย ดีจริงๆ ที่ผมปิดหน้าไว้เพื่อซ่อนรอยแดงที่หน้าพอดี
จากท่าทางของชิโรเนะ ดูท่าเรน่าจะยังไม่ได้บอกเรย์จินะ
แต่ว่าปัญหาอื่นก็ตามมาแล้วนะสิ
เพราะขืนเป็นแบบนี้ชิโรเนะกับโกเรียสได้ต่อสู้กันแน่ ถ้างั้นล่ะก็มีหวังโกเรียสโดนชิโรเนะฆ่าแน่เลย
ผมมาจนถึงที่หอคอยแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคิดๆ ผุดขึ้นมาเลย
“คุโระ… ขอโทษด้วย”
นิมริขอโทษผม
ผมพยายามพานิมริมาที่หอคอยนี้โดยไม่ให้หลุดเส้นทาง
แต่ก็มีบางคนถูกทิ้งไว้ในป่า ผมขอภาวนาให้คนที่หลุดไปนอกเส้นทางกลับไปได้อย่างปลอดภัยทีเถอะ
แม้ว่าจะปราบปรามปีศาจไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เหลืออยู่เลย มันยังอันตรายอยู่
เพราะเทียบกับพวกเราที่มาจากอีกโลก คนพวกนั้นอ่อนแอใช่มั้ยล่ะ?
เหล่าคนที่วิ่งมาจนถึงที่นี่ได้ต่างเหนื่อยหอบ หายใจแรงกันทุกคน
แต่ชิโรเนะไม่สนใจคนที่ขยับตัวไม่ได้และมุ่งหน้าไปที่หอคอยอย่างรวดเร็ว
ผมอยากให้เธอทำงานเป็นทีมกันให้มากกว่านี้สักนิดจัง แต่ดูจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคาแล็คเตอร์ของชิโรเนะ
ชิโรเนะเป็นคนที่แข็งแกร่ง
และไม่ชอบคนที่อ่อนแอกว่า ซึ่งสาเหตุนั้นผมรู้ดี
ชิโรเนะเกิดในบ้านอาคามิเระ ซึ่งบ้านนั้นไม่มีเด็กผู้ชายเลย
คุณลุงอาคามิเนะถึงจะไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็อยากให้ผู้ชายเป็นผู้สืบทอต่อ
บางทีเธอคงรู้ความปรารถนาที่อยากได้ลูกเป็นผู้ชายในใจของพ่อ เธอถึงได้พยายามให้ไม่แพ้พวกผู้ชาย
จากนั้นชิโรเนะก็กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งจนผู้ชายแถวนั้นสู้ไม่ได้ และเธอก็เริ่มจะมีนิสัยเกลียดผู้ชายที่อ่อนแอ
ชิโรเนะนั้นมักจะไปช่วยเหลือเด็กผู้หญิงอ่อนแอจากพวกอันธพาล ด้วยเหตุนี้ทำให้มีเด็กผู้หญิงมาชอบชิโรเนะอยู่เยอะทีเดียว
ผมกับชิโรเนะเป็นคนทีชอบอ่านการ์ตูนและนิยายมาก สมัยเด็กๆ ก็มักจะเล่นเกมกำจัดเหล่าร้ายกัน
โดยผมมักจะได้รับบทเป็นตัวร้ายตอนที่เล่นกับชิโรเนะ
คงเพราะสาเหตุนั้นเธอถึงได้ไปจัดการเหล่าอันธพาลที่รังแกคนอ่อนแอ ในฐานะผู้กล้าชิโรเนะ
แต่บางทีชิโรเนะคนเกลียดผมแน่ ถ้าผมกลายเป็นตัวร้ายของจริงแบบนี้
จากนั้นผมก็เพิ่งสังเกตว่า
พักนี้ตอนที่ชิโรเนะไปจัดการพวกอัทธพาลพวกนั้น มักจะมีผู้ชายคนหนึ่งช่วยเธอสู้เสมอ ผู้ชายคนนั้นก็คือเรย์จิ
สำหรับชิโรเนะและเรย์จิคงจะเป็นตัวเอก
ส่วนตรงข้ามกัน ผมนั้นผมตัวร้ายที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยถูกชิโรเนะทิ้งไว้
แต่คราวนี้ผมจะปล่อยให้นี่เป็นการเล่นของพวกเขาไม่ได้ ผมไม่ปล่อยให้ผู้กล้าชิโรเนะฆ่ามังกรหรอก
จากนั้นคุณเร็มเบอร์และกาลิอุสก็เหมือนจะฟื้นตัวจนขยับตัวกันได้แล้ว ดังนั้นเขาเลยตามหลังชิโรเนะไป
ผมเองก็ต้องไปด้วย
ผมต้องทำอะไรสักอย่าง จากนั้นผมก็เพิ่งนึกถึงสร้อยคอตกอยู่บนเตียง
◆ อัศวินดำคุโรกิ
เพื่อไปที่ชั้นหนึ่ง การเข้าทางประตูหน้าจึงไม่มีทาง เพราะสคิเกอร์เดิมทีเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีปีก
สคิเกอร์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่กินมนุษย์จึงจงใจล่อมนุษย์เข้ามาหลายต่อหลายคนแล้ว
จากที่เร็มเบอร์เล่ามา อาณาจักรเพื่อนบ้านที่อยู่รอบๆ หอคอยนี้รวมทั้งอาณาจักรร็อกได้ส่งกำลังกองกำลังทหารเข้ามาท้าทายที่หอคอยนี้ แต่จนสุดท้ายก็ไม่มีใครกลับมา บางทีพวกเขาอาจจะถูกดูดเลือดและตายไปแล้ว จนสุดท้ายก็กลายเป็นอันเดด
แม้ปัจจุบันตอนนี้ก็ยังมีกับดักและอันเดดเหลืออยู่อีกมากในหอคอยนี้
แต่ผมคิดว่าไม่เป็นไรหรอก ถ้าอยู่กับชิโรเนะ
[ จะว่าไปแล้วคุณคุโระทำไมต้องปิดหน้าด้วยล่ะครับ? ]
คำถามของเร็มเบอร์ตรงประเด็นมาก
มันก็มีหลายเหตุผล แต่เหตุผลสูงสุดก็คือไม่อยากให้ชิโรเนะรู้ตัวจริง เพียงแต่ผมบอกความจริงไปไม่ได้ จะทำให้เขาเข้าใจได้ยังไงกันนะ
[ มีหลายๆ เรื่องนะ เร็มเบอร์ ]
กาลิอุสเข้าไปใกล้ขณะที่หัวเราะ จากนั้นเขาไปกระซิบบอกเร็มเบอร์
[ เหตุผลแบบนั้นเองเหรอ คุณคุโระนี่ก็น่าตกใจเหมือนกันนะครับ? ]
จากนั้นเขาก็หัวเราะไปด้วยกัน
[ พูดถึงเรื่องอะไรกันครับ?!!! ]
ผมท้องกาลิอุส
ดูเหมือนเหตุผลที่ผมต้องซ่อนใบหน้าจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น
[ น่า น่า เรารีบไปกันดีกว่า ]
[ ครับคุณคุโระ เรารีบตามท่านชิโรเนะไปดีกว่า ]
ทั้งสองคนวิ่งไปแล้วหัวเราะ
ถึงผมจะยอมรับไม่ได้ แต่ก็ไม่ต้องหาข้อแก้ตัวแล้ว
เมื่อเข้าไปในหอคอยด้านในกว้างและมืดมาก ถึงจะไม่มีแสงผมก็มองเห็นอยู่ดี แต่ดูเหมือนกาลิอุสจะมองไม่เห็นอะไรเลย
นิมริที่เป็นผู้ใช้เวทมนตร์ใช้เวททำให้เกิดแสงสว่างขึ้น แต่ดูเหมือนแสงจะส่องไปไม่ทั่วหอคอย เพราะมันกว้างเกินไป
ภายในหอคอยนั้นมืดมาก แต่ชิโรเนะก็เดินไปโดยไม่สนคนอื่นๆ เลยผมเองก็รีบก้าวไปทันที
[ เร็มเบอร์… ถึงหอคอยนี้จะไม่มีสคิเกอร์อยู่แล้วก็เถอะ แต่การปล่อยให้เด็กผู้หญิงไปเดินนำหน้านี่มันดีแล้วเรอะ? ]
กาลิอุสพูดขึ้นขณะที่ก้าวเดิน
[ ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก เพราะท่านชิโรเนะแข็งแกร่งกว่าเรามาก ]
เพราะรูปร่างหน้าตาของชิโรเนะเป็นสาวสวย จากมุมมองของกาลิอุสจึงดูว่าเธอไม่ได้แข็งแกร่งอะไรนัก
[ ท่านชิโรเนะมีฝีมือดาบยอดเยี่ยม แต่ก็ยังสามารถใช้เวทสปิริต เวทรักษาและเวทแสงอาทิตย์ได้อีกด้วย แม้จะระดับต่ำก็ตาม ท่านชิโรเนะจึงเป็นนักดาบเวท แม้เราทุกคนที่นี่จะรวมหัวกันก็ไม่อาจเอาชนะเธอได้ครับ ดังนั้นเราควรปกป้องตัวเองให้ดีอย่าเป็นภาระให้ท่านชิโรเนะจะดีกว่า ]
เร็มเบอร์พูดเพื่อแนะนำแก่พวกเขา
[ ใช่แสงจากนิมริเป็นตัวนำทาง สโตรที่เป็นเรนเตอร์คอยดูรอบๆ ว่ามีอะไรน่าสงสัยมั้ย อีกสองคนคอยคุ้มกันหน้าและหลังกับฉัน ]
ด้านหน้าคือสโตรที่คอยดูสิ่งผิดปกติเหมือนทุกที ส่วนด้านหลังก็คือผม
ที่จริงก็อยากจะไปนำหน้าให้ชิโรเนะอยู่เหมือนกัน
เพราะเวลามองไปที่แผ่นหลังของชิโรเนะแล้วมันรู้สึกมีความคิดไม่อกุศลเข้ามาในหัว
แม้ว่ามันนี้เธอจะแต่งตัวธรรมดาๆ แต่ผมก็ไม่ลืมชุดของชิโรเนะเมื่อวานได้เลย
แน่นอน มันเป็นเหมือนภาพที่จำได้ขึ้นใจ หยุดคิดดีกว่าแฮะ
ทุกคนหยุดเดิน
[ มีบางอย่างอยู่ที่นี่ ]
สโตรที่เดินนำหน้ารู้สึกถึงอะไรบางอย่างและชี้ไปข้างหน้า
แม้กาลิอุสจะมองไม่เห็น แต่ก็พอเห็นว่ามีอะไรลางๆ กำลังใกล้เข้ามา
มันคือซอมยี้ พวกมันคงเคยเป็นมนุษย์มาก่อนและยังติดอาวุธด้วย
ทหารซอบี้ 5 ตัวเดินเข้ามาทางนี้แต่ช้ามาก
[ แสง!! ]
เมื่อจบคำนั้น แสงจ้าก็ส่องออกจากมือและส่องไปที่ซอมบี้
นี่เป็นเวทมนตร์แสงแดดที่บอกได้เลยว่าใช้ได้เฉพาะนักบวชขั้นสูงเท่านั้น
ซอมบี้สลายกลายเป็นขี้เถ้าจากการโจมตีของแสงนั้น เหลือเพียงเสื้อผ้าและเกราะไว้เท่านั้น
[ เมื่อกี้ยอดเลยแฮะ ]
นั่นคือเวทมนตร์ของนิมริ
ศัตรูประเภทอันเดดเป็นศัตรูที่จัดการลำบาก การโจมตีปกติแทบจะไม่ได้ผล
นอกจากนี้ซอมบี้บางตัวยังเหลือความสามารถเดิมด้วย ซึ่งซอมบี้ก่อนหน้านี้สามารถใช้ดาบและโล่เป็น
คงจะลำบากแน่ถ้ามีแค่กาลิอุสร่วมปาร์ตี้ปราบสคิเกอร์ครั้งนี้เพียงคนเดียว
นี่ไม่ใช่เวทมนตร์เพื่อต่อสู้กับมนุษย์แต่เป็นอันเดดนั้นเอง
[ ถ้าจัดการมันด้วยเวทมนตร์ก็ไม่น่าสนุกสิค่ะ ]
แต่ดูเหมือนชิโรเนะจะไม่พอใจ
[ มาแล้ว! ]
สโตรส่งเสียงบอก
ซอมบี้นับสิบกำลังมุ่งตรงมาทางนี้
พอเข้ามาในหอคอยก็ต้อนรับด้วยซอมบี้เลยเหรอ?
แต่ถ้าใช้เวทแสงแดดมันก็จะกลายเป็นขี้เถ้าในทันที
ชิโรเนะใช้ดาบปักเข้าใส่หัวซอมบี้แล้วดึงออกมา
[ ใช้เวทมนตร์แสงแดดสิ!! ]
ปัญหาคือพวกเขากำลังสับสนกันอยู่
[ ใบดาบเพลิง!! ]
จากนั้นก็มีเปลวไฟมาล้อมรอบดาบของชิโรเนะไว้
[ ดาบผ่าเพลิง!! ]
จากนั้นเธอก็ไปซัดกับซอมบี้อย่างที่เห็น
[ โห… ยอดเลยนะ… ]
กาลิอุสส่งเสียงตกใจ
[ การต่อสู้กับอันเดดในความมืดนี่มัน… ]
นิมริพึมพำคำพูดนั้นออกมา
แม้ว่าจะเผาซอมบี้จนเหลือแต่กระดูกแล้วก็ตาม มันก็จะกลายเป็นสเกเลตันรูปแบบกระดูกอยู่ดีดังนั้นการจะเอาชนะอันเดดจึงยากมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างโครงกระดูกอาวุธธรรมดาทำอะไรมันไม่ได้และสร้างความเสียหายไม่ได้ เว้นเสียแต่จะใช้ดาบเวทเท่านั้น
ดาบสีเงินของชิโรเนะคือดาบเวทมนตร์ซึ่งจะทำให้มีไฟปรากฏขึ้นที่ใบดาบและสามารถจัดการเหล่าซอมบี้ได้
จากฝีมือชิโรเนะทำให้ซอมบี้มากมายถูกจัดการในพริบตา
ทุกคนรู้สึกตกใจจนขยับไม่ได้
ทุกตัวถูกจัดการได้ด้วยเพียงดาบเล่มนั้นเล่มเดียว
[ เอาล่ะ ไปกันต่อเถอะค่ะ ]
ชิโรเนะหันหลังกลับมาด้วยใบหน้าสดใส
พวกเราต่างมองไปที่เธอด้วยความรู้สึกสุดจะพรรณนา
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ แข็งแกร่ง นี่ เร็มเบอร์…. ภรรยาของผู้กล้านี่แข็งแกร่งสุดๆ เลยไม่ใช่เหรอไง? ]
กาลิอุสบ่นพึมพำ
ต้องขอบคุณชิโรเนะที่ทำให้เราผ่านเข้าสู่กลางหอคอยได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นมาเรายังเจอแมงมุมอันเดด ค้างคาวดูดเลือดและยังแมงมุมยักษ์ แต่มันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชิโรเนะ
ชิโรเนะจัดการมันทั้งหมดจนมาถึงที่นี่
แน่นอนว่ายังมีกับดักเหลืออยู่ แต่ชิโรเนะก็ยังหลบได้ด้วยสัญชาตญาณ
แม้จะมีลูกธนูลอยมา แต่ชิโรเนะก็เอียงตัวหลบได้ทัน แม้จะมีหลุมอยู่ ชิโรเนะก็โดดก่อนจะตกลงไปได้ทันเสมอ และถึงแม้เพดานจะหล่นลงมา เธอก็ดันมันกลับด้วยมือข้างเดียว
ขอพูดตามตรงนะ พวกเขาจำเป็นด้วยเหรอ?
[ ข้าเองก็ทึ่งเหมือนกันตอนที่ได้เห็นพลังของผู้กล้า แต่ไม่คิดเลยว่าภรรยาของผู้กล้าเองก็จะแข็งแกร่งขนาดนี้ ]
นิมริเองก็ชมเธอเหมือนกับกาลิอุส
แม้ว่าผมเองก็จะทำได้ แต่มันก็ยังน่าทึ่งสำหรับพวกเขาสองคนอยู่ดี
และทั้งสองก็ไม่ได้สนใจเรื่องความสัมพันธ์ของเรย์จิกับชิโรเนะอะไรเป็นพิเศษ
แม้ในโลกเดิมพวกเธอก็เป็นผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเรย์จิอยู่แล้ว ดังนั้นถึงมาที่โลกนี้มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก
ผมเริ่มคิดแล้วว่าการมาปกป้องพวกผู้กล้านี่มันไร้สาระชะมัด
หลังจากเสร็จเรื่อง ผมไปตัดเขาของราชันย์มังกรศักดิ์สิทธิ์มาดีมั้ยนะ?
บางทีอาจจะได้สาวสวยอย่างเรน่ามาอยู่ข้างกายก็ได้
พอผมนึกถึงใบหน้าของเรน่า หัวใจของผมก็เจ็บปวด
ผมคิดถึงเรน่า
นี่เรน่ากำลังทำอะไรอยู่นะ?
จากนั้นจู่ๆ ชิโรเนะก็หยุดเดิน
[ มีอะไรเหรอครับท่านชิโรเนะ? ]
เพราะจู่ๆ ก็หยุดและเงียบไป เร็มเบอร์เลยถามขึ้น
ชิโรเนะมองไปที่ประตู ปะตูบานนั้นต่างจากที่อื่นๆ
[ มันต้องมีอะไรอยู่แน่ ]
สโตรพูด ผมเองก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างหลังประตูเหมือนกัน
[ ฉันจะไปก่อนแล้วกันนะ ]
ชิโรเนะเปิดประตูเข้าไป
[ นี่มันแสงไฟ? ]
เสียงตกใจดังขึ้น
ห้องพักนี้มีขนาดใหญ่และยังมีแสงไฟส่องสว่างต่างจากห้องอื่นๆ และมันยังไม่ใช่แสงจากเวทมนตร์เหมือนของนิมริ
นี่มันยังไม่ใช่แค่นั้น
มีคนยืนอยู่กลางห้อง ลักษณะเหมือนกับมนุษย์ที่มีชีวิต ไม่ใช่ซอมบี้
คนๆ นั้นผมสีทองและสวมเสื้อคลุมสีดำไปหมด มันเป็นเสื้อผ้าที่สวยงามไม่เหมือนที่กอบลินหรือซอมบี้ใส่อยู่ และยังดูหรูหรา
[ โอ้ มาหาข้าเองถึงที่นี่เลยรึเนี่ย เจ้าพวกมนุษย์!! ]
ผู้ชายคนนั้นหัวเราะ
[ มองไปที่ตาเขาสิ!! นั่นมันไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์!! ]
สโตรส่งเสียงออกมา
ดวงตาของผู้ชายคนนั้นส่องแสงสีแดงและยังมีเขี้ยวงอกจากปาก
[ แวมไพร์!! ]
นิมริตะโกน
แวมไพร์ต่างจากพวกซอมบี้ที่เจอมาในหอคอยนี้ลิบลับ เพราะมันเป็นปีศาจชั้นสูง ที่มีสมองและใช้เวทมนตร์ได้
[ ไม่จริงน่า นี่พวกสคิเกอร์คอยรับใช้แวมไพร์งั้นเหรอ… ]
เร็มเบอร์ส่งเสียงตกใจ
[ แสงแดด!! ]
[ ม่านเงาแห่งความมืด! ]
ชิโรเนะแล้วแวมไพร์ใช้เวทมนตร์ออกมาพร้อมกัน
แสงที่ปล่อยจากมือของชิโรเนะถูกขวางไว้ด้วยหมอกสีดำที่ปกคลุมร่างของแวมไพร์
[ ถ้ามันไม่ใช่แสงแดดของจริง ไม่มีทางจัดการข้าได้หรอก ]
แวมไพร์หัวเราะ
[ โห ก็ไม่เลวนี่นา ]
เสียงชิโรเนะดูมีความสุข
[ ฮุฮุ เจ้าเองก็เหมือนกัน… ดูเหมือนเจ้าหญิง ไม่สิน่าจะเป็นนักบวชชั้นสูงมากกว่า…. ข้าประทับใจในตัวเจ้ามาก ว่าไง! ไม่สนใจมาเป็นเจ้าสาวของเอลคีโทสผู้นี้หน่อยรึ? ]
แวมไพร์ชื่อเอลคีโทสพูดแล้วก็เลียที่ริมฝีปาก จากนั้นก็จ้องมาที่ชิโรเนะ
เจ้าสาวในความหมายของมันก็น่าจะหมายถึงแหล่งเลือดล่ะนะ
แน่นอน ผมไม่ปล่อยให้ทำแบบนั้นหรอก
[ โทษทีนะ แต่ฉันไม่สนใจคนที่อ่อนแอกว่าหรอก ]
ชิโรเนะหันดาบไปหาเอลคีโทส
[ ก็ได้ งั้นมาดวลกัน ถ้าข้าแข็งแกร่งกว่า เจ้าจะต้องมาเป็นเจ้าสาวของข้า ]
ปีกค้างคาวงอกออกมาจากหลังของเอคคิโตส
การต่อสู้เริ่มขึ้นแล้ว
[ ช่วยรอก่อนครับท่านชิโรเนะ!! ]
นิมริจู่ๆ ก็พูดขึ้นมา
[ มีอะไรงั้นเหรอ? ]
เพราะมันเป็นการรบกวนการต่อสู้รึเปล่านะ? ชิโรเนะถึงได้ดูอารมณ์เสียเพราะนิมริ
[ มีบางอย่างที่ข้าอยากยืนยันก่อน… ]
นิมริพยักหน้าจากนั้นมองไปที่เอคคิโตส
[ เจ้าแก่นี่ดันมาขัดขวางเวลาของข้ากับเธอซะได้ ]
แวมไพร์ดูจะไม่พอใจ
[ ซอมบี้ที่โผล่มาพักนี้เป็นฝีมือของนายงั้นเหรอ? ]
นิมริถาม
เพราะสาเหตุที่เรามาที่หอคอยนี้ก็เพื่อตามหาสคิเกอร์ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุของฝูงซอมบี้
แต่ถึงแม้จะไม่ใช่แค่สคิเกอร์เท่านั้นที่สร้างซอมบี้ได้ เพราะแวมไพร์ก็ทำได้เหมือนกัน ดังนั้นแวมไพร์ตัวนี้อาจจะเป็นคนร้ายของเรื่องคราวนี้ก็ได้
นิมริพยายามยืนยันเรื่องนั้น
[ อ่ะ จะว่าไปก็จริงด้วยสิ! ]
ชิโรเนะส่งคำชมไปให้นิมริ ดูท่าเธอจะรู้สึกตัวแล้วว่ามาทำอะไรที่นี่
นี่เธอมาที่นี่เพราะจะกวาดล้างปีศาจรึไง? ที่แล้วๆ มาเองก็เหมือนกัน
[ ใช่แล้วครับ… ตอนนี้เรายังค่อยได้ข้อมูลอะไรเลย ]
มันอาจจะพูดลำบาก
แต่บางทีที่เร็มเบอร์พูดคงถูกแล้ว มันเหมือนแค่ชิโรเนะมาระบายอารมณ์
ถ้าผู้ชายคนไหนไปทำเธอโกรธ เธอจะฆ่ามันแบบนี้เลยใช่มั้ยเนี่ย?
[ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าหมายถึงเรื่องอะไร แต่ข้าไม่ได้สร้างซอมบี้อะไรเลย เพราะเพิ่งตื่นเมื่อสามวันก่อนเอง ]
เอลคีโทสพูดออกมา
ผมไม่คิดว่าเขาโกหก งั้นคนร้ายก็ไม่ใช่เขา
แต่สามวันก่อน… นั่นมันวันที่ผมมาที่หอคอยนี้ไม่ใช่เหรอ
[ หลับอยู่จนกระทั่งสามวันก่อน? งั้นตอนที่ฉันมาที่หอคอยคราวก่อน นายเองก็หลับอยู่เหมือนกันงั้นเหรอ? ]
[ ฮึ ที่จริงแล้วข้าถูกผนึกไว้ พวกมันคงเกรงกลัวพลังของข้านั้นแหละ ]
เอลคีโทสตอบอย่างมีความสุข
เพราะคำตอบมันต่างจากที่นิมริและชิโรเนะต้องการ พวกเขาเลยดูผิดหวังนิดหน่อย
[ แล้วทำไมนายถึงได้ตื่นขึ้นล่ะ? ]
[ เมื่อสามวันก่อน ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็มีชายที่มีพลังเวทความมืดอันทรงพลังมาที่หอคอยนี้ พลังเวทของเขาทำให้ข้าหลุดออกจากผนึกได้ เขาคงเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังแน่ๆ ]
คำพูดของเอลคีโทสทำให้ผมชะงักไป
แปลกจังแฮะ ตอนที่ผมมาที่นี่เมื่อสามวันเมื่อสามวันก่อนก็ไม่เห็นว่าจะรู้สึกถึงพลังอะไรเลยนี่นา
จากนั้นต่อมาผมก็กางบาเรียเวทมนตร์ไว้ให้ครอบคลุมทั้งหอคอย ซึ่งจะมีแต่ผู้มีพลังเวทเท่านั้นที่จะรู้สึกได้
แต่มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งอะไรขนาดนั้นหรอกนะ
[ แล้วคนๆ นั้น… ยังอยู่ที่หอคอยนี้มั้ย? ]
ชิโรเนะรอฟังอย่างตื่นเต้น บางทีเธอคงอยากสู้ด้วยล่ะมั้ง
แต่เอลคีโทสส่ายหัว
[ไม่อยู่แแล้ว ชายคนนั้นขี่สิ่งนั้นมาจากนั้นก็ทิ้งมันไว้ แล้วไปที่ไหนสักแห่ง ]
[ เดี๋ยวนะ สิ่งหนึ่งที่ชายคนนั้นทิ้งเอาไว้มันคืออะไรกันแน่? ]
[ มังกรนะสิ!! ไม่รู้หรอกนะว่ามันมาจากไหน ]
[ ว่าไงนะ!! ]
เสียงของทุกคนดังขึ้น
[ มังกรงั้นเหรอ… ]
[ แถมยังบอกว่าเขาคนนั้นขี่มาด้วย ]
[ เราจัดการมังกรไม่ได้หรอก… ]
ทุกคนตกใจมากที่มีมังกรอยู่ในหอคอยนี้
ผมเองก็ตกใจเหมือนกันแต่ด้วยสาเหตุอื่น
สาเหตุนั้นก็คือ ผมทำให้แวมไพร์ตัวนี้ตื่นขึ้นมานี่ล่ะ
[ มังกรงั้นเหรอ… ดูเหมือนโลกนี้จะมีมังกรอยู่เยอะเลยสินะ ชักน่าสนุกนิดหน่อยแล้วสิ ]
ชิโรเนะพูดอย่างมีความสุข
[ ขอโทษด้วย แต่ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องเพิ่มเติมก็ไปถามจากคนๆ หลังจากที่จัดการข้าได้แล้วกัน ]
เอลคีโทสตั้งท่า
จากนั้นชิโรเนะก็ดึงดาบออกมาเหมือนกัน
[ เจอนี่หน่อยเป็นยังไง ดวงตาแห่งปีศาจ! ]
ดวงตาขอเอลคีโทสสว่างด้วยแสงสีแดง
[ อ๊ากก!! ]
[ บุ๊! ]
[ อุจี๊! ]
ทุกคนยกเว้นผมกับชิโรเนะที่โดนแสงจากตานั้นเข้าไป ลมลงไปแล้ว
นี่คงเพราะความต้านทานเวทมนตร์สินะ
[ สบายใจได้ ข้าไม่ฆ่าพวกแกหรอก เพราะพวกแกจะเป็นอาหารของข้าและได้เฝ้าดูข้ากับเธอ*** กัน ]
เอลคีโทสหัวเราะออกมาสุดเสียง
พวกกาลิอุสทรุดลงกับพื้นด้วยเสียงครวญคราง
ผมเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะเวทรักษาของผมใช้ไม่ได้กับคนอื่น
แม้ว่าชิโรเนะพอจะใช้เวทรักษาได้บ้าง แต่ดูเธอยังไม่อยากช่วยพวกกาลิอุสตอนนี้
[ แค่นี้ก็เหลือเพียงแค่ข้ากับเจ้าแล้ว… แค่เราสองต่อสอง ]
เอลคีโทสยืนแล้วมองมาทางนี้ ดูเหมือนมันจะพึ่งสังเกตว่าผมเองก็ไม่ได้ล้มลงไปด้วย
[ นี่แก!! ]
ผมคิดว่าสถานการณ์มันคงจะแย่ลง ผมเลยแกล้งทำเป็นล้มลงไปด้วย
[ ดูเหมือนมันจะแค่ต่อต้านเวทมนตร์ข้าได้นิดหน่อยสินะ เอาล่ะ มาสนุกกับช่วงเวลาสองต่อสองของเราดีกว่า? ]
ทันทีที่เห็นผมล้มลงไป เขาก็หลงเชื่อสนิทใจ
บางทีมันอาจจะไม่ได้สนใจตัวผมเลยก็ได้
[ งั้นก็อย่าทำให้ฉันผิดหวังที่อุตส่าห์รอแล้วกัน!! ]
เพราะไม่มีใครเห็นผมเลย
ผมเลยพยายามแอบไปดูแลคนที่อยู่ข้างหลัง
ทั้งสองคนนั้นหันหน้าต่อสู้กัน
ดูเหมือนพวกเขาจะไม่สังเกตเห็นเรื่องอื่นเลยนอกจากการต่อสู้ตรงหน้า
นี่เป็นโอกาสล่ะ ผมใช้ช่วงจังหวะนี้ไปหาพวกกาลิอุส
ถ้าแอบไปที่ข้างหลังกาลิอุสได้ก็ไม่น่าจะถูกเห็นแล้ว
นอกจากนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นที่ต้องไปช่วยชิโรเนะด้วย
ผมใช้จังหวะที่พวกเขาต่อสู้กันคืบคลานไปทีละนิดเพื่อไม่ให้โดนเห็นเข้า
การเคลื่อนไหวแบบนี้มันดูเหมือนแมลงสาบเลยแฮะ
◆ สาวบริสุทธิ์แห่งดาบ ชิโรเนะ
แวมไพร์ตรงหน้าฉัน
มันแข็งแกร่งกว่าสคิเกอร์ที่เคยอยู่ที่หอคอยนี้ซะอีก
แต่ฉันไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองจะแพ้
แน่นอน ที่ฉันทำมันผิด
ความจริงฉันควรจะเรียกเรย์จิมาดีกว่า เพราะแวมไพร์ตัวนี้ค่อนข้างแข็งแกร่ง
แต่ฉันไม่เรียกเขามาหรอก แน่นอนว่าจะโดนคุณจิยูกิโกรธทีหลังแน่
เพราะเดิมทีที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากระบายความเครียดที่พ่ายให้ไดร์ฮาร์ดอยู่แล้ว
ฉันหันดาบเข้าหา
คริสตัลสีฟ้าของตัวดาบส่องแสงจางๆ ออกมา
ดาบประกายปีกสีฟ้า
นี่เป็นดาบที่ฉันชื่นชอบ โดนด้ามดาบถูกตกแต่งด้วยปีก
[ เจอนี้ไปซะ คลื่นเสียงอัลต้ราโซนิค!! ]
เอลคีโทสใช้เวทมนตร์ออกมา
[ กำแพงลม!! ]
ฉันใช้เวทป้องกันอย่างรวดเร็ว
เอลคีโทสใช้คลื่นแสงออกมา แต่ก็ถูกฉันป้องกันไว้ได้ด้วยเวทกำแพงลม
[ โห ใช้ได้นี่ ]
ใบหน้าของเอลคีโทสไม่เปลี่ยนแปลงถึงเวทมนตร์ของมันจะถูกป้องกันไว้ได้
แค่นี้ไม่พอจะจัดการฉันได้หรอก
[ ใบดาบเพลิง!! ]
ฉันฟันเอลคีโทสด้วยดาบที่ห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง
[ ใบมีด!! ]
เมื่อเอลคีโทสร่ายคาถาจบ ก็มีใบมีดโผล่มาจากหลังปีกของเขา
[ มันค่อนข้างเร็วเลยล่ะนะ… อะไรกัน!! ]
สีหน้าของเอลคีโทสเปลี่ยนไป
ฉันจับดาบแล้วฟันไปที่ปีกของมัน
คิดว่าแค่นี้ก็น่าจะหยุดใบมีดพวกนั้นได้แล้ว?
[ อะไรกัน!! ]
ฉันฟันร่างและปีกแต่ละข้างของเอลคีโทส
[ อุ๊ก!! ]
เอลคีโทสส่งเสียงพึมพำออกมา จากนั้นก็ถอยไปข้างหลัง
ปีกและร่างกายที่ถูกตัดของมันเริ่มฟื้นฟูตัวเอง
บาดแผลขนาดนั้น ถ้าเป็นมนุษย์คงจะตายทันทีเลยแน่ๆ แต่เพราะเขาเป็นแวมไพร์มันคงไม่ง่ายนัก
ดูเหมือนจะสร้างความเสียหายได้อยู่ แต่ก็ยังยากที่จะทำความเสียหายได้เท่าแสงแดด
[ แก–!! เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ!! กล้าดียังไง!! ]
หน้าของเอลคีโทสโกรธมาก
[ กล้ามาทำให้ข้าผู้นี้ต้องบาดเจ็บ ]
ท่าทางเหมือนสุภาพบุรุษของเขาหายไปแล้ว
[ หยุดเล่นกันได้แล้ว!! ข้าจะฆ่าแกซะ!! ]
เอลคีโทสชักดาบที่เหมือนเคียวออกมาจากข้างหลัง
เคียวนั้นส่องแสงสีแดงออกมา
[ จงเตรียมตัวตายซะ เจ้ามนุษย์สกปรกชั้นต่ำ–!! ]
เอลคีโทสถือดาบไว้ถือหัว
[ คลื่นเพิ่มความเร็ว!! ]
เอลคีโทสกำลังเพิ่มความเร็วขึ้นจากเริ่ม
[ ฮึ่ม! ! ]
เอลคีโทสรุกเข้ามาด้วยความเร็วสูงและใช้เคียวฟันหลายต่อหลายครั้ง
[ รับไปซะ!! ]
ฉันหมุนตัวขณะที่ตระโกน จากนั้นก็ฟันใส่โดยใส่ด้วยพลังทั้งหมด
[ เวรเอ๊ย! ]
ขณะที่แอลคีโทสกำลังล้มลงและมองไปที่เท้าของตัวเองนั้นอง
ฉันเองก็กระโดดและย้ายไปอยู่ข้างหลังเอลคีโทส
[ อะไรกัน!! ]
เอลคีโทสสับสนและถูกหลอกแล้ว
โดยไม่รู้ว่าฉันมาอยู่ข้างหลังแล้ว เขาพยายามหันหลังกลับมา แต่มันสายเกินไปแล้ว
[ เจอนี่ซะ!! ]
ฉันฟันใส่แขนขวาของเอลคีโทส
[ งี่เง่า!! มนุษย์จะเคลื่อนไหวได้เร็วแบบนั้นได้ยังไงกัน!! ]
เอลคีโทสร้องออกมาขณะที่แขนถูกตัด
ถึงจะโกรธไปฉันก็ไม่รู้หรอกนะ
[ หยิบดาบแล้วมาสู้กันต่อสิ ]
ฉันบอกให้เขาก้มลงไปหยิบดาบขึ้นมา
เอลคีโทสก้มลงอย่างช้าๆ และหยิบดาบขึ้นมา
[ ดูเหมือนว่า… เธอจะไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาสินะ ]
เอลคีโทสพูดจบ จากนั้นเขาก็มองไปทางเร็มเบอร์
[ เอ็กโพชั่น (ระเบิดกัมปนาท) ]
จู่ๆ เอลคีโทสก็ใช้เวทใส่เร็มเบอร์
[ เล่นสกปรกนี่! ]
เพราะฉันคิดว่าไปช่วยเขาไม่ทันแน่ จึงได้ใช้เวทมนตร์ปกป้องแทน
[ กำแพงน้ำ!! ]
จากนั้นกำแพงน้ำก็ปรากฏขึ้นป้องกันเวทระเบิดได้ทัน
น้ำระเหยจากแรงระเบิดทำให้เกิดไขน้ำฟุ้งไปทั่ว
[ เฮ้!! ไม่ใช่ว่าเรากำลังสู้กันอยู่รึไง!! ]
ฉันท้วงเอลคีโทส
แต่ไม่มีคำตอบกลับมา
ไม่นานไอน้ำก็หายไป เอลคีโทสเองก็หายไปด้วย
และมีรูขนาดใหญ่อยู่บนกำแพง
เพราะรูนั้นทำให้มองเห็นข้างนอกของหอคอยและท้องฟ้าข้างนอก
[ อาーーー!! หนีไปซะแล้ว ーーー!!! ]
ฉันตระโกนออกไป
[ ดูเหมือนจะหนีไปแล้วสินะ! ]
ฉันตั้งสมาธิไปที่หลังของตัวเอง
[ ปีกนางฟ้าเซราฟิม!! ]
ทันใดนั้นก็มีปีกงอกออกมาจากหลังฉัน
เพราะฉันใช้เวทมนตร์บินไม่ได้เหมือนเรย์จิคุงหรือคุณจิยูกิ แต่ฉันก็มีมีปีกนางฟ้ามาทดแทน
ที่จริงชุดเกราะของฉันเองก็ปิดเอาไว้เฉพาะส่วนตัวกับเอวเท่านั้น ที่ส่วนหลังไม่มีเกราะอยู่ก็เพราะสามารถทำให้ปีกงอกได้ตลอดเวลา
ปีกนี้ฉันภูมิใจนำเสนอมากเลยล่ะ ตอนที่ฉันเอาปีกนี้ออกมา ดูคุณจิยูกิกับคุณริโนะจะอิจฉากันมากเลยล่ะนะ
ฉันกระพือปีกและออกมาจากรูที่หอคอย
ซึ่งปีกนี้เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าระยะตรวจจับของนาโอะจังซะอีก
[ อย่าคิดว่าจะหนีพ้นนะ!! ]
ฉันบินด้วยความเร็วเต็มที่
จนกระทั่งตามเอลคีโทสที่กำลังบินหนีด้วยปีกค้างคาวทัน
ฉันมาหยุดอยู่ตรงหน้าเอลคีโทส ซึ่งเขาดูตกใจมาก
[ ปีกนั่นมันอะไรกัน?! นี่เธอเป็นเผ่านางฟ้าเรอะ!? เพราะอย่างนั้นถึงได้แข็งแกร่งนัก ]
[ ฉันไม่ใช่เผ่านางฟ้าหรอกนะ ก็แค่… ]
จะปฏิเสธก็ยุ่งยากด้วยสิ
นี่มีแต่เผ่านางฟ้าที่มีปีกรึไงกันนะ? จะว่าไปก็เคยทะเลาะกับคุณเนียร์เรื่องนี้ด้วยสิ
น่า ตอนนี้มันไม่สำคัญหรอก
[ เตรียมตัวเตรียมใจซะเอลคีโทส! ดาบแสงอาทิตย์!! ]
ตัวดาบส่องแสงเพราะพลังเวทจากเวทแสงแดด
จริงๆ ถ้าฉันใช้วิธีนี้ตั้งแต่แรกฉันก็ชนะได้ง่ายๆ แล้ว แต่เลือกที่จะไม่ใช้เท่านั้นเอง
[ ถ้าเวทแสงแดดเฉยๆ ถูกม่านความมืดป้องกันได้ งั้นก็รับไปตรงๆ เลยก็แล้วกัน ]
ฉันฟันดาบใส่เอลคีโทส
[ รอเดี๋ยว! ]
เอลคีโทสพยายามห้าม
แน่นอน ฉันไม่ฟังหรอกน่า
[ หลับให้สบายซะเถอะ!! ]
[ อ๊ากกกก!! ]
ดาบของฉันฟันลงไปในร่างของเอลคีโทสจากนั้นเขาก็กลายเป็นขี้เถ้าและหายไป ดูเหมือนจะจัดการได้แล้ว
[ อะไรกัน… นี่เจ้า… ]
คำพูดสุดท้ายของเอลคีโทสขาดช่วงไป
[ มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ล่ะนะ สงสัยจังว่านางฟ้าจะเก่งกว่าหมอนี่มั้ย? ]
น่า ยังไงก็จัดการมันได้แล้ว ยังไงก็ไม่มีใครเทียบเรย์จิคุงได้อยู่แล้วล่ะ
จากนั้นฉันก็บินกลับไปที่หอคอย
ดูเหมือนทันทีที่ฉันกลับไปทุกคนที่ถูกเอลคีโทสทำให้ล้มไปจะฟื้นกันหมดแล้ว
[ ปีก… ]
[ งั้น… ท่านชิโรเนะก็เป็นเผ่านางฟ้า? ]
[ สวยงามอะไรอย่างนี้ ]
ทหารรับจ้างที่อยู่ข้างหลังเร็มเบอร์รู้สึกตกใจที่เห็นปีกของฉัน
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ปีก น่า ถ้าชมก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอกนะ
ปีกนางฟ้านี้มันค่อนข้างเทอะทะน่ารำคาญเวลาอยู่ในต่อสู้ในห้องนะ ฉันถึงได้ไม่ใช้มันตอนที่ต่อสู้กับไดร์ฮาร์ด
[ ทุกคนดูเหมือนจะปลอดภัยสินะ งั้นไปกันต่อเถอะ ]
จากนั้นเราก็ขึ้นบันไดไปยังพื้นที่ที่สคิเกอร์เคยอาศัยอยู่มาก่อน
ตรงนี้เป็นส่วนกลางวงกลมกลวงๆ และหากมองขึ้นไปก็มองเห็นท้องฟ้าได้เลย
[ ดูหเหมือนจะไม่มีอะไร… ]
เรนเจอร์ สโตรรายงานกลับมา
ฉันเองก็ไม่รู้สึกถึงร่องรอยอะไรผิดปกติเหมือนกัน
[ ท่านชิโรเนะไม่คิดว่าแวมไพร์นั้นจะพูดโกหกรึครับ? ]
เร็มเบอร์พูดออกมา
[ น่า ฉันไม่คิดว่าเจ้านั้นจะโกหกหรอก แต่ว่า… ]
ฉันไม่คิดว่าเอลคีโทสจะพูดโกหก
เพียงแต่ยังไม่แน่ว่าจะไม่มีปีศาจอื่นอยู่ที่หอคอยนี้
[ เจอร่องรอยบางอย่าง แต่คิดว่าตอนนี้มันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วครับ ]
บางคนพยักหน้าให้กับคำพูดของสโตร
บางทีมันอาจจะซ่อนตัวอยู่
[ ถ้านาโอะจังมาด้วยน่าจะหาข้อมูลได้เยอะกว่านี้นะ… ]
เพราะมีแค่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก
[ ท่านชิโรเนะ อยู่ที่นี่เราก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่ม กลับไปที่อาณาจักรร็อกกันดีมั้ยครับ ]
เร็มเบอร์บอก แน่นอน ฉันเองก็คิดว่าอยู่ต่อไปก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเหมือนกัน
[ ช่วยไม่ได้นะ… ]
ฉันพึมพำ จากนั้นเราก็เดินทางกลับไปยังอาณาจักรร็อก
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ ขอโทษด้วยนะโกเรียส ]
ตอนนี้โกเรียสอยู่ในป่าใกล้ๆ กับหอคอย
โกเรียสยื่นจมูกมาให้ผม
[ ขอโทษที่ทำให้แกลำบากนะ… ]
ผมลูบจมูกของโกเรียส โกเรียสร้องออกมาอย่างมีความสุข
[ ถึงอย่างนั้นก็ยอดไปเลยนะ ]
ผมมองไปที่สร้อยคออยู่ข้างๆ โกเรียส
มันทำให้ต้นไม้โตและหนาทึบขึ้น ไม่เพียงแค่นั้นยังใช้ซ่อนตัวโกเรียสที่ตัวใหญ่ขนาดนั้นได้ด้วย
ต้องขอบคุณสร้อยคอนี้จริงๆ ที่ช่วยปกป้องโกเรียสเอาไว้
สร้อยคอนี้น่าจะเป็นของเรน่าซึ่งมีความสามารถขัดขวางไม่ให้ตรวจจับพลังได้
ด้วยสิ่งนี้จะทำให้ไม่มีใครสังเกตเลยแม้ว่าคนๆ นั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน
[ ถ้าเอาไปใช้ผิดวิธีมันคงจะใช้เป็นอาวุธได้ด้วยแน่ๆ ]
ข้อเสียของสร้อยคอนี้คือทำให้ผู้ใช้ตรวจจับอะไรไม่ได้ด้วย
เป็นไปได้ว่ามันจะทำให้ผมตรวจสอบอะไรไม่ได้หากใช้ผิดวิธี
ว่าแต่ทำไมเรน่าต้องใส่สร้อยคอนี้มาด้วยล่ะ?
น่าสงสัยจริงๆ คงต้องตรวจสอบหน่อยแล้ว