อัศวินดำ - ตอนที่ 26
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นงั้นเหรอ? ]
หลังจากชิโรเนะกลับจากหอคอย ฉันก็มาฟังเรื่องราวจากเธอ
พวกเราเองก็ออกค้นหากันเสร็จแล้ว ตอนนี้เลยมารวมกลุ่มกันและกลับคฤหาสน์
พวกเราใช้เวลาทั้งวันตามหาจนเกือบเย็นแต่ก็ไม่ได้อะไรเลย
[ เจ้าแวมไพร์นั้นบอกมาแบบนั้นสินะ ]
มีใครบางคนปลุกแวมไพร์ตัวนั้นให้ตื่นขึ้น โดยทิ้งมังกรเอาไว้ จากนั้นก็หายตัวไปที่ไหนสักแห่ง แต่พอลองค้นหาดูในหอคอยก็ไม่พบมังกรที่ว่า
[ คิดว่ายังไงคะคุณจิยูกิ? ]
แม้ชิโรเนะจะคิดเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ ฉันเองก็คิดว่าคงเป็นไดร์ฮาร์ดเหมือนกัน เพราะมันน่าแปลกที่เขามาที่นี่ได้สามวันแล้วแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่คราวก่อนตอนที่เราพบเขา ไดร์ฮาร์ดไม่ได้เอามังกรมาด้วยนี้สิ
นอกจากนี้ดูเหมือนแวมไพร์ตัวนั้นจะแข็งแกร่งกว่าสคิเกอร์อีกด้วย
[ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครน่ะ ]
[ ถ้ากระทั่งคุณจิยูกิยังไม่รู้ งั้นก็ช่วยไม่ได้ค่ะ ]
ชิโรเนะดูจะผิดหวังกับคำตอบ
[ จะว่าไปหาตัวเจ้าโรคจิตนั้นเจอมั้ยคะ? ]
ฉันส่ายหัวให้กับคำตอบของชิโรเนะ
[ ถึงจะให้คุณนาโอะกับคุณเคียวกะเป็นตัวล่อและให้คุณนาโอะตรวจสอบทั่วอาณาจักร็อก แต่ก็ไม่พบคนที่ว่าเลยค่ะ ]
สุดท้ายฉันก็หาชายคนนั้นไม่เจอ นี่เขามีฝีมือในการหลบซ่อนตัวหรือว่าฉันจะตามหาไม่เจอเองกันแน่นะ?
เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะอยู่นอกอาณาจักรตอนที่เรากำลังค้นหาอยู่ แต่มันก็เหมาะเจาะเกินไป
ต้องขอบคุณนาโอะที่กำลังนอนแผ่ราบตรงนั้นจริงๆ
[ แต่จากการค้นหา ดูเหมือนจะเจอคนที่คล้ายสคิเกอร์น่ะ ]
[ จริงเหรอคะ!!? ]
ชิโรเนะส่งเสียงตกใจขึ้น
ระหว่างการค้นหา นาโอะเจอปีศาจที่แปลงร่างเป็นมนุษย์
ปีศาจบางตัวสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ ตอนแรกฉันก็คิดว่าปีศาจนั้นเป็นจ้าโรคจิตคนนั้น แต่ดูเหมือนปีศาจตัวนั้นจะเป็นผู้หญิงและดูก่อนจะอยู่ที่อาณาจักรนี้ก่อนพวกเราจะมาซะอีก ดังนั้นคงไม่ใช่เจ้าโรคจิตนั้น
หมอยาออโรร่า นั่นคือชื่อของปีศาจตัวนั้น
[ แล้วทำยังไงกับเธอเหรอคะ? ]
[ ยังไม่ได้ทำอะไรหรอก เพราะฉันยังไม่ได้ติดสินว่าเธอคนนั้นเป็นคนร้าย ]
ฉันบอกชิโรเนะไป ฉันเองก็คิดอยู่ว่างทีเธออาจจะเป็นคนร้าย
เพราะปีศาจที่มาอาศัยในร่างของมนุษย์ดูยังไงมันก็น่าสงสัยอยู่แล้ว
แต่ต้องเฝ้าดูก่อน ถึงความเป็นไปได้จะต่ำแต่เพราะเธอเองก็ใช้ชีวิตในร่างมนุษย์นั้น ดังนั้นอาจจะไม่ใช่คนร้ายก็ได้
แน่นอน เรย์จิพูดว่า ควรเป็นการดีกว่าที่กำจัดมันไปซะแต่เนิ่นๆ แต่พอไปที่บ้านของเธอ เธอก็หายตัวไปแล้ว
[ ตอนนี้เลยต้องเฝ้ารอลอร์ดแคลคูลัสไปก่อน แต่จะดีกว่าถ้ารายงานลอร์ดเร็มเบอร์ไปด้วยตอนที่เขากลับมา ]
พวกเราเป็นคนนอกสำหรับอาณาจักรนี้ ดังนั้นการจะเคลื่อนไหวอะไรก็ต้องพึ่งพาอัศวินของอาณาจักร
แม้ว่าฉันจะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ฉันคิดว่าเร็มเบอร์เป็นคนเก่งและเป็นอัศวินชั้นยอดคนนึงของอาณาจักรเลยล่ะ ฉันเองก็เคยเจออัศวินคนอื่นแล้ว แต่ดูจะไม่ค่อยใช้การได้นัก
ฉันคิดว่าให้เร็มเบอร์จัดการดีกว่าให้อัศวินที่วิหารจัดการซะอีก
และแคลคูลัสเองก็จะไปคุ้มกันซึ่งเป็นหน้าที่เดิมได้
เขาเองก็จะทำหน้าที่ได้เต็มที่ด้วยล่ะนะ
◆ หัวหน้าอัศวินแห่งวิหารแคลคูลัส
[ ฮอลลัส… นี่เจ้า… ]
ข้ากำลังเฝ้าอัศวินตรงหน้าที่กำลังลุกกันขึ้นมาไม่ไหวอยู่ ตอนนี้ไม่มีใครเลยลุกขึ้นมาได้ แต่จู่ๆ ราวกับพวกเขากำลังฝันแล้วตื่นขึ้นมา
ตอนนี้เรากำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบปีศาจที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ และเพราะอัศวินแห่งวิหารถูกทำร้ายกัน ข้าซึ่งเป็นหัวหน้าจึงต้องมาคอยดูอาการ
แต่จู่ๆ พวกเขาก็ลุกขึ้นจากนั้นก็ปล่อยควันพิษที่ทำให้เป็นอัมพาตออกมา ตัวข้าที่ตอบสนองไม่ทันได้โดนเข้าไปเต็มๆ
ควันพิษเป็นเวทมนตร์ที่ทรงพลังที่ทำให้ร่างกายขยับไปไหนไม่ได้
[ หัวหน้าแคลคูลัส… ]
ชายผู้ปล่อยควันพิษออกมาเรียกชื่อข้า
ข้าพยายามส่งเสียง ในตอนนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา
[ ไม่นึกเลยว่าแม้แต่หัวหน้าอัศวินแห่งวิหารเองก็จะไม่ได้สังเกต แปลว่าผู้หญิงของผู้กล้าเองก็คงยังไม่รู้สึกตัวเช่นกัน ]
ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้หญิงคนนี้เคยติดต่อกันกับฮอลลัส งั้นผู้หญิงคนนี้ก็น่าจะพาพวกฮอลลัสไปที่บ้านและควบคุมพวกเขา ถึงข้าจะพูดอะไรไม่ได้แต่ผู้หญิงตรงหน้าข้าคือปีศาจแน่นอน
ต้องรีบไปบอกท่านผู้กล้าให้เร็วที่สุด
[ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยออโรร่าว่าตอนนี้ผู้กล้ายังไม่รู้สึกตัว ไปจัดการซะ ]
เสียงคนๆ หนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังผู้หญิงคนนั้น
เมื่อข้าได้ยินเสียงนั้น ราวกับร่างกายของรู้สึกหนาวไปจนถึงกระดูก
เสียงที่ดังออกมาจากข้างหลังนั้นเป็นผู้ชาย
ใบหน้าของเขาถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากากจึงไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่จากโทนเสียงแล้วเขาน่าจะเป็นผู้ชาย และดูเหมือนจะเป็นคนในหน่วยสังเกตการณ์
แต่หน่วยสังเกตการณ์น่าจะถูกท่านจิยูกิตรวจสอบกันหมดแล้ว แล้วเขาเป็นใคร? ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีคนแบบนี้อยู่
[ ค่ะ ขอบคุณมากค่ะท่านซัลคิซิส ข้าจะเคลื่อนไหวโดยไม่ให้ผู้กล้าไหวตัวทัน ]
ผู้หญิงคนนั้นก้มหัวลงให้เขา
ดูแล้วผู้ชายคนนั้นน่าจะมียศสูงกว่า
[ ถ้าเกิดว่าผู้กล้าเกิดรู้ตัวขึ้นมา ข้าจะเป็นคนเคลื่อนไหวเอง เอาล่ะดำเนินแผนการของเจ้าแล้วแก้แค้นผู้กล้าซะ ]
[ ค่ะ ท่านซัลคิซิส ]
ชายที่ชื่อซัลคิซิสเดินจากไป
เหลือเพียงผู้หญิงที่ชื่อออโรร่าเพียงคนเดียว
[ ข้าจะไม่ข้าเจ้าหรอก แต่จะใช้เป็นเครื่องมือ ]
ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาใกล้ข้าเรื่อยๆ ถึงข้าจะพยายามหนีแต่ร่างกายข้าก็ขยับไม่ได้
[ วันนี้จะเป็นจุดจบของอาณาจักรนี้ ]
ผู้หญิงคนนั้นแสยะยิ้ม
[ ท่านจิยูกิ…. ]
ข้าเรียกชื่อของหญิงสาวผมดำ
จากนั้นสติของข้าก็ขาดสะบั้น
◆ อัศวินเฝ้าประตูแห่งอาณาจักร
แม้ยามค่ำคืนจะยังไม่มาเยือน แต่เพราะเมฆหนาทำให้ท้องฟ้ามืดไปแล้ว
เมื่อมองไปที่ท้องฟ้าจากหน้าต่างของกระท่อมจุดเข้าเมือง ข้าก็รู้สึกว่าค่ำคืนนั้นได้มาเยือนแล้ว
หลังจากที่ลอร์ดเร็มเบอร์กลับมา พวกเราก็กลับไปทำหน้าที่เป็นยามประตูต่อไป
ข้าเป็นยามเฝ้าประตูมาสิบปีได้แล้ว
ยามเฝ้าประตูเป็นหน้าที่สำคัญ ซึ่งต้องคอยคัดกรองคนเข้า
ดังนั้นค่าแรงจึงได้มากกว่างานปกติทั่วไป
แต่ความรับผิดชอบก็สูงขึ้นตามเงินค่าแรงไปด้วย
เพราะยามเฝ้าประตูไม่ใช่เพียงต้องระวังมอนสเตอร์ที่จะเข้ามาในกำแพงเมืองเท่านั้น
แต่ต้องรักษาความมั่นคงอาณาจักรและมีความปลอดภัยด้วย
ดังนั้นเราต้องตรวจทุกคนก่อนจะเข้าไปเสมอ
ผู้ที่ผ่านไปได้นั้นต้องมีสถานะเป็นพลเมืองเท่านั้น แต่ว่าหากมีการแนะนำหรือหลักฐานที่เชื่อถือก็สามารถผ่านไปได้เช่นกัน โดยปกติแล้วผู้ลี้ภัยจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าอาณาจักร ผู้ลี้ภัยบางคนต่างใช้มารยาทหญิงไม่ก็การข่มขู่ ดังนั้นยามเฝ้าประตูเมืองจึงต้องมีจิตใจแข็งแกร่งไม่หวั่นไหวต้องสิ่งพวกนั้น พวกเราต้องทำให้ที่ขู่เพื่อไม่ให้ผู้ไร้สัญชาติมาเหิมเกริ่ม
แต่มันก็มีข้อยกเว้นอยู่ เช่นในอาณาจักรร็อก ในช่วงเทศกาลนั้นจะอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเข้าไปได้
แน่นอน การจะผ่านไปได้ต้องมีบันทึกข้อมูลทั้งชื่อ ที่อยู่ อายุ อื่นๆ อีกมากมายไปด้วย ดังนั้นช่วงงานเทศกาลจึงต้องเพิ่มคนเฝ้ายามไปถึงสามเท่าจากปกติ
โดยเฉพาะวันนี้มันเหนื่อยจริงๆ เพราะมีผู้ลี้ภัยมากกว่าปกติ
ถ้าพระอาทิตย์จะตกดินคนก็จะทยอยเข้ามาในเมืองกัน ข้าซึ่งเพิ่งทำงานเสร็จกำลังอยู่ระหว่างเตรียมตัวกลับบ้าน
ข้าสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติที่นั้น มีเสียงร้องมาจากด้านบนปราสาท
[ เกิดอะไรขึ้น… ]
ที่ตรงนั้นข้าเห็น… มีคนกำลังเข้ามาใกล้ประตู
แถมยังมีมากกว่า 100 คน
[ นั่นมันปีศาจ… ]
ปีศาจที่เข้ามาใกล้กำแพงเมืองมีทั้งกีอบลินและออร์ค แต่ไม่ใช่แค่นั้น
[ ซอมบี้…? ]
เพราะมอนสเตอร์บางตัวที่กำลังเจ้ามาใกล้นั้นไม่มีหัว ไม่ก็มีรูบนร่างกาย
ข้าจำเหตุการณ์ที่ซอมบี้มาโจมตีเมื่อวันก่อนได้
[ ปิดประตูเมืองเร็วเข้าจากนั้นก็ติดต่อไปทางราชวัง!! ]
วันนี้มียามเฝ้าประตูอยู่สามคนที่ทำหน้าที่ ข้าบอกเพื่อนร่วมงาน
แต่ไม่มีคำตอบกลับมา ข้าเห็นเพื่อนข้าคนนึงล้มลงไป จากนั้นอีกคนก็ทยอยล้มลงไปตาม
[ เฮ้ย!! จู่ๆ ก็เป็นอะไรไป!! ]
จากนั้นเพื่อนอีกคนของข้าก็จ้องมองข้า ด้วยนัยต์ตาขาวกลวง จากนั้นบรรดาเพื่อนร่วมงานของข้าก็จับตัวข้าไว้
[ นี่พวกเจ้า… ]
จากนั้นสติของข้าก็ขาดสะบั้นไป
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ มีอะไรงั้นเหรอคุณนาโอะ? ]
ฉันถูกนาโอะหยุดเอาไว้ระหว่างที่กำลังจะไปที่ราชวัง
ที่จริงวันนี้นาโอะเหนื่อยจากการค้นหามาทั้งวัน เลยนอนหลับเป็นตายเลยล่ะ
ดังนั้นนาโอะไม่น่าจะลุกขึ้นมานอกจากมันจะเป็นเหตุฉุกเฉินจริงๆ
[ มี… คุณจิยูกิมีบางอย่างกำลังมาทางนี้… ]
นาโอะพูดด้วยสีหน้าเครียด
ฉันไม่รู้หรอกว่าอะไรกำลังมา แต่ถ้านาโอะบอกว่ามีบางอย่างกำลังมาล่ะก็มันต้องมาแน่
[ ฉันจะไปตรวจดูหน่อย คุณนาโอะไปอยู่กับทุกคนซะ ]
จากนั้นฉันก็ใช้เวทมนตร์บิน
แถวนี้มืดไปหมด
เพราะเห็นไฟที่ประตูเมือง ทำให้พอจะมองเห็นพื้นที่รอบๆ ได้บ้าง
ดูเหมือนที่ประตูเมืองกำลังวุ่นวายกัน
ฉันใช้เวทมนตร์ส่องทางไกล
แม้จะไม่ถึงระดับนาโอะ แต่ก็พอจะใช้มองเห็นได้ในระดับหนึ่ง
[ ประตูพัง!! ]
ฉันเห็นซอมบี้กำลังทะลักออกมาทางประตูใหญ่ของทางใต้
[ นี่มันแย่แล้วสิ… ]
ฉันรับกลับไปที่คฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
◆ ทหารรับจ้างแห่งอาณาจักรร็อก กาลิอุส
[ มีอะไรงั้นเหรอคุโระ? ]
จู่ๆ คุโระที่อยู่ข้างๆ ข้าก็หยุดนิ่งไป
หลังจากเราแยกทางกับเร็มเบอร์โดยที่เขาขอไปรายงานตัวที่วังก่อน ตอนนี้เราเลยอยู่ระหว่างทางกลับบ้าน
พอมองไปที่คุโระแล้ว คุโระดูแปลกไปจากปกติ
แม้ว่าข้าจะเพิ่งพบเขาได้ไม่นานแต่ข้าก็รู้สึกได้
ข้านึกถึงตอนที่เราเจอกันครั้งแรก
ตอนนั้นมันอยู่ในช่วงพลบค่ำแล้ว ขาของขาติดและขยับไปไม่ได้
[ ไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ? ]
ข้าได้ยินเสียงนั้นและเมื่อหน้าหันหน้าไปก็เจอเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ นั่นคือการพบกันของข้ากับคุโระ
ข้าไม่อาจละสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้าได้เลยหลังจากเขาเรียกข้า
มันน่าตกใจ ที่เขาสามารถแบกข้าได้ด้วยร่างกายเล็กๆ นั้น
อาจจะเป็นเพราะเดิมทีคุโระไม่ใช่มนุษย์ และเขายังแข็งแกร่งมาก
ข้าคิดว่าคงเกิดปัญหาถ้าเขารู้ว่าข้ารู้ความจริงข้อนี้ เขาอาจจะทิ้งข้าไว้ก็ได้
ทำไมต้องแกล้งทำทีเป็นมนุษย์? ข้าไม่รู้เหตุผลนั้นเลย
เพราะข้าปล่อยเด็กหนุ่มคนนั้นไว้คนเดียวไม่ได้ ข้าจึงเชิญเขามาที่บ้าน
หลังจากได้คุยกันเรื่องต่างๆ มากมาย ทำให้ข้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนเลว
[ คุณกาลิอุส… ]
คุโระเรียกชื่อของข้า มันก็น่าอึดอัดอยู่หรอกที่โดนเรียกว่าคุณกาลิอุส ทั้งที่ข้าอยากให้เขาเรียกแบบไม่มีคุณ(โดโนะ) มากกว่านะ
[ คงดีจะกว่าถ้าคุณรีบระดมทหารรับจ้างที่เพิ่งแยกกันเมื่อกี้กลับมา… เพราะตอนนี้ผมรู้สึกไม่ดีเลย ]
คุโระพูดออกมาอย่างรีบร้อน
ทำไมเขาถึงได้รู้ล่ะ? ข้าเองก็อยากถามเรื่องนั้นอยู่
[ ผมอกรายละเอียดไม่ได้ แต่มีบางอย่างกำลังมา… แต่ขอให้เชื่อผมทีเถอะ… ]
เขาพูดออกมา
โดยที่ดวงตาเขาดูเครียดมาก ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่คุโระดูจะไม่ได้ล้อเล่น
[ อา เข้าใจแล้ว ]
ข้าพยักหน้า
ข้าเชื่อในตัวคุโระ
คุโระสามารถมองเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานต้องเกิดบางอย่างขึ้นแน่
[ ขอบคุณมากคุณกาลิอุส ]
คุโระขอบคุณ
[ ไม่เป็นไรหรอกน่า!! ]
จากนั้นข้าก็รีบวิ่งไปเรียกทหารรับจ้างที่เพิ่งแยกกันเมื่อกี้ทุกคนมา
◆ ผู้คนของอาณาจักรร็อก
[ ซอมบี้! ]
[ ประตูเมืองเปิดอยู่!! ทำไมกัน? ]
[ ช่วยฉันด้วย!! ]
ผู้คนต่างส่งเสียงตะโกน
ในช่วงที่พระอาทิตย์ตกดินและกลางคืนได้มาถึง เหล่าซอมบี้ก็ได้ผ่านประตูเมืองเข้ามา
[ คนเฝ้าประตูมัวทำอะไรอยู่กัน!? ]
โดยปกติคนเฝ้าประตูจะปิดประตูทันทีเมื่อเห็นปีศาจเข้าใกล้
แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่
[ รีบไปเรียกผู้อัศวินมาเร็วสิ!! ]
ถึงซอมบี้จะเคลื่อนไหวช้า แต่พวกเขาก็ยังเข้ามาทางประตูเมืองเรื่อยๆ ทำให้มีจำนวนเยอะมาก ถ้าคุณอยู่ตัวคนเดียวล่ะก็รับรองไม่รอดแน่
ในตอนนั้นเองก็มีลมกรรโชกพัดมาอย่างแรง
[ อะไรน่ะ… ]
เมื่อมองไปก็ไม่เห็นซอมบี้อยู่ใกล้ประตูเมืองเลย
กลับกัน มีผู้หญิงที่มีปีกอยู่ตรงนั้น
[ นางฟ้า! ]
[ นางฟ้ามาช่วยพวกเราแล้ว! ]
พูดคนต่างเอะอะกันใหญ่
[ ที่นี่ปล่อยให้ฉันจัดการเอง รีบอพยพไปเร็วเข้า! ]
หญิงสาวหัวเราะจากนั้นก็หันหลังกลับไป
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ ดูเหมือนจะทันเวลานะ ]
ดูเหมือนชิโรเนะจะไปจัดการซอมบี้ที่ประตูเมืองได้ทัน
จากนั้นฉันก็มองไปที่ประตูทางเหนือ แม้ว่าประตูหลักของเมืองจะอยู่ที่ทางใต้ แต่ทางประตูหลังที่อยู่ทางเหนือเองก็ดูจะอันตราย ฉันจึงไปที่นั้นกับเคียวกะและคายะ
ริโนะและซาโฮโกะถูกขอร้องให้ช่วยดูแลคนบาดเจ็บและกำลังออกตระเวนไปทั่วเมือง
ทางนาโอะก็คอยค้นหาตำแหน่งของปีศาจที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุ
พวกเราแยกกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน
ขณะที่เรย์จิทำการกวาดล้างซอมบี้ด้วยเวทมนตร์แสงแดด
[ หวังว่าทุกอย่างคงราบรื่นดีนะ… ]
ฉันบ่นพึมพำ
ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?
บางทีคนร้ายมันอาจจะกำลังดูเหตุการณ์อยู่
แล้วลอร์ดแคลคูลัสล่ะทำอะไรอยู่
พวกปีศาจโผล่มาแล้ว พวกเขาน่าจะไปทำหน้าที่สิ
ทั้งที่ควรจะรีบรุดหน้าไปจัดการพวกมันแท้ๆ น่าผิดหวังจริงๆ
นาโอะกำลังมุ่งหน้าค้นหาค้นร้ายอยู่เรื่อยๆ แต่อีกไม่นานเราต้องเจอตัวมันแน่
[ ปล่อยให้รอสินะจิยูกิ ]
มีเสียงดังขึ้นจากข้างหลังฉัน
[ ไม่มาให้มันเร็วกว่านี้หน่อยห๊ะ ]
ฉันหันหลังกลับไปตอบเรย์จิ
ถึงจะไม่รู้ว่าเรย์จิมาอยู่ข้างหลังฉันเมื่อไหร่ ก็เขาก็มาช้ามาก
ฉันพูดจาแดกดันเขานิดหน่อย แต่เรย์จิก็ยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
[ งั้นก็ช่วยใช้มันทีได้มั้ย? ]
มือของเรย์จิเริ่มส่องแสง
ทีล่ะนิดๆ จนดวงตาของฉันพล่ามัวจนมองไม่เห็นรอบๆ
จากนั้นเรย์จิก็ปล่อยแสงนั้นขึ้นไปบนท้องฟ้า
แสงนั้นส่องสว่างขึ้นทำให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืน นี่คือเวทมนตร์ที่ทำให้เหมือนมีดวงอาทิตย์อีกดวงขึ้นมา
นี่เป็นเวทมนตร์แสงขึ้นสูงสุด ถือเป็นเทคนิคลับเฉพาะของเรย์จิที่มีคุณสมบัติธาตุแสง
เท่านี้แสงส่องไปทั่วอาณาจักรร็อกและซอมบี้ทั้งหมดก็ซากเป็นขี้เถ้าในทีเดียว
ฉันมองไปที่ด้านล่าง
[ เอ่อ นั่นมัน… ]
อาณาจักรกำลังถูกบดบังด้วยหมอกสีดำ
ฉันเพิ่งสังเกตหลังจากหลังจากมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์กลับ
[ นั่นมันม่านความมืด ]
เรย์จิพูดออกมา หมอกสีดำนั้นคือเวทมนตร์ม่านความมืด แต่ฉันเพิ่งเคยเห็นม่านความมืดที่ครอบคลุมทั้งอาณาจักรเป็นครั้งแรก
ขนาดเวทมนตร์แสงของเรย์จิก็ยังไม่ถึงระดับนั้นเลย
[ ครอบคลุมขนาดนั้นต้องใช้พลังเวทขนาดไหนกัน? นี่คนร้ายเป็นสคิเกอร์จริงๆ เหรอ? ]
ฉันคิดว่าครั้งก่อนที่เราต่อสู้กับสคิเกอร์ ไม่เห็นมีใครมีพลังเวทมนตร์มหาศาลขนาดนั้น นี่อาจจะเป็นฝีมือของปีศาจที่แข็งแกร่งกว่านั้นก็ได้
ถ้างั้นนาโอะก็ตกอยู่ในอันตราย ต้องรีบไปช่วยแล้ว
[ เรย์จิ เราต้องรีบไปช่วยนาโอะ… ]
ฉันบอกและมองหน้าเรย์จิ แต่เรย์จิกลับมองไปที่ราชวัง
และท่าทางของเรย์จิดูแปลกไป
[ เรย์จิ? ]
[ จิยูกิ!! ]
จู่ๆ เรย์จิก็ตระโกนขึ้น
[ มีอะไรงั้นเหรอเรย์จิ? ]
[ อัลมีนา… อัลมีนากำลังตกอยู่ในอันตราย! ไว้คุยกันทีหลัง! ]
[ เดี๋ยวเรย์จิ!! ]
ร่างกายของเรย์จิหายไปก่อนที่ฉันจะหยุดได้ทัน นี่คงเป็นเวทมนตร์เคลื่อนที่ บางทีเขาอาจจะไปหาอัลมีนา
[ ให้ตายสิ… เอาแต่ใจจริงๆ … ]
ฉันบ่นหลังจากที่เรย์จิหายไป นี่คิดบ้างบ้างมั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างฦ
ตั้งแต่มาที่โลกนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราก็เริ่มซับซ้อนขึ้น
ที่จริงฉันอยากไปที่ราชวังแล้วบ่นกับเขาตรงๆ เลยด้วยซ้ำ แต่ฉันต้องรีบไปหานาโอะ
นาโอะมีความสามารถในการหลบหลีกสูงแต่มีพลังโจมตีต่ำ จึงต่อสู้ไม่ค่อยได้
ตอนนี้คงยังไม่เป็นไร แต่ถ้านาโอะเจอเจ้าปีศาจนั้นก่อนล่ะก็และมันคงจะแข็งแกร่งมาก ต้องรีบแล้ว
ฉันรีบใช้เวทมนตร์ตรวจสอบตำแหน่งของนาโอะ
◆ อัศวินของอาณาจักรร็อก เร็มเบอร์
ข้าชักดาบ เมื่อได้ยินเสียงร้อง
[ ลอร์ด… แคลคูลัส ทำไม… ? ]
ชายคนนั้นฟันดาบเข้าใส่ข้า
แคลคูลัสอัศวินแห่งวิหารที่เป็นคนคุ้มกันของผู้กล้าฟันดาบใส่ข้า
เขาเป็นหัวหน้าอัศวินแห่งวิหารที่มายังอาณาจักรนี้ ข้าเองก็เคยพูดคุยกับเขาหลายต่อหลายครั้ง
เขาแตกต่างจากอัศวินแห่งวิหารคนอื่น ซึ่งจากที่ข้าดู เขาเองก็เป็นคนดีคนหนึ่ง
ทำไมคนอย่างนั้นถึงได้บุกเข้ามาในปราสาทล่ะ?
หลังจากข้ากลับมาจากหอคอยเพื่อรายงานองค์ราชา ข้าก็ไปหาอัลมีนาขณะที่พกดาบไปด้วย
และเมื่อเข้ากำลังจะเข้าไปคุยกันอัลมีนา จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขึ้น
ข้ารีบวิ่งไปที่นั้น ข้าได้พบกับแคลคูลัสที่กำลังวิ่งไปหาอัลมีนา
เมื่อข้ามองไป ข้าเห็นเหล่าคนคุ้มกันที่ล้มลงไปนอนกันหมด
พูดตามตรง ข้าไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
จากนั้นแคลคูลัสก็พุ่งเอาดาบมาฟันใส่ข้า
ในจังหวะนั้นข้าก็รับการโจมตีนั้นไว้ได้ทัน
[ ทำไมกัน? ลอร์ดแคลคูลัส!! ทำไมถึงโจมตีพวกเรา!? ]
แต่แคลคูลัสไม่ตอบอะไร ราวกับเสียงของข้าส่งไปไม่ถึง
ข้าสังเกตเห็นสายตาของลอร์ดแคลคูลัส นั่นไม่ใช่สายตาของคนปกติ ดูเหมือนเขาจะเสียสติไปแล้ว
แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาห่วงเรื่องนั้น
ดาบของข้าปะทะกับแคลลูคัสกัน ดาบของอีกฝ่ายรวดเร็วจนยากจะป้องกัน
ตัวข้าราวกับไร้พลัง
[ เร็มเบอร์…. ]
อัลมีนาเรียกชื่อข้าด้วยความไม่สบายใจ
ตอนนี้อัลมีนาอยู่ข้างหลังข้า ข้าไม่ยอมแพ้หรอกน่า
แคลคูลัสถอนดาบออกไป
จากนั้นก็ฟันมาอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง จนข้าแทบจะป้องกันไม่ได้
สมกับเป็นอัศวินแห่งวิหาร เขาแข็งแกร่งกว่าข้ามาก
ข้าชูดาบและป้องกันดาบของแคลคูลัส
จากนั้นเราก็ปะทะดาบกันอีกสองถึงสามครั้ง จากนั้นจู่ๆ แคลคูลัสก็ล้มลง
[ อะไรกัน… ]
ก่อนที่ข้าจะรู้ตัวก็มีคนอีกคนปรากฏตัวที่ด้านหลังแคลคูลัส
[ คุณคือหมอยาที่ชื่อออโรร่า… ]
ข้ารู้จักคนๆ นั้น
เธอคือหมอยาที่เดินทางมายังอาณาจักรนี้เมื่อสองอาทิตย์ก่อน
เนื่องจากออโรร่าสายตาไม่ดีจึงสวมผ้าปิดตาสีดำไว้เสมอ แต่ตอนนี้เธอเธอไม่ได้สวมผ้าปิดตาแล้ว
[ สคิเกอร์…? ]
สายตาของออโรร่าไม่ใช่สายตาของมนุษย์ ดวงตากลมและมีลูกตาสีเหลืองขนาดใหญ่ ซึ่งเหมือนตาของนกอินทรี นั่นมันสายตาของสคิเกอร์
ข้านึกเรื่องบางอย่างได้ เมื่อคืนที่พวกอัศวินที่สลบได้ถูกพาตัวไปที่ร้านของออโรร่า
[ ใช่แล้ว ในตอนนั้น… ]
ถึงข้าจะรู้สึกตัว แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
[ เจ้าดูจะต่างจากอัศวินคนอื่นนิดหน่อยนะ ]
ออโรร่ายิ้มแล้วเข้ามาใกล้เข้า
ข้าไม่เคยคิดเลยว่าสคิเกอร์จะแปลงร่างเป็นมนุษย์
เดิมที การเข้าสู่อาณาจักรหากไม่มีสถานะเป็นพลเมืองก็จะไม่ให้ผ่านอย่างเด็ดขาด
แต่แน่นอนว่ามันมีข้อยกเว้น นั่นคือกรณีที่คนเข้าเมืองมีทักษะพิเศษ อย่างพวกผู้ใช้เวทมนตร์ เพราะคนเหล่านั้นจะมีประโยชน์ต่ออาณาจักรเป็นอย่างมาก
ที่ปล่อยให้ออโรร่าอยู่ในอาณาจักรก็เพราะเธอรู้เรื่องยาเป็นอย่างดี
แต่ในอนาคตคงจะดีกว่า เพิ่มข้อจำกัด การตรวจคนเข้าเมืองที่มีทักษะพิเศษ
[ เอาล่ะ ส่งเจ้าหญิงมาให้ข้า แล้วยอมเป็นเครื่องมือให้ข้าสังหารผู้กล้าซะเถอะ ]
[ เรื่องพรรค์นั้นใครจะไปยอมกัน! ]
ดูเหมือนเธอคิดจะใช้อัลมูนาเป็นตัวประกันในการต่อสู้กับผู้กล้าจะได้ใช้เธอเป็นโล่ได้ แต่ข้าไม่ปล่อยให้ทำแบบนั้นหรอก
ข้าควงดาบจากนั้นก็ฟัน
ถ้าเอาจัดการผู้หญิงคนนี้ได้ ทุกอย่างก็จะจบ ออโรร่ากำลังประมาทและแคลคูลัสก็ล้มลงไปแล้ว ตอนนี้ล่ะเป็นโอกาส
[ ศรขนนก!! ]
มีบางอย่างลอยออกมาจากแขนของออโรร่า
[ นี่มัน! ]
ข้ารีบหลบและตั้งท่าป้องกัน
[ ฮ้า …. ]
ร่างกายของข้าเจ็บปวดไปหมด
การจะป้องกันทั้งหมดมันเป็นไปไม่ได้ เจ้าสิ่งนั้นที่ลอยมาเลยมาปักที่ร่างกายของข้า ดูเหมือนมันจะเป็นขนนก
ขนนกเจาะทะลุเกราะของข้าและติดตามร่างกายข้า
[ หน๊อย… ]
เข่าข้าทรุดลง ข้าขยับไม่ได้
[ เร็มเบอร์!! ]
อัลมีนาร้องด้วยเสียงตื่นตระหนก
[ หนีไปอัลมีนา… ]
ถึงข้าจะบอกให้เธอหนีไป แต่มันก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ เพราะนอกจากทางที่ข้าเข้ามาแล้ว ที่เหลือเป็นทางตันหมด
ข้ารู้สึกเหมือนน้ำตามันไหล ทำไมตัวข้าถึงไร้พลังขนาดนี้ แม้แต่คนที่รักข้าก็ปกป้องเอาไว้ไม่ได้
[ ฮืม ดูท่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นคนสำคัญของเจ้าสินะ ]
ข้าพยายามยันพื้นเพื่อขวางทางออโรร่า แต่สุดท้ายข้าก็โดนเตะจนล้มกลิ้งไปเหมือนอย่างเดิม
ขณะที่ออโรร่ากำลังเดินเข้ามาใกล้อัลมีนา
[ อัล… มีนา … ]
ข้ารู้สึกเศร้าที่ได้แต่ยืนดู
[ เอาล่ะ มาทางนี้สิ ]
เพราะออร่าโรหันหลังอยู่ ทำให้ข้ามองไม่เห็นหน้าแต่ออโรร่ากำลังหัวเราะอยู่
[ ช่วยฉันด้วยเรย์จิ! — !! ]
อัลมีนาตระโกนชื่อของผู้กล้า
[ เจ้าเรียกชื่อของผู้กล้างั้นรึ? ]
เมื่อออโรร่าพูดออกมา ที่ด้านหน้าของอัลมีนาก็เปล่งแสงออกมา
[ อะไรกัน!! ]
ออโรร่ากระโดดถอยไปข้างหลัง
[ ท่านเรย์จิ!! ]
อัลมีน่าส่งเสียงแห่งความสุขออกมา
หลังจากแสงนั้นหายไป ผู้กล้าก็ปรากฏตัวออกมา
[ อัลมีนา! ฉันมาช่วยแล้ว! ]
ผู้กล้าหัวเราะ
การแสดงออกของอัลมีนาเวลาอยู่ต่อหน้าผู้กล้าแบบนั้น ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน
◆ สาวบริสุทธิ์แห่งดาบ ชิโรเนะ
[ เอานี้ไปกินซะ คมดาบแสงอาทิตย์!! ]
ฉันฟันดาบใส่พวกซอมบี้
[ อะไรกันเงานี้!! ]
ฉันบ่นพึมพำ
ดูเหมือนเรย์จิจะใช้เวทเรียกดวงอาทิตย์ออกมา แต่เพราะหมอกสีดำที่ครอบคลุมไปทั้งเมืองทำให้แสงส่องไปไม่ถึง
ถ้าแสงแดดส่องถูกบดบังไว้ก็ช่วยไม่ได้มีแต่ต้องใช้ดาบเข้าสู้
ฉันถอนหายใจ
รู้สึกว่าเหตุการณ์คราวนี้จะรุนแรงกว่าปกติ
เหล่าทหารรับจ้าง รวมทั้งกาลิอุสต่างกำลังต่อสู้กับฝูงซอมบี้รอบๆ
แม้ว่าการที่ทหารรับจ้างเคลื่อนไหวในทันทีที่เกิดเรื่องจะช่วยได้มาก แต่อัศวินของอาณาจักรนี้และยามเฝ้าประตูนี้ใช้ไม่ได้เลย
หรือว่าเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นในราชวัง?
ฉันอยากไปยืนยันเรื่องนั้น แต่ตอนนี้ต้องจัดการพวกฝูงซอมบี้ตรงหน้าก่อน
ฉันไล่ฟันและฟันซอมบี้ตัวแล้วตัวเล่า
ขณะที่กาลิอุสยังรั้งซอมบี้ได้อยู่
แต่ดูเหมือนพวกซอมบี้จะแห่มากันไม่หยุดเลย
มันก็คงดีถ้าฉันรู้สึกไปเองคนเดียว แต่รู้สึกไม่ค่อยมีแรงเลย
[ นี่คงจะเป็นฝีมือของคนที่สร้างหมอกดำนั้นขึ้นสินะ? ]
พลังของฉันถูกหมอกดำนั้นจำกัดเอาไว้
[ บางทีสถานการณ์ตอนนี้อาจจะเลวร้ายสุดๆ เลยก็ได้… ? ]
◆ อัศวินของอาณาจักรร็อก
[ ยอดเลย… ]
ด้านหน้าของพวกเรา ผู้กล้าและอัศวินแห่งวิหารกำลังจับดาบขึ้น
ร่างกายของข้าที่บาดเจ็บอยู่แต่ข้าก็ยังดูผู้กล้าต่อสู้อยู่ ราวกับบาดแผลนี้เป็นเรื่องโกหก
โดยศัตรูนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอัศวินแห่งวิหาร คนคุ้มกันของท่านผู้กล้าเองที่กำลังพยายามโจมตีใส่เจ้าหญิงออโรร่า
[ ใช่แล้ว ฉันเชื่อมั่นอยู่แล้วว่าท่านเรย์จิจะต้องมาช่วย ]
เจ้าหญิงอัลมีนาเฝ้ามองอย่างเกาะติด
เลือดไหลออกมาจากบาดแผล ข้ากำลังจะหมดสติ
แต่ข้าคิดว่ามันแปลก เพราะภรรยาของผู้กล้าคนนึงที่ไปหอคอยแข็งแกร่งกว่านี้ซะอีก
ดูเหมือนท่านผู้กล้าคงยังไม่ใช้พลังที่แท้จริง
[ ท่านเรย์จิ… ]
เจ้าหญิงอัลมีนาเฝ้าดูอย่างกังวลเพราะเห็นว่าท่านผู้กล้าแปลกไป
[ ท่านเทพธิดาโปรดปกป้องท่านเรย์จิด้วยเถอะ! ]
เจ้าหญิงอัลมีนาภาวนา
จากนั้นดวงตาของข้าก็ปิดลง ข้าเองก็ขอภาวนาต่อเทพธิดาเช่นเดียวกัน
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ ที่อาณาจักรนี้มีทางเดินใต้ดินอยู่ ]
ฉันพึมพำขณะที่เดินไป
หลังจากค้นหาตำแหน่งจากพลังเวทของนาโอะ ฉันก็พบทางเข้าใต้ดินที่อยู่ใกล้ๆ ด้านหลังของราชวัง
ปกติมันจะถูกปิดไว้ แต่ตอนนี้มันกลับเปิดอยู่ นาโอะดูเหมือนจะเข้าไปจากทางนี้
จากนั้นฉันเดินเข้าไปในทางยาวที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
[ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สิ้นเปลืองพลังเวทจังแฮะ ]
เพียงแค่ใช้เวทแสงนิดหน่อยก็เหนื่อยแล้ว
บางทีมันคงเป็นเพราะหมอกดำที่ครอบคลุมอาณาจักรนี้อยู่
หมอกดำนี้ปกคลุมได้ทั่วทั้งอาณาจักรแบบนี้ ก็แปลว่าคนที่สร้างหมอกนี้ขึ้นมามีพลังเวทสูงมาก
แต่ความปลอดภัยของนาโอะต้องมาก่อน ต้องรีบแล้วสิ
ฉันเดินจนกระทั่งเจอปรตูที่ต่อจากทางเดิน ดูเหมือนนาโอะจะอยู่ในนี้
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับห้องขนาดใหญ่
ห้องนี้ไม่ค่อยสว่างมาก แต่ก็พอมีแสงไฟอยู่ ถึงจะแค่ลางๆ ก็เถอะ
ที่ตรงนั้นซึ่งอยู่ห่างจากประตู ฉันเจอนาโอะล้มอยู่
[ คุณนาโอะ!! ]
ฉันรีบวิ่งไปหานาโอะทันที
[ นาโอะทำใจดีๆ ไว้ !! ]
[ คุณจิยูกิ… ]
นาโอะเรียกชื่อฉันด้วยเสียงอ่อนแรง
ดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่ แต่ใบหน้านาโอะซีดไปหมดเหมือนไม่มีแรง
[ คุณนาโอะ… อย่าตายเด็ดขาดนะ ]
ฉันซ่อนความตื่นตระหนกเอาไว้ไม่ได้
นาโอะเป็นคนที่แข็งแรงมากที่สุดในหมู่พวกเรา ไม่มีใครเลยที่ชนะนาโอะได้ตั้งมาที่โลกนี้
แต่นาโอะคนนั้นกำลังล้มอยู่
[ ไม่ได้น่ะ… ห้ามแตะต้องตัว… ฉัน ]
นาโอะเตือน
พอมองดูร่างนาโอะใกล้ๆ ร่างของเธอกำลังถูกล้อมรอบหนามสีดำ
หนามนี่คงเป็นเวทมนตร์และนาโอะก็ล้มลงเพราะเจ้าหนามนี้
ถึงนาโอะจะบอกว่าอย่าแตะต้องตัว แต่ฉันปล่อยเธอไว้แบบนี้ไม่ได้หรอก
ฉันพยายามเอาหนามพวกนั้นออก
[ อึก… ]
แค่จับไปนิดเดียวฉันก็เหมือนถูกดูดเรี่ยวแรงไป
[ นี่ล่ะ!! ]
ฉันพยายามลองใช้มีดดู แต่ดูเหมือนมีดจะทำอะไรหนามพวกนี้ไม่ได้
[ ไม่นะ… คุณจิยูกิ… รีบหนีไปเร็วเข้า… ]
นาโอะบอกให้ฉันหนี
[ มันเป็นใครกันแน่ คนที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้เหรอ? ]
ฉันถามนาโอะ แต่ดูนาโอะจะตอบอะไรไม่ได้อีกแล้ว
[ นี่… ]
ถึงจะพูดไปแตนาโอะก็ไม่ตอบอะไรกลับมา
[ คุณนาโอะ! ทำใจดีๆ ไว้! ]
ฉันพยายามเรียกนาโอะ
[ หืม…. ดูเหมือนจะจับผีเสื้อได้อีกตัวแล้วสิ ]
มีคนออกมาจากห้องด้านหลัง
[ ใครกัน? ]
ฉันลุกขึ้นยืน
คนสวมหน้ากากเดินออกมาจากห้องนั้น… แล้วกำลังเดินมา
ชายคนนั้นสวมหน้ากากน่าขนลุกที่ประดับประดาด้วยแมงมุม
[ แกทำอะไรกับนาโอะ? ]
ทั้งที่นาโอะพยายามจะค้นหาทั้งวันแต่ก็ไม่เจอตัวชายคนนี้ หรือเขาจะเป็นพวกเดียวกันกับปีศาจที่เราตรวจสอบเจอ
[ เธอเป็นศัตรูของฉัน นักปราชญ์ผมดำ ]
เขาพูดออกมาชัดเจนว่าเป็นศัตรู
ฉันรู้สึกได้ว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ เพราะฉันรู้สึกว่ามันต่างจากปีศาจทั่วไป
บางทีปีศาจตัวนี้อาจจะมาจากนากอล
[ หรือว่าแกจะมาจากนากอล? ]
ฉันถามคนที่สอบหน้ากาก เขาพยักหน้า
[ ถูกต้องแล้ว ]
ดูเหมือนว่าชายสวมหน้ากากคนนี้จะเป็นลูกน้องของโมเดส ที่ชายคนนั้นเล็งมาที่พวกเราก็เพราะเราเคยไปรุกรานนากอล
มันมีจิตใจภักดีต่อราชาปีศาจขนาดนั้นเลยเหรอ?
[ เอาล่ะ พวกเจ้าเหล่าลูกน้องของเทพธิดาที่แสนน่าชิงชังนั้น จะต้องกลายเป็นเหยื่อให้กับข้า! ]
ฉันรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังเวทจากชายสวมหน้ากาก
ดูเหมือนเขาพยายามจะใช้เวทมนตร์บางอย่าง
ฉันจึงตัดสินใจเริ่มก่อน
[ ซุปเปอร์โซนิคเวฟ!! ]
เมื่อฉันร่ายคาถาจบ คลื่นเสียก็เข้าไปโจมตีชายสวมหน้ากาก
แต่คลื่นเสียงมันหายไปต่อหน้าชายคนนั้น
[ โกหกชัดๆ ป้องกันโดยไม่ใช้เวทมนตร์งั้นเหรอ!!? ]
ฉันรู้สึกล้ามาก เพราะเสียพลังกับเวทมนตร์เมื่อกี้ไปมาก นี่มันผิดปกติ
[ อาณาจักรนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้าแล้ว คราวนี้ล่ะ ข้าผู้เป็นนิ้วแห่งนากอลจะเป็นผู้ปกครองดินแดนนี้ ]
พลังไหลเข้าสู่ร่างของชายสวมหน้ากาก
[ เป็นอะไรไป รู้สึกไม่มีพลังล่ะสิ ถึงเจ้าจะมีพลังเทียบเท่ากับเทพของเอลีอัส แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่หมอกสีดำของข้า เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ]
ผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาใกล้
ขณะที่ฉันเดินถอยหลัง
ด้วยพลังของฉันคนเดียวสู้กับเขาไม่ได้ ถ้าจะไม่ดีต่อนาโอะ แต่ฉันต้องไปเรียกคนมาช่วย ฉันต้องหนี
[ ไม่ปล่อยให้หนีไปได้หรอก! กุหลาบดำจงปรากฏ! ]
ทันทีที่ฉันมีท่าทางจะหนี ชายสวมหน้ากากก็ใช้เวทมนตร์
หนามสีดำปรากฏขึ้นจากพื้นดินและเข้ามัดร่างกายฉันเหมือนนาโอะ
[ อึก… เจ็บ… ]
มันมัดฉันราวกับกำลังจะชีกร่างกาย ไม่มีแรงเลย
[ ช่างโชคดีจริงๆ ข้าจะดูดพลังชีวิตของคนทั้งอาณาจักรนี้ซะ แต่ไม่นึกเลยว่าผู้กล้าจะมาอยู่ที่นี่ได้ ]
ชายสวมหน้ากากหัวเราะ
[ ผู้กล้ามันก็แค่เครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อฆ่าทุกสิ่งที่ขวางหน้ามัน ดังนั้นการจะหาพวกเจ้าเจอนั้นง่ายมาก เพราะพวกเจ้ามันเป็นที่จับตามองไงล่ะ ถึงพวกเจ้าจะมีพลังในการตรวจสอบและค้นหาขนาดไหนแต่หากไม่หัดซ่อนตัวก็ไร้ค่า เอาล่ะมาจบเรื่องนี้กันเถอะ ]
มือของชายคนนั้นกำลังตรงมาที่ฉัน
[ เจ้าอยากกลายเป็นเหยื่อบูชายัญหรือถูกฆ่าดีล่ะ? ]
ความกลัวเข้าครอบงำตัวฉัน
[ ไม่นะ ฉันไม่อยากตาย! ช่วยด้วยเรย์จิ!! ]
ฉันร้องไห้แล้วร้องหาเรย์จิ
[ ผู้กล้าของเจ้าไม่มาหรอก เพราะที่ห้องนี้มีบาเรียที่เป็นกั้นไว้อยู่ ไม่มีทางที่เวทมนตร์สื่อสารจะใช้ได้ และตอนนี้ผู้กล้าก็กำลังต่อสู้กับออโรร่าเพื่อปกป้องเจ้าหญิงของอาณาจักรนี้อยู่ คงไม่มีเวลามาช่วยเจ้าได้ทันหรอกน่า ยังไงซะ ถ้าผู้กล้าอยู่ในหมอกสีดำของข้าก็ไม่มีพลังจะต่อกรกับพวกเราอยู่แล้ว ]
ชายสวมหน้ากากพูด
นี่ฉันจะตายแบบนี้เหรอ? ไม่นะ ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย!! ฉันพยายามร้องให้ช่วยในใจเต็มที
มือของชายสวมหน้ากากแตะที่แก้มของฉัน มือนั้นเย็นยะเยือกจนทำให้ร่างกายของฉันสั่นไปหมด
ฉันพยายามหลับตาลง
เพื่อให้ความกลัวนี้หายไป
ในตอนนั้นเอง ประตูก็เปิดออกมา
[ อะไรกัน!! ]
ชายสวมหน้ากากร้องอย่างร้อนรน
ทันใดนั้นร่างของชายสวมหน้ากาก็ลอยออกไป
[ ไม่เป็นไรใช่มั้ย? ]
เสียงนั้นเป็นเสียงที่ดูอ่อนโยน
คนๆ นั้นปิดบังใบหน้าของตัวเองไว้ด้วยผ้าโพกหัว จากเสียงแล้วเขาน่าจะเป็นผู้ชาย
ฉันถูกเขาอุ้มเอาไว้ด้วยแขนขวา แขนของผู้ชายนี่อบอุ่นจัง … และรู้สึกราวกับความกลัวเมื่อกี้เป็นเรื่องโกหก
[ เด็กคนนั้นด้วย… ]
จากนั้นเขาก็อุ้มนาโอะไว้ด้วยแขนซ้ายและก็เอาหนามออกให้
จากนั้นเขาก็วางฉันและนาโอะลงกับพื้น
[ โอ้ย… ]
นาโอะส่งเสียงร้องออกมา ดีจัง ดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่
ฉันเอาแขนขวานาโอะมาอ้อมไหล่และอุ้มนาโอะขึ้น
[ คุณเป็นใครกัน? ]
จู่ๆ ประตูก็เปิดขึ้นมาจากนั้นชายสวมหน้ากากก็ถูกต่อยจนกระเด็น มันเป็นความเร็วที่เหลือเชื่อมา เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
ชายคนนั้นผ้าโพกหัวไม่ตอบอะไร แต่ชี้ไปทางประตูที่อยู่ด้านหลัง
[ พาเด็กคนนั้นไปแล้วรีบหนีไปซะ จากนี้ผมจะหาทางทำอะไรเอง ]
ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่? ชายสวมหน้ากากคนนั้นอันตรายมากเลยนะ แค่เขาคนเดียวจะไหวเหรอ?
แต่กลับรู้สึกว่าหากเชื่อชายคนนั้นต้องไม่เป็นไรแน่ ทำไมกันนะ?
[ เข้าใจแล้วค่ะ… ขอบคุณมาก แต่อย่าฝืนตัวเองล่ะ ฉันจะรีบเรียกคนมาช่วย ]
ฉันรีบออกจากประตู ต้องไปเรียกเรย์จิมา ไม่งั้นเขาคนนั้นต้องเป็นอันตรายแน่
ฉันอุ้มนาโอะเดินไปในทางใต้ดิน ในโลกนี้ฉันถือว่าเป็นยอดมนุษย์อยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้จะอุ้มนาโอะอยู่ยังเร็วอยู่ดี แต่สำหรับตอนนี้มันยากมากที่จะเร่งเต็มสปีดเหมือนปกติ
ถึงฉันจะรีบ แต่ความเร็วในการเดินก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย
[ อย่างน้อยน่าจะบอกชื่อสักหน่อยนะ… ]
ฉันรู้สึกเสียใจนิดหน่อย
ถ้าบอกชื่ออย่างฉันฉันจะได้ไปขอบคุณที่เขาช่วยเข้าไว้ได้
ฉันเดินตรงไปจนถึงพื้นดิน