อัศวินดำ - ตอนที่ 27
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ เฮ้ย แกน่ะเป็นใครกันแน่!! ]
ชายสวมหน้ากากส่งเสียงออกมา
ผมเองก็อยากพูดประโยคเดียวกันนั้นล่ะ
ชายสวมหน้ากากคนนี้เป็นใคร?
[ แล้วทำไมแกถึงได้ขยับได้ในพื้นที่ของข้า! ในพื้นที่หมอกนี้น่าจะมีเพียงท่านเลโกลผู้นี้ที่ได้รับการปกป้องสิ! ]
ผมเองก็อยากพูดอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้อะไรไป
เจ้าเวทมนต์หมอกสีดำนี้ เมื่ออยู่ด้านในหมอกจะทำให้พลังอ่อนแอลง เพราะแบบนี้โอรุจิ จิยูกิ กับ โทโดโรกิ นาโอมิถึงได้ถูกจับ
และในตอนที่ชายคนนี้กำลังจะฆ่าทั้งสองคน ผมก็ปรากฏตัวแล้วออกมาช่วยไว้ได้ทันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทั้งสองคนหนีออกจากห้องนี้ไปแล้ว
ผมมองไปที่ชายสวมหน้ากาก
ตอนนี้ผมก็ยังปิดบังใบหน้าไว้ไม่ให้ใครเห็นอยู่ อาจจะดูเป็นคนน่าสงสัยล่ะนะ แต่ชายสวมหน้ากากน่าขนลุกตรงหน้าผมดูน่าสงสัยกว่าเยอะ
บางทีชายคนนี้คงเป็นคนที่สร้างหมอกสีดำขึ้นมา
[ หรือแกจะเป็นเพื่อนของผู้กล้า แต่จากที่ข้าดูรอบตัวผู้กล้าก็ไม่เห็นคนที่ว่า! ตอบมาซะ! แกเป็นใครกัน!? ]
ผมจำไม่ได้ว่าไปเป็นเพื่อนของเรย์จิตอนไหน มันเป็นไปไม่ได้หรอก
ค่อนข้างรู้สึกแย่เลยล่ะที่ถูกมองว่าเป็นเพื่อนของเรย์จิ
แต่เพราะผมมาช่วยพรรคพวกของเรย์จินี่นะ การจะคิดแบบนั้นมันก็ช่วยไม่ได้
ชายข้างหน้าผมกำลังจะทำลายอาณาจักรนี้ ถึงผมจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ต้องหยุดให้ได้
ผมเรียกชุดเกราะออกมาด้วยเวทมนตร์ จากนั้นชุดเกราะก็สวมใส่เข้ากับตัวผม รูปลักษณ์แบบเดิมของผมเปลี่ยนไปเป็นอัศวินดำ
[ อัศวินดำ! ]
ชายสวมหน้ากากสีหน้าเปลี่ยน
[ ทำไม! ทำไมพรรคพวกของเจ้าคนทรยศถึงมาอยู่ที่นี่!? ]
ชายสวมหน้ากากพูดด้วยสีหน้ากังวล
[ คนทรยศ? หมายถึงอะไร? ]
ผมถามชายสวมหน้ากาก
[ ข้าเองก็ไม่อยากพูดนักหรอก แต่เข้าโมเดสมันทรยศข้ากับลูกชายที่รักของข้า! ]
เขาพูดออกมา
คำพูดของชายสวมหน้ากากเต็มไปด้วยความตกใจ
ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยแฮะ เอาไว้กลับไปที่นากอลลองไปถามโมเดสดูแล้วกัน
[ งั้นทำไมอัศวินดำถึงต้องมาช่วยผู้หญิงของผู้กล้าด้วย? เจ้าพวกนั้นเป็นศัตรูนี่ ]
ผมก็ไม่ได้คิดจะช่วยอะไร ก็แค่อารมณ์ไปตามสถานการณ์
[ ไม่ได้ช่วย ก็แค่เพราะนายเป็นศัตรูของโมเดส ดังนั้นก็ถือว่าเป็นศัตรู มีเหตุผลอะไรล่ะที่ฉันต้องไปช่วยศัตรู? ]
เหตุผลที่แท้จริงก็คือเพื่อช่วยอาณาจักรนี้ แต่ขอเงียบไว้ดีกว่า
[ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าพูดถึงอะไร แต่ถ้ามาขวางทางก็ตายซะ ]
จริงๆ มันก็แค่เรื่องบังเอิญ เพราะดูเหมือนมันจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องมาที่นี่
เพราะพลังเวทมนตร์ที่ผมรู้สึกได้จากชายสวมหน้ากากนั้นแหละน่ะ
[ ฮึ เจ้าอัศวินดำที่บังอาจบางมาทำลายแขนท่านแห่งเทพนากอล แต่อย่าคิดว่าแค่นี้จะหยุดข้าได้! ]
ดูเหมือนชายคนนี้จะชื่อซัลคิซิส เนโกลนั้นดูเหมือนจะเป็นนามสกุล
[ คุกต้องห้ามแห่งน้ำแข็งที่พันธนาการคนตายไว้เอ่ย จงตอบขานการเรียกของข้า! ]
อุญหภูมิในห้องลดลงไปหลังจากซัลคิซิสร่ายคาถา
ผมรู้จักเวทมนตร์ที่เขากำลังจะใช้
ที่โลกนี้มีนรกที่เป็นสิ่งเกรงกลัวสำหรับพระเจ้าและดวงวิญญาณอยู่ คนที่ตายแล้วก็มีแต่ต้องไปปอยู่ในนรกเท่านั้น ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าโลกหลังความตาย
และในส่วนลึกของนรกนั้นดูเหมือนจะมีคุกน้ำแข็งที่ขังคนตายมากมายเอาไว้
ซัลคิซิสกำลังเรียกคนตายเหล่านั้นออกมาจากน้ำแข็งจากโลกแห่งความตาย นั่นคือเวทมนตร์น้ำแข็งขั้นสุงสุดที่ลูคัสสอนผมมา
แต่เวทมนตร์นี้ผมก็ใช้ไม่ได้หรอก
[ เปลวไฟสีดำที่เผาผลาญทุกสิ่ง! จงเป็นโล่ให้แก้ข้า! ]
เมื่อผมร่ายคาถา กำแพงเปลวไฟสีดำก็ปรากฏขึ้น
เกล็ดน้ำแข็งที่ปล่อยออกมาจากซัลคิซิสปะทะเข้ากับกำแพงเปลวไฟสีดำ จากนั้นผมมันก็หักล้างกันจนสลายไป
[ เปลวไฟสีดำ… ไม่จริง… รันฟิว… ไม่ ไม่ อา.. ข้ารู้แล้ว แกคงเป็นอัศวินดำไดร์ฮาร์ดสินะ ]
ผมรู้สึกตกใจที่ชายชื่อซัลคิซิสเรียกชื่อผมออกมา จากข่าวลือ? ผมไม่ค่อยเป็นข่าวลือให้ชาวบ้านด้วยสิ….
[ คนที่มีพลังถึงขนาดจัดการผู้กล้าได้คนนั้นนี่เอง… ออโรร่านี่ไม่มีโชคเลยนะ ]
ซัลคิซิสถอนหายใจ
ผมชักดาบออกมา
[ จบแล้วเหรอ? ถ้างั้นก็ช่วยลบเจ้าหมอกดำนี้ทิ้งไปซะซัลคิซิส แล้วฉันก็มีอะไรจะถามอีก ช่วยตอบมาได้มั้ย? ]
ผมอยากรู้เรื่องความสัมพันธ์ของเขากับโมเดส
[ อา จบแล้วล่ะ! ออมาซะอันเดดที่แข็งแกร่งที่สุด!! ]
เมื่อซัลคิซิสพูดจบ ก็มีบางอย่างที่มีขนาดใหญ่โผล่ออกมา
[ นี่มัน… มังกร? ]
มีมังกรออกมา มันตัวใหญ่เทียบเท่าได้กับโกเรียสและดูเหมือนมันจะไม่ใช่มังกรธรรมดา เพราะมีกระดูกและสิ่งอื่นๆ โผล่มาจากตัวมันด้วย
[ มันคือมังกรซอมบี้ซึ่งสร้างขึ้นจากมังกรไฟที่เคยปกป้องห้องนี้อยู่และเจ้านี้มันยังมีความต้านทานไฟ จึงไม่แพ้ง่ายๆ หรอก ด้วยสิ่งนี้ข้าจะทำลายประเทศนี้แล้วฆ่าผู้กล้าซะ ]
ผมมองไปที่มังกรซอมบี้
[ มันเหมือนกับโกเรียสเลยนะ… ]
แม้มังกรจะตายไปแล้ว แต่มันกลับไม่ได้นอนหลับอย่างเป็นสุข
[ ไปเลยมังกรซอมบี้! จัดการอัศวินนั้นซะ! ]
มังกรซอมบี้เคลื่อนไหวตามคำสั่งของซัลคิซิส
ผมใช้ร่างกายเข้ารับการโจมตีนั้นตรงๆ
แต่ก็ไม่ได้ขยับจากที่เดิมเลย
[ คึก!! ]
มีเสียงดังออกมาเมื่อเราปะทะกัน
[ ดีมาก! จัดการอัศวินดำนั้นเลย!! ]
ซัลคิซิสหัวเราะ
ผมไม่สนใจเสียงหัวเราะนั้น จากนั้นเอาจับหัวของมังกรไว้ หลับตาและตั้งสมาธิ
ข้างในนั้นผมเห็นด้ายสีดำที่กำลังพ้นรอบดวงจิตของมังกรอยู่ ผมส่งพลังเข้าไปเพื่อตัดด้ายนั้นให้ขาด
[ มังกรที่น่าภูมิใจ ตอนนี้ผมได้ตัดด้ายที่พันธนาการให้แล้ว ดังนั้นนอนหลับอย่างสงบเถอะ… ]
เมื่อผมพูดจบ มังกรซอมบี้ก็เงียบไป
[ บ้าน่า! จัดการมังกรซอมบี้ได้งั้นเรอะ!! ]
ซัลคิซิสพยายามจะหนีออกจากห้องแต่ก็ถูกมังกรจับตัวไว้ จนเขาส่งเสียงตกใจ
มังกรที่ตายแล้วกำลังคำราม
ดูเหมือนวิญญาณของมังกรจะอยากเข้าไปอยู่ข้างในด้วยตัวเอง
[ นั่น… คือความปรารถนาของนายเองงั้นเหรอ? ]
แน่นอน ไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธหากเขาอยากจะอยู่ในร่างนั้นเอง
ร่างกายของมังกรกำลังหายไป
[ แกเป็นตัวอะไรกัน!? ทั้งที่แกเป็นมนุษย์ไม่ใช่เทพแท้ๆ ]
เสียงโกรธของซัลคิซิส
[ อี๊! เข้าใจนะ! ออโรร่าถอยเร็วเข้า! รีบหนีซะ!! ]
ร่างกายของซัลคิซิสจางลงเรื่อยๆ
[ คิดจะหนีไปไหน! เชือกเปลวไฟ! ]
ผมจับเขาไว้ด้วยเชือกไฟซึ่งเป็นพลังที่ผมได้มาจากการเข้าไปดูข้างในจิตใจของมังกรไฟ
แต่เจ้านั้นมันก็หายตัวไปซะก่อนที่จะจับตัวเอาไว้ได้
[ นี่ผมน่าจะใช้เวทมนตร์ปิดกั้นการสลายมากกว่าสินะ… ]
น่าเสียดาย มีอีกหลายเรื่องที่อยากจะถามแท้ๆ เลยแฮะ แต่ถ้าอยากรู้ไว้กลับไปนากอลค่อยไปถามจากโมเดสก็ได้ล่ะนะ
ก่อนอื่นก็ต้องหาทางทำให้หมอกสีดำนี้หายไปก่อน
ผมตามหาของที่ซัลคิซิสเหลือเอาไว้
เพราะผมรู้สึกได้ถึงพลังเวทมนตร์อันแข็งแกร่งจากที่ไหนสักแห่งและตรงนั้นผมก็เจอวงเวทเวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่กำลังส่องแสงสีแดง
เส้นพลังเวทจากตรงกลางเชื่อมไปเรื่อยๆ เขียนราวกับเส้นใบของแมงมุม
และข้างในวงเวทนั้น มันเหมือนมีหมอกสีดำกำลังพัดไปมาอยู่
[ บางทีเจ้านี้คงเป็นตัวตนของหมอกสีดำ… ]
ผมจับดาบขึ้นมาแล้วฟันไปที่วงเวท
จากนั้นแสงสีแดงก็หายไปและพลังเวทที่ผมรู้สึกเมื่อกี้ก็หายไปด้วย
[ หมอกสีดำน่าจะหายไปแล้วสินะ ]
◆ สาวบริสุทธิ์แห่งดาบ ชิโรเนะ
[ ไม่ไหว…. อย่างน้อยเธอคนเดียวก็หนีไปเถอะ… ]
กาลิอุสพูดด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ฉันยังแข็งแรงดีอยู่นะ จนทำลายบ้านไปหลายครั้งเพื่อเอามาขวางพวกพวกซอมบี้ไว้ แต่พูดตรงๆ เลย ฉันอาจจะถึงขีดจำกัดแล้วก็ได้
[ ใช่ครับ อย่างน้อยถึงพวกเราจะหนีไปไม่ได้ แต่ท่านชิโรเนะรีบหนีไปเถอะ ]
นิมริพูด
[ พวกนาย… ]
ฉันรู้สึกขอบคุณจากใจ แต่ฉันเองก็หนีไม่ได้ เพราะปีกมันไม่ยอมออกมาเหมือนคราวก่อนแล้ว
และดูเหมือนที่อาณาจักรนี้จะมีบาเรียที่ป้องกันไม่ให้เราหนีไปได้อยู่ คงจะหนีไปไม่ได้หรอก
[ ไม่ ฉันไม่หนี… ไม่ต้องห่วงมันต้องไม่เป็นไรแน่ เรย์จิคุงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างแน่! ]
ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อในตัวเรย์จิ
[ ถ้ารู้แบบนี้…. ตอนนั้นไม่น่าไปทะเลาะกับคุโรกิเลยนะ ]
แม้จะเป็นช่วงเวลาคับคันแบบนี้ แต่ฉันกลับนึกถึงเพื่อนสมัยเด็กของฉัน
เขามักจะโกรธเรื่องเรย์จิเสมอ
ถึงมันจะน่าเบื่อ แต่ก็ดูสงบและอบอุ่น
หัวใจของฉันรู้สึกเหมือนมีแรงกระตุ้นเมื่อรู้สึกถึงเรื่องในตอนนั้น
ใครมันจะมายอมตายในที่แบบนี้กัน?!
[ ทุกคนอดหน่อยหน่อย อีกนิดเดียว! ]
ฉันส่งเสียงออกไป
ฉันพยายามจะทำให้ทุกคนมีกำลังใจขึ้นมา
ร่างกายมันหนัก แต่ฉันต้องจับดาบแล้วลุกขึ้นสู้สิ
ทหารรับจ้างบางคนตอนนี้แน่นิ่งไปซะสนิทแล้ว
ทุกคนพยายามเข้า ทางฉันเองก็จะมาล้มลงตอนนี้ไม่ได้
ฉันจับดาบขึ้น
[ เบาจัง! ]
ทันใดนั้นก็มีเสียงของใครบางคน
ในตอนนั้นฉันก็รู้สึกถึงความอบอุ่นข้างบนหัว
[ หมอกสีดำหายไปแล้ว ]
เมื่อมองไปรอบๆ ก็เห็นหมอกสีดำหายไปแล้ว
และเหนือหัวพวกเรายังมีแสงแดดส่องอยู่
ใช่แล้ว แสงนั้นคือแสงจากเวทมนตร์ของเรย์จิ
เพราะหมอกสีดำหายไปแล้วแสงจึงส่องไปทั่วทั้งอาณาจักร
ราวกับแสงนั้นไปปลุก เหล่าคนที่ล้มลงเมื่อกี้ต่างลุกขึ้นมาอีกครั้ง
และแสงนั้นก็ทำให้เหล่าซอมบี้หายไป
ดูเหมือนฉันจะถูกช่วยไว้อีกแล้วสิ
[ เรย์จิคุงช่วยชีวิตฉันเอาไว้อีกแล้วสินะ ]
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ ขอโทษนะคะ แต่ฉันไม่มีพลังเลย… ]
ซาโฮโกะขอโทษฉัน
[ แม้จะพยายามเรียกเท่าไหร่ มันก็ไม่ยอมออกมา… ]
ริโนะพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า
[ ถ้าอย่างนั้น… ]
ฉันพึมพำ
โดยมีนาโอะที่กำลังหมดสติอยู่ข้างๆ
ฉันกลับมาร่วมกลุ่มกับซาโฮโกะ
และขอให้เธอช่วยรักษานาโอะ แต่ซาโฮโกะก็ใช้พลังไม่ได้แล้ว
บางทีคงเพราะหมอกสีดำนี้
ถ้ามีเจ้าหมอกสีดำนี้อยู่ พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้เลย
มีเพียงครั้งเดียวที่ฉันต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ยากลำบากขนาดนี้ นั้นก็คือตอนที่ได้พบกับไดร์ฮาร์ด
พอนึกถึงตอนนั้นขึ้นมา บางทีนี่ตัวฉันอาจจะโชคดีมาจนถึงตอนนี้เลยสินะ
[ ทั้งสองคนขอร้องล่ะช่วยดูแลนาโอะด้วย ]
ฉันลุกขึ้น
[ จะไปไหนนะคุณจิยูกิ? ]
[ ฉันจะกลับไปที่ทางใต้ดิน บางทีอาจจะมีวิธีที่ทำให้หมอกสีดำหายไปก็ได้ ]
ฉันไม่เหมือนทั้งสองคน ฉันยังพอใช้เวทมนตร์ได้อยู่
นี่คือเหตุผลที่ฉันต้องไป
[ จะไปคนเดียวในที่อันตรายแบบนั้นไม่ได้นะคะ! เจ้านั้นที่คนที่ทำให้นาโอะจังเป็นแบบนี้นะ ]
ซาโฮโกะพูด
[ ที่นั้นมีคนๆ นึงกำลังต่อสู้ด้วยตัวคนเดียวอยู่ ฉันต้องไปช่วยเขา ]
[[ เอ๊ะ? ]]
ซาโฮโกะและริโนะส่งเสียงตกใจ
[ มีใครบางกำลังต่อสู้…. เพื่อช่วยทุกคนอยู่ ]
[ ริโนะปล่อยเถอะ ]
แต่ซาโฮโกะกับริโนะดูจะไม่เชื่อ
[ บางที…. คนๆ นั้นอาจจะเป็นคนโรคจิตที่เรากำลังตามหาก็ได้… ]
ฉันคาดเดา เพราะเขาเองก็อยู่ในอาณาจักรนี้อยู่เหมือนกัน
และพลังที่ฉันเห็นในห้องใต้ดินก็ทำให้เชื่อว่าเขาคือเจ้าคนโรคจิตคนนั้น
ฉันไม่รู้ว่าำไทมเขาต้องปกปิดตัวตน ในสถานการณ์แบบนี้เนี่ยนะ?
แต่คนๆ นั้นกำลังต่อสู้อยู่คนเดียว และชายสวมหน้ากากคนนั้นก็อันตรายมาก
ดังนั้นฉันถึงต้องกลับไป
[ นั่นมันแสง… ]
ฉันได้ยินเสียงของริโนะจากข้างหลัง
เมื่อเงยหน้าขึ้นบนท้องฟ้า หมอกดำนั้นก็หายไปและเห็นเพียงดวงอาทิตย์ที่เป็นเวทมนตร์ของเรย์จิ แสงนั้นกำลังส่องไปทั่ว
ถ้าหมอกดำหายไปแล้วก็หมายความว่า…
เขาจัดการทำอะไรสักอย่างแล้วสินะ
ฉันคิดได้แค่นั้น
[ ทำได้แล้วนะ คุณคนโรคจิต… ]
◆ อัศวินแห่งอาณาจักรร็อก เร็มเบอร์
[ ท่านเรย์จิ… ]
อัลมีนากำลังเฝ้าดูการต่อสู้ของผู้กล้ากับออโรร่าที่ราวกับโกหกนั้นอยู
ใบหน้าของอัลมีนาทรมาน
บางทีตอนนี้ใบหน้าของผมคงเป็นใบหน้าของคนที่กำลังจะตาย
ผู้กล้าเองตอนนี้ก็เคลื่อนไหวช้าลง
จนลำบากมากที่จะโจมตีใส่ออโรร่าและแคลคูลัส
[ ฮืมม!! ถึงจะเจอการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ก็ยังจะต่อสู้ได้สูสีอีกนะผู้กล้า ]
ไม่เหมือนที่ต่อสู้กันครั้งแรก ตอนนี้แคลคูลัสดูแปลกและการเคลื่อนไหวยังดูเหมือนสัตว์ป่า
[ โอ๊ะ ขอบคุณที่ชม ถ้าจะมัวแต่ทำตัวน่ารังเกียจแล้วสั่งการอยู่ข้างหลังสิ ออกมาสู้กันอย่างยุติธรรมหน่อยเป็นไง? ]
ผู้กล้าหัวเราะแล้วพูด ถึงจะเป็นแค่ผิวเผินแต่ช่องว่างว่าผู้กล้ากำลังเสียเปรียบก็กำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ออโรร่าคอยใช้เวทมนตร์อยู่ข้างหลังโดยให้แคลคูลัสเป็นโล่และต่อสู้กับผู้กล้าให้
[ ใครจะไปต่อสู้อย่างยุติธรรมกัน? แค่ข้ามองก็รู้แล้วว่าเจ้าน่ะเก่งและยังมีคุณสมบัติธาตุแสงอีก ถ้าข้าเข้าไปต่อสู้ตรงๆ คงโดนเจ้าจัดการนะสิ ดังนั้นป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ข้าเหลือแรงไว้สู้ในกรณีที่เกิดเรื่องไม่คาดคิดดีกว่า]
ออโรร่าล้อเลียนผู้กล้า
[ น่ารำคาญจริงๆ แน่จริงก็เข้ามาสู้เองหน่อยเซ่? ]
[ จะปากดีก็ปากดีไปเถอะ แต่ป่านนี้แล้วเจ้าจะทำอะไรได้!! ]
[ ถึงฉันจะทำอะไรไม่ได้ แต่สาวๆ ของฉันต้องหาทางทำอะไรได้แน่! ]
ผู้กล้าหัวเราะ ดูเหมือนเขาจะเชื่อมั่นในพวกพ้อง
[ ฮึ เจ้างี่เง่า… ไปจัดการมันซะ !! ]
ออโรร่าสั่งให้แคลคูลัสจัดการผู้กล้า
การต่อสู้ระหว่างผู้กล้าและแคลคูลัสเริ่มขึ้น โดยที่ออโรร่าคอยโจมตีผู้กล้าอยู่ในเงามืด
ข้าทำได้แต่เพียงดูเท่านั้น
เมื่อเวลาผ่านไปดูเหมือนผู้กล้าจะเริ่มเสียเปรียบ
แต่ผู้กล้าก็ยังสู้ต่อไป
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สมดุลการต่อสู้ก็พังลง
อัศวินแห่งวิหารคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นมาต่อสู้ช่วยแคลคูลัส
ถ้าคนพวกนั้นทุกคนโจมตีผู้กล้าพร้อมกันละก็…
[ เป็นไงล่ะ! เจ้างี่เง่า! ]
ออโรร่าพูด
แน่นอน ตอนนี้ผู้กล้าเริ่มถูกดันไปเรื่อยๆ แล้ว
[ นี่มันบ้าอะไรกัน… ? ]
จู่ๆ ออโร่าก็ส่งเสียงตกใจ
[ หมอกสีดำ…. ]
อัลมีนาพึมพำ
ท่าทางที่เสียขวัญของอัลมีนากลับมามีกำลังใจอีกครั้ง
เมื่อข้ามองไป หมอกสีดำที่เคยลอยเต็มไปหมดในห้อง ตอนนี้มันได้หายไปแล้ว
[ งี่เง่าน่า! นี่มันเกิดอะไรขึ้น!! ]
เสียงของออโรร่า
[ นี่คงเป็นฝีมือของจิยูกิแน่! สมกับเป็นสาวๆ ของฉันยอดจริงๆ ]
ผู้กล้าหัวเราะ
ออโร่ามองราวกับไม่เชื่อสายตา
[ บ้าบอสิ้นดี…. ท่าน… ซัลคิ… ซิส… นี่มันเรื่องโกหก ]
ออโรร่าส่ายหัวเพราะไม่อยากเชื่อ
[ รุ่นพี่เรย์จิ ! ]
[ เรย์คุง !! ]
มีเสียงเรียกผู้กล้ามาจากไกลๆ
เสียงนี้คงเป็นพรรคพวกของผู้กล้า
[ ได้เวลาเอาคืนแล้ว ]
ผู้กล้าหัวเราะแล้วพูด
[ หน๊อย… ! ]
ออโรร่าร้องด้วยความเจ็บใจ
[ ยัง… มันยังไม่จบหรอก… ]
ออโรร่าเอาขวดบางอย่างออกมาจากอกขณะที่เดินถอยหลัง
[ ข้าเองก็ไม่อยากใช้มันนักเพราะจะไม่สามารถกลับมาร่างเดิมได้… ]
[ ตอนนี้พลังฉันกลับมาแล้ว ไม่รู้หรอกนะว่าคิดจะทำอะไร แต่เธอน่ะแพ้แล้ว ]
ผู้กล้าหันดาบเข้าใส่
[ ไปเลย! ศรขนนก!! ]
ศรขนนกจำนวนมากถูกปล่อยจากตัวออโรร่าแต่เป้าหมายไม่ใช่ผู้กล้า
มันกำลังตรงเข้าไปหาอัลมีนา
[ อุ๊บ!! ]
แต่ว่าด้วยการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของผู้กล้าทำให้ป้องกันไว้ได้หมด
ระหว่างนั้นออโรร่าก็ดื่มยาเข้าไป
เมื่อเธอดื่มยาเข้าไป ส่วนต่างๆ ของนกก็ปรากฏขึ้นมาที่รอบคอของออโรร่าจนถึงส่วนเท้า นี่คงจะเป็นร่างจริงของเธอ จากนั้นร่างของออโรร่าก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
[ กรุ๊วฮะฮะฮะ!! ]
ออโรร่าเกาะที่เพดานแล้วบินหายไปในท้องฟ้า
[ ไม่เป็นไรนะอัลมีนา? ]
ผู้กล้ายิ้มให้อัลมีนาโดยไม่สนใจออโรร่า
อัลมีนาที่ฟื้นตัวได้พยายามลุกขึ้นมา
[ เรย์จิ!! ]
อัลมีนาโอบกอดผู้กล้า
[ เรย์จิ… เจ้าปีศาจนั่น… ]
[ ได้เลยอัลมีนา… ฉันไม่รู้หรอกว่ามันคิดจะทำอะไร แต่ตอนนี้มันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันอีกแล้ว ]
มือของผู้กล้าโอบไปที่ด้านหลังของอัลมีนา
[ เรย์คุง!!! ]
[ รุ่นพี่เรย์จิ! ]
มีเสียงส่งออกมาจากด้านหลังของผู้กล้า
เพื่อนของผู้กล้าที่มาถึง ดูจะโกรธมากที่เห็นผู้กล้ากับอัลมีนากอดกัน
[ ซาโฮโกะ ริโนะ ฉันจะไล่ตามเจ้าปีศาจนั้นไป ฝากดูแลอัลมีนาด้วย! ]
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ผละตัวออกจากอัลมีนาและกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า
[ เดี๋ยวสิรุ่นพี่เรย์จิ!! ]
[ อีกแล้วนะเรย์คุง!!! ]
ทั้งสองคนบ่นแล้วมองไปบนท้องฟ้า
[ อุ๊~ ]
ข้าพยายามดันตัวเองขึ้น
ดูเหมือนเพราะเสียง พวกเขาเลยสังเกตเห็นแล้ว
[ คุณซาโฮะโกะผู้ชายคนนั้นบาดเจ็บนี่คะ? ]
[ เอ่อ…. ใช่แล้ว เร็มเบอร์? ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ? ]
ข้าก็บอกได้ว่าไม่เป็นไรได้ไม่เต็มปากหรอก
ดูเหมือนข้าจะถูกผู้กล้าและอัลมีนาลืมตัวตนไปแล้วด้วยซ้ำ นี่ข้าน่าจะตายไปซะคงจะดีกว่าสินะ
ด้วยเวทมนตร์ของนักบุญสีขาว
ทำให้บาดแผลของข้าหายไปในทันที
ดูเหมือนข้าจะรอดตายมาได้
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ คุณนาโอะไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ? ]
นาโอะหยักหน้า
เมื่อหมอกสีดำหายไป นาโอะก็ตื่นขึ้น
ด้วยเวทมนตร์ของซาโฮโกะทำให้เธอฟื้นฟูได้ในระดับนึง แต่ก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่
ตอนนี้ซาโฮโกะกับริโนะกำลังไปที่ราชวัง ซึ่งดูเหมือนที่นั้นยังต่อสู้กันอยู่
ฉันและริโนะเข้าไปในทางใต้ดิน
ได้พบกับเขาคนนั้น และเขาก็ต่อสู้กับชายสวมหน้ากากเพื่อให้เราหนีไป
และทั้งฉันกับนาโอะก็มีหนี้บุญคุณที่ต้องขอบคุณกับเขาด้วย
ที่จริงฉันอยากเข้าไปในห้องใต้ดินนั้นอีกครั้ง แต่ฉันคงจะพานาโอะที่ยังไม่ฟื้นตัวดีไปไม่ได้และถึงฉันไปคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้
แน่นอน ถ้าต้องรอมันอาจจะใช้เวลานานเกินไป ฉันเลยคิดจะไปคนเดียว
[ คุณจิยูกิ…. ]
นาโอะเรียกชื่อฉัน
จากนั้นเธอก็มองไปบนฟ้า
บนท้องฟ้าที่นาโอะมอง พวกเเราเห็นนกตัวหนึ่งกำลังบินอยู่
[ นั่นมันนก? ไม่สิ นั่นคงเป็นสคิเกอร์…? ]
ฉันไม่มั่นใจว่ามันใช่สคิเกอร์รึเปล่า
แต่ร่างกายของมันดูใหญ่มากคล้ายกับสคิเกอร์ยักษ์
[ อะไร… ]
นาโอะพึมพำ
ฉันและนาโอะจับจ้องไปที่บนท้องฟ้า
ร่างของสคิเกอร์นั้นบนขึ้นไปสูงและมีขนาดใหญ่จนสุดท้ายก็ใหญ่เท่ากันอาณาจักรนี้ไปแล้ว
และรูปร่างมันแตกต่างจากสคิเกอร์ทั่วไป ถึงมันจะมีร่างกายเป็นนกแต่หน้ากลับเป็นสิงโต
[ นั่นมันปีศาจที่อาศัยอยู่ทางทะเลทรายตะวันตก…. ]
ฉันเคยเห็นในหนังสือ มันคือปีศาจที่บินบนท้องฟ้าได้ซึ่งเป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ทางทะเลทรายทางตะวันตก แค่เพียงลมที่พัดจากปีกมันก็ก่อให้เกิดภัยพิบัติได้แล้ว
ปีศาจนกกำลังบดบังดวงอาทิตย์ที่เรย์จิสร้างขึ้นและทำให้ทั้งอาณาจักรมีแต่เงามืด
[ เคี๊ยกก!!! ]
ปีศาจนกคำรามและกระพือปีกจนเกิดลมแรง อาคารรอบๆ ต่างพังเพราะแรงลมนั้น
[ ขืนเป็นแบบนี้อาณาจักรนี้พังพินาศแน่… ]
ฉันพยายามบินไปด้วยเวทมนตร์บิน
[ อ่ะ นั่นมันรุ่นพี่เรย์จิ! ]
นาโอะชี้
ในที่ที่ปีศาจนกนั้นอยู่มีใครบางคนกำลังส่องแสงอยู่ ไม่ผิดแน่ นั่นต้องเป็นเรย์จิแน่ๆ
เรย์จิกำลังต่อสู้กับเจ้านั้น
[ แกจงเป็นฝุ่นไปพร้อมกับอาณาจักรนี้ซะเถอะ― ]
เสียงร้องของนกปีศาจคำถามเสียงดังกังวาน
เสียงดังวานนั้นทำให้ผู้คนในอาณาจักรต่างตกอยู่ในความสิ้นหวัง
[ ตราบที่ฉันยังอยู่ที่นี่ ไม่ยอมให้ทำหรอกเว้ย!! ]
เสียงของเรย์จิร้องตระโกนก้องกังวาล ฉันเองก็เคยคิดล่ะนะ แต่เสียงเรย์จินี้ดังจริงๆ
[ เอานี้ไปกิน — !! ]
ขนนกขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นกลายเป็นห่าฝนใส่เรย์จิ
[ แล้วถ้าเป็นเจ้านี้ล่ะ!! ]
บอลแสงจำนวนมากรายล้อมเรย์จิ
บอลแสงพวกนั้นคอยยิงลูกศพจนนกให้หล่น นั้นคือกระสุนแสงซึ่งเป็นเวทมนตร์ของเรย์จิ
[ ถึงตาฉันบ้างล่ะ!! ]
เรย์จิตระโกน จากนั้นก็มีวงเวทขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นที่บนหัวเรย์จิ
[ นั่นมัน…. ]
ไม่ได้การ เวทที่เรย์จิกำลังจะใช้นั้นมัน ‘เทพแห่งการชำระล้าง’ ซึ่งเป็นเวทที่แม้แต่เหล่าเทพแห่งเอลีอัสก็ยังใช้ไม่ได้ ยกเว้นแค่โอดิน ราชาเทพเพียงคนเดียว ตอนที่เรย์จิเคยใช้เวทนั้นครั้งแรก เรน่าตกใจมากจนต้องมาอธิบายกันยาวเลยล่ะ
[ ไปเลย!! ]
แสงมากมายปรากฏขึ้นจากมือของเรย์จิและกลืนกินปีศาจนั้น
[ เคี๊ยกก――――!!!]
เสียงคำถามของปีศาจนกดังออกมา จากนั้นร่างของปีศาจก็หายไปพร้อมกับแสง
แสงได้กลืนกินปีศาจนกไปแล้วเหลือแต่เพียงดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงในท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ยาวสุดลูหูลูกตา
มีเพียงดวงอาทิตย์ของเรย์จิและเรย์จิเท่านั้นที่เหลืออยู่ ปีศาจนกที่อยู่บนฟ้าได้หายไปแล้ว
ความเงียบได้ปกคลุมไปทั่วอาณาจักร จากนั้นทุกคนก็ส่งเสียงดีใจกันขึ้น
รอบตัวฉันกับนาโอะไม่มีใครอยู่เลย แต่กลับได้ยินเสียงดีใจของชาวเมืองมาถึงที่นี่
เสียงเชียร์ที่ส่งให้เรย์จินั้นดังไปทั่วอาณาจักร