อัศวินดำ - ตอนที่ 32
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
เมื่อบินผ่านที่ราบคิโซเนียก็เห็นฝูงคนกำลังวิ่งอยู่ที่ทุ่งหญ้า
ที่กำลังวิ่งอยู่นั่นก็คือเผ่าเซนทอร์ที่มีร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์และมีร่างกายส่วนล่างเป็นม้า
ฉันเห็นพวกเซนทอร์ดูตื่นตระหนกกัน
สาเหตุน่าจะมาจากฉันเอง เพราะตอนนี้ฉันกำลังขี่กริฟฟอนอยู่ พวกเขาเลยกลัวล่ะนะ
ที่ราบคิโซเนียกว้างใหญ่และมีหลายเผ่าที่อาศัยอยู่ เช่นตรงนั้นคือเผ่าซาทิรุสที่มีร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์แต่มีส่วนล่างเป็นแพะ
พวกเขาราวกับหลุดออกมาจากในนิยาย แต่ตอนที่ได้เจอแล้วมันเหมือนจินตนาการแตกเป็นเสี่ยงเลยล่ะ
อย่างเซนทอร์ก็ดูสง่าอยู่หรอกนะ แต่ไม่รู้เพราะอะไรเวลาที่พวกเขาเห็นเราถึงได้โจมตีใส่ทันทีเลย แน่นอนฉันก็โต้ตอบกลับไปและดูเหมือนเซนทอร์จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีแต่ผู้ชายเท่านั้น
แม้ว่าจะมีเรื่องที่ทำให้เหมือนจินตนาการสลาย แต่ก็มีตัวตนที่เหมือนกับในตำนานเหมือนกัน
ฉันประทับใจมากตอนที่ได้เห็นมังกรเหมือนกับในนิทานปรากฏตัวออกมา แต่สำหรับคนบนโลกนี้ตัวตนของมังกรคือสิ่งโหดร้าย น่า มันก็ไม่เปลี่ยนไปจากโลกเดิมหรอก
การได้เห็นของจริงกับตามันดีกว่าฟังมาอยู่แล้ว ที่พวกเรายิ้มได้ก็เพราะมีพลัง แต่สำหรับคนบนโลกนี้ตัวตนของมังกรคือสิ่งที่แข็งแกร่งมาก อย่าลืมซะล่ะ
และแต่เดิมกริฟฟอนก็เป็นมอนสเตอร์ด้วย
[ ฉันว่ามันออกจะน่ารักดีนะ… ]
ฉันลูบคอกริฟฟอน
กริฟฟอนเป็นมอนสเตอร์ที่มีร่างกายเป็นสิงโตและมีปีกเหมือนนกอินทรี มีถิ่นอาศัยอยู่กลางเทือกเขาและช่องว่างที่ยื่นออกมาจากที่ราบมินอนของฝั่งตะวันไปจนถึงที่ราบคิโซเนียถึงทางตะวันออก
เพราะไม่มีมังกรอาศัยอยู่กลางเทือกเขา ดังนั้นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดของที่ราบคิโซเนียจึงกลายเป็นกริฟฟอนที่ฉันกำลังขี่อยู่นั้นเอง
ด้วยความสามารถของนาโอะและริโนะทำให้เราสามารถนำกริฟฟอนและฮิปโปกริฟฟ์ที่อาศัยอยู่ในที่ราบคิโซเนียมาขี่ได้ ทั้งยังสามารถอัญเชิญมาได้ทุกเมื่อด้วยอุปกรณ์อัญเชิญที่พวกเราขอให้เหล่าคนแคระสร้างให้
ความเร็วของกริฟฟอนน่ะสุดยอดมากเลยล่ะ
ทำให้ฉันไปที่ต่างๆ ได้ในพริบตาเลย
ฉันขี่กริฟฟอนไปบนภูเขาสูงชัน
ที่นี่คือเทือกเขากลางที่แบ่งแยกทวีปตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน
ขณะที่ฉันไปถึงกลางเทือกเขาก็มองเห็นฮาร์ปี้หลายตัวกำลังบินอยู่
ฮาร์ปี้มีร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์ มีแขนเป็นปีกและขาเป็นส่วนของนกอินทรี ถือเป็นศัตรูของมนุษย์
แต่ที่ฮาร์ปี้ไม่โจมตีใส่พวกเราก็เพราะกริฟฟอนแข็งแกร่งกว่าฮาร์ปี้อยู่มาก แทนที่จะสู้พวกฮาร์ปี้เลยเลือกจะหนีไปดีกว่า
ซึ่งเผ่าอื่นนั้นเวลาให้กำเนิดลูกหากเกิดมาเป็นผู้ชายก็จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับฝั่งพ่อ หากเกิดเป็นผู้หญิงก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับฝั่งแม่
ถ้าจับคู่เซนทอร์กับฮาร์ปี้ได้คงยอดเลยนะ แต่ดูเหมือนทั้งสองเผ่าจะชอบมนุษย์ แม้ว่าฉันจะไม่ได้รู้เรื่องของทั้งสองเผ่าละเอียดนัก แต่ดูเหมือนในเผ่าพันธุ์ทั้งหมด เผ่าพันธุ์ที่นิยมในการจับมาเป็นคู่ที่สุดก็คือมนุษย์
ฉันเองก็คิดว่ามันแปลก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะมันเอนเอียงไปทางนั้นล่ะนะ
ฉันคิดเรื่องพวกนั้นขณะที่บินผ่านเทือกเขากลาง จากตรงนี้ไปคือฝั่งตะวันตกของทวีปและหากผ่านทุ่งราบมินอนและทะเลสาบอลาสก็จะถึงโรงเรียนซาเรียที่เป็นจุดหมาย
เพื่อตรวจสอบเรื่องบางอย่างฉันเลยมีเหตุผลต้องไปที่โรงเรียนซาเรีย
มีบางเรื่องที่ฉันยังไม่รู้ ทำไมเขาถึงได้ไปร่วมมือกับราชาปีศาจได้?
เพราะถึงจะโดนอัญเชิญมาก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังอยู่แล้ว
จากที่ชิโรเนะเล่า ดูเหมือนเขาจะเป็นคนใจดีและอ่อนโยนดังนั้นคงไม่มีทางยอมมือกับคนเลวอย่างราชาปีศาจแน่
ดังนั้นเขาอาจจะถูกควบคุมด้วยเวทมนตร์บางอย่างอยู่ก็ได้
และโรงเรียนซาเรียก็เหมือนกับมหาวิทยาลัยที่รวบรวมนักเวทจากทั่วทุกมุมของโลกรวมถึงคอยวิจัยเวทมนตร์ต่างๆ
ว่ากันว่าโรงเรียนซาเรียมีหนังสือที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์อยู่มากมาย บางทีอาจจะมีข้อมูลของเวทมนตร์ที่น่าจะใช้ยกเลิกการควบคุมของเขาได้ ฉันเลยเดินทางไปที่โรงเรียนซาเรียตามลำพัง
เพราะสู้ฉันไปเองคนเดียวยังทำการตรวจสอบข้อมูลได้มากกว่า คนๆ ดูจะไม่เหมาะกับงานแบบนี้สักเท่าไหร่ ยกเว้นแต่คายะคนเดียว แต่คนอื่นๆ น่ะเหรอ… ช่างพวกเขาเถอะ นี่เองก็เป็นเหตุผลอีกข้อที่ฉันควรมาคนเดียว
เพราะชิโรเนะเอาแต่บอกว่าจะไปหาเขาให้ได้และยังรู้สึกกังวลตลอดเวลา เห็นแล้วมันน่าหงุิดนะ ดังนั้นคงต้องทำให้เธอสบายใจก่อน
เพราะความสับสนจะทำให้ถูกปีศาจทำร้ายได้เวลาต่อสู้
นี่เองก็เป็นเหตุผลนึงเหมือนกัน ฉันขี่กริฟฟอนและมุ่งหน้าไปที่โรงเรียนซาเรีย
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
เมืองแห่งเวทมนตร์ซาเรียคือเมืองที่ตั้งอยู่แถบทะเลสาบและล้อมรอบด้วยภูเขา
ในโลกนี้ปกติเมืองทั่วไปจะตั้งตนเป็นประเทศ แต่ซาเรียไม่ใช่ประเทศ ดังนั้นการเข้าไปที่ซาเรียจึงไม่จำเป็นต้องมีสถานะพลเมือง
เพราะเดิมทีซาเรียก็เป็นเมืองที่ถูกควบคุมดูแลโดยเหล่าผู้ใช้เวทจากทั่วโลก ดังนั้นผู้ใช้เวททุกคนในสมาคมจึงเป็นพลเมือง
และโรงเรียนซาเรียก็คือสถานที่ทำการวิจัยเวทมนตร์และคอยอุปถัมภ์เหล่าผู้ใช้เวทหน้าใหม่
เมื่อใกล้จะถึงเมืองซาเรีย ฉันก็ลงจากกริฟฟอนและมุ่งหน้าไปซาเรีย
ถึงฉันจะเคยคิดติดตั้งเวทมนตร์เคลื่อนย้ายที่ซาเรียไว้ แต่ดูเหมือนจะถูกสั่งห้าม ซึ่งดูเหมือนตำแหน่งของฉันในสมาคมจะเป็นตำแหน่งสำคัญน่าดู
เมื่อไปถึงประตูเพียงแสดงแผ่นเงินเพื่อแสดงว่าตนเป็นผู้ใช้เวทแห่งสมาคมก็ผ่านประตูเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
หากเป็นผู้ใช้เวทที่สังกัดที่สมาคมการจะเข้าออกซาเรียก็ง่ายนิดเดียว เพราะฉันเองก็อยู่ในสมาคมผู้ใช้เวทของลีนาเรียเลยมีแผ่นเงินอยู่ด้วย
เมื่อไปถึงซาเรีย ฉันมุ่งหน้าไปยังจุดหมายโดยไม่ลังเลใจ
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ฉันมาซาเรีย ตอนที่มาเมืองนี้ครั้งแรกฉันมาเพราะสนใจ ดังนั้นในตอนนั้นเลยไปดูอะไรต่อมิอะไรมาเกือบหมดแล้ว สถานที่ที่น่าสนใจก็คือห้องสมุดของโรงเรียนซาเรียนั้นเอง
จากนั้นฉันก็เดินผ่านผู้ใช้เวทบ้าง บางทีอาจจะแค่คนธรรมดาที่อาศัยในเมืองนี้ก็ได้
เพราะหากเป็นผู้ใช้เวทจะสวมเสื้อคลุมสีดำทำให้แยกแยะได้ง่ายกับผู้ที่ไม่ได้เป็น
ที่เมืองซาเรียมีผู้ใช้เวทอาศัยอยู่หลายร้อยคนจึงถูกเรียกว่าเมืองแห่งผู้ใช้เวท
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นเมืองแห่งผู้ใช้เวท แต่ก็ไม่ได้มีแต่ผู้ใช้เวทเท่านั้น ยามเฝ้าประตูที่ปกป้องเมืองนี้และคนธรรมดาก็มีคนที่ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ดูเหมือนพวกเขาจะใช้ทหารรับจ้างของประเทศน่ะ และยังพื้นค้าที่คอยขายของจำเป็นในชีวิตประจำวันนั้นก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน
คิดว่าเป็นคนธรรมดาประมาณ 60% ได้เลย
ฉันเดินไปที่ห้องสมุดและไปยังแผนกต้อนรับ
ผู้ชายที่แผนกต้อนรับดูคล้ายกับผู้ใช้เวท ไม่เหมือนคนเฝ้าประตูเมื่อกี้หรอกนะ เพราะห้องสมุดเป็นสถานที่สำคัญจึงต้องให้ผู้ใช้เวทเท่านั้นมารับงานนี้
ดังนั้นทุกคนที่อยู่ในห้องสมุดนี้จึงเป็นผู้ใช้เวทของสมาคมทั้งนั้น
ฉันแสดงแผ่นเงินเหมือนกับที่ให้ยามเฝ้าประตูดู จากนั้นพนักงานต้อนรับก็ทำสีหน้าแปลกๆ มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?
[ เอ่อ…. หรือว่าท่านคือท่านนักปราชญ์ผมดำ? ]
จู่ๆ ชายคนนั้นก็ถามออกมา
[ ถึงจะไม่ได้เรียกตัวเองแบบนั้น แต่ก็มีใครหลายคนที่เรียกฉันด้วยชื่อนั้นนะ ]
ฉันตอบเขาออกไปแล้วเขาก็ทำหน้าแปลกประหลาด
ฉันคงเรียกตัวเองว่าเป็นนักปราชญ์ไม่ได้หรอก แต่ถ้าถูกเรียกเองหรือถูกถามก็ไม่ได้ปฏิเสธหรอก
[ นี่มันคือแผ่นเงินที่ออกโดยสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรีย แต่ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าท่านนักปราชญ์ผมดำจะเป็นสาวสวย… ]
[ เอ่อ… ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะรีบเข้าไปในห้องสมุดนะคะ… ]
ฉันขัดจังหวะเพราะมันอาจจะเป็นการคุยกันที่นานเกินไป
[ ครับ ขอโทษด้วยครับ เชิญเลยครับท่านจิยูกิ ]
ฉันเองก็มีเรื่องมาตอบคำถามคุณอยู่หรอกนะ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลา
ก่อนอื่นก็หาหนังสือเป้าหมายจากป้ายที่อยู่ทางเข้าประตู เป้าหมายคือหนังสือการเขียนคาถาและเวทมนตร์ชนิดการควบคุมจากในร่างกาย
ในหมวดเวทมนตร์ควบคุมจิตใจก็มีทั้งทำให้หลับและทำให้จิตใจสับสนมีเวทมนตร์ที่คล้ายกันอยู่มาก
ฉันเดินผ่านชั้นหนังสือที่วางไว้และไม่นานก็มาถึงพื้นที่เป้าหมาย
ที่ชั้นวางตรงนี้มีหนังสือเวทมนตร์ประเภทควบคุมจากวิญญาณอยู่
แม้ว่าหนังสือจะถูกเขียนด้วยตัวอักษรของโลกนี้ แต่ก็ไม่มีปัญหา
เพราะอักษรของโลกนี้ไม่ได้ยากเลย
ประการแรกมีตัวอักษรทั้งหมด 21 ชนิดมีทั้งแบบตัวพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก ในพิมพ์เล็กนั้นจะมีทั้งหมด 63 ตัวอักษรทั้งยังมีการเขียนสัญลักษณ์ในประโยคคำพูด และเนื่องจากไวยากรณ์ใกล้เคียงกับภาษาญี่ปุ่น จึงเรียนง่ายกว่าภาษาอังกฤษซะอีก
แน่นอนว่าการอ่านประโยคจะแตกต่างกันหน่อย แต่ถ้ารู้มันก็ง่าย ดูเหมือนทางชิโรเนะกับซาโฮโกะจะอ่านได้ลำบาก ยกเว้นแค่เพียงริโนะคนเดียวที่จำได้ ทางคุณเคียวกะเองก็อ่านได้ แต่ก็สงสัยอยู่ว่าคุณคายะจะอ่านได้เหมือนกันมั้ย?
นอกเหนือจากนั้นเรย์จิกับนาโอะดูจะเป็นประเภทเรียนรู้ได้เร็ว
โดยเฉพาะความสามารถของเรย์จิน่ะสูงมาก ทั้งที่ไม่ต้องพยายามเรียนก็สามารถอ่านได้คล่องพอๆ กับฉัน ทั้งที่ฉันอุตส่าห์อดทนเรียนจนดึกจนดื่นเพื่อที่ตัวเองจะอ่านหนังสือได้ แต่ผู้ชายคนนั้นกลับ… เกลียดชะมัดเลย
นาโอะนั้นนอกจากความสามารถทางกายที่สูง ยังหัวดีและเรียนรู้ได้เร็วด้วย
ทางฉันเองก็เขียนและอ่านได้เป็นปกติ ถึงจะยังอ่านได้ไม่ถนัดนักเพราะเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นโรมาจิของญี่ปุ่นล่ะนะ
แต่ตอนนี้ก็เริ่มชินแล้ว หากเป็นหนังสือที่เข้าใจยากก็จะอ่านยากหน่อย แต่หากเป็นหนังสือปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
เอาล่ะ อ่านหนังสือดูกว่า หนังสือที่เอื้อมไม่ถึงฉันก็ใช้มือเวทมนตร์ไปหยิบมันมา
มือเวทมนตร์ก็คือมือโปร่งใสที่ถูกสร้างด้วยเวทมนตร์สามารถหยิบของในระยะไกลๆ ได้
หากเป็นผู้ใช้เวทปกติของโลกนี้จะยืดได้ 2-3 มือเท่านั้น แต่ฉันสามารถใช้เป็นสูงสุดถึง 100 มือและมีระยะถึง 100 เมตร
แต่เพราะมือเวทมนตร์จะรับน้ำหนักได้เท่ากับมือจริงๆ ของผู้ใช้ ดังนั้นสำหรับผู้ใช้เวทจึงถือของหนักๆ ไม่ได้ แต่ว่าในโลกนี้ฉันก็เป็นยอดมนุษย์จะถือของน้ำหนักแค่ไหนก็สบายมาก จะเอาไปใช้บดกระโหลกคนก็ได้ถ้าอยากทำ
ฉันเอาหนังสือมาประมาณ 20 เล่ม เอาล่ะ ต้องหาโต๊ะว่างสินะ
เพราะหนังสือจากห้องสมุดนี้ยืมไม่ได้ ดังนั้นมีแต่ต้องอ่านในห้องสมุดเท่านั้น ดังนั้นจึงมีการจัดเตรียมโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือไว้หลายแห่งในห้องสมุด หนังสือบางเล่มฉันเอามาเพื่ออ่านและคัดลอกไว้น่ะ
ฉ้นหาโต๊ะว่างๆ จากนั้นก็วางหนังสือ อย่างแรกก็หนังสือเกี่ยวกับเวทมนตร์ที่ใช้ในการควบคุม ต้องตรวจสอบว่าสามารถควบคุมได้มากแค่ไหนหากเป็นเผ่าปีศาจ เพราะเงื่อนไขการควบคุมก็ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ด้วย อาจจะมีประโยชน์ในสถานการณ์นี้
ฉันเริ่มอ่านหนังสือ
[ ท่านนักปราชญ์ผมดำจิยูกิ ]
ทันใดนั้นฉันก็ถูกเรียกด้วยเสียงเบาๆ ขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
เมื่อหันหลังกลับไปก็ผมกับชายที่อยู่แผนกต้อนรับ
[ มีอะไรคะ? ]
เพราะในห้องสมุดส่งเสียงดังไม่ได้ฉันจึงพูดออกไปด้วยเสียงเบาๆ
[ ที่จริงแล้ว ท่านทาราบอส รองประธานอยากจะพบกับท่านนะครับ… พอมีเวลารึเปล่าครับ? ]
พนักงานต้อนรับขอโทษฉัน
[ รองประธาน? ]
[ ครับ รองประธานของสมาคมผู้ใช้เวทครับ ]
พนักงานต้อนรับพยักหน้า
ฉันไม่เคยเจอกับเทราบอสหรอกนะ แต่เขาก็มีฐานะเป็นถึงรองประธานดังนั้นคงเป็นคนใหญ่คนโตล่ะนะ ช่วยไม่ได้ไปพบเขาหน่อยแล้วกัน
ฉันถูกพนักงานต้อนรับนำทางไปยังห้องหนึ่งในห้องสมุด
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เจอกับชายร่างเล็กอยู่ตรงกลางห้องนั้น ดูแล้วอายุน่าจะประมาณ 50 เขายิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบพ่อค้ามากกว่าที่จะเป็นผู้ใช้เวท ไม่รู้สึกเลยว่าเขาจะเป็นผู้ใช้เวทน่ะ
[ ท่านจิยูกิครับ ท่านนี้คือรองประธานสมาคม เทราบอสครับ ]
พนักงานต้อนรับแนะนำชายร่างเล็กคนนั้น
[ อืมม ท่านคือนักปราชญ์ผมดำ ท่านจิยูกิสินะครับ สวยยิ่งกว่าข่าวลืออีกนะครับ ]
ชายร่างผอมวางมือที่หน้าอกจากนั้นก็ก้มหัวลง ดูจากท่าทางแล้วเขาเป็นคนถูกฝึกเรื่องมารยาทมาระดับหนึ่งเลย
[ ฉันชื่อจิยูกิค่ะ มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะท่านรองประธานสมาคมเทราบอส? ]
ฉันเองก็ก้มหัวขณะที่แนะนำตัวเช่นกัน ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากไปอ่านหนังสือต่อเพราะมีเรื่องต้องตรวจสอบน่ะนะ ดังนั้นอยากให้รีบบอกธุระมาให้เร็วดีกว่า
[ ขอโทษด้วยที่ข้ามารบกวนท่านตอนกำลังยุ่ง พอดีข้ามีเรื่องจะถามท่านจิยูกิ จริงๆ แล้วข้าเองก็อยากไปขอร้องท่านผู้กล้าด้วยตัวเองอยู่หรอก ]
เทราบอสพูดขอโทษ
[ เรื่องจะขอร้อง? ]
ถึงจะไม่รู้ว่าเขาจะขอร้องเรื่องอะไร แต่ในฐานะที่เขาเป็นรองประธานสมาคมจะฟังหน่อยก็แล้วกัน
◆ นักปราชญ์ผมดำ จิยูกิ
[ ถ้างั้นไว้ฉันจะบอกให้แล้วกันนะคะ ]
หลังจากตรวจสอบเสร็จ ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปที่ลีนาเรียแล้ว แต่การจะกลับนั้นง่ายนิดเดียวเพราะเตรียมเวทมนตร์ไว้แล้ว
จากนั้นฉันก็กลับมารวมกลุ่มกับทุกคน
[ มีสามวิธีที่จะควบคุมคนได้ เวทควบคุม เวทลบความจำ และเวทเสน่หา ก่อนอื่นก็เวทมนตร์ควบคุม มันเป็นเวทสำหรับใช้ควบคุมคนตามชื่อนั้นล่ะ แต่ปัญหาคือการใช้เวทนี้จะลดสติสัมปชัญญะของเป้าหมาย ]
เวทมนตร์ควบคุมใช้เพื่อนควบคุมวัตถุเหมือนหุ่นยนต์ โดยที่พลังและความรู้ในตัวจะไม่เปลี่ยนไป แต่ก็ทำอะไรได้ไม่คล่องนัก เพราะบางครั้งเป้าหมายก็จะไม่ขยับตัวเลย หากไม่สั่งแบบทีละรายการ
ฉันเคยใช้มันกับก็อบลินมาก่อนแต่มันไม่ยอมขยับเลยเว้นเสียแต่ฉันจะสั่ง ดังนั้นเลยใช้ทำงานละเอียดๆ ไม่ได้
แล้วทางเขาล่ะ?
[ เวทมนตร์นี้จะทำให้เป้าหมายกลายเป็นพวกงี่เง่าเลยไม่ใช่เหรอ? มันน่าจะใช้ควบคุมยากนี่นา? ]
ฉันหยักหน้าให้กับคำพูดของริโนะ
[ แต่ฉันคิดว่ามันต่างกันนะ ]
[ ฉันเองก็คิดแบบนั้น ]
ฉันพยักหน้าให้นาโอะและพูดต่อ
[ ต่อไปก็เวทมนตร์ควบคุมความทรงจำ หากใช้เวทมนตร์นี้เขียนความทรงจำขึ้นมาใหม่ ทำให้ความทรงจำของเขาสับสนและยอมเชื่อฟังคำสั่ง แต่เวทมนตร์นี้การจะเขียนความทรงจำใหม่ที่ขัดกับความทรงจำเดิมนั้นเป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดพยายามฝืนบางทีอาจจะทำให้จิตใจของเขาแตกสลายได้เลย ]
จากที่ชิโรเนะเล่า ดูเหมือนตอนที่อยู่ญี่ปุ่นเขาเองก็ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ดังนั้นการที่จะปลูกฝังความทรงจำให้เชื่อฟังราชาปีศาจดูจะยาก
ดังนั้นทางที่เร็วกว่าคือลบความทรงจำทั้งหมด สภาพเขาก็จะเหมือนเด็กแรกเกิดเลยก็ว่าได้ คงเป็นปัญหามากทีเดียว
[ เพราะนี้เป็นเวทที่ทรงพลังมาก แต่ขนาดความทรงจำของคนบนโลกนี้ยังจัดการได้ยากเลย ไม่ต้องพูดถึงหรอกนะ ว่าหากเป็นความทรงจำของคนต่างโลกมันจะยากขนาดไหน ]
เทื่อฉันพูดจบ ทุกคนก็มีใบหน้าราวกับกำลังคิดอยู่
หากเป็นเวทมนตร์นี้ ความทรงจำที่ถูกหายไปจากการถูกเขียนทับจะไม่มีทางกลับมาได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติแม้จะกลับไปที่โลกเดิมก็ตาม มันเหมือนๆ กับตายไปแล้วนั้นล่ะ
ชิโรเนะจึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ขอภาวนาว่าเขาจะไม่โดนเวทมนตร์นี้ก็แล้วกัน ฉันพูดต่อไปอีก
[ แล้วเวทมนตร์สุดท้าย ถ้าเป็นเวทมนตร์นี้ริโนะอาจจะมีข้อมูลมากว่าใช่มั้ย? ]
ฉันมองไปทางริโนะ
ริโนะสามารถใช้เวทสปิริตที่มีผลทำให้นอนหลับ สับสน และหลงเสน่ห์ได้ ดังนั้นเธอน่าจะเชี่ยวชาญเรื่องการใช้เวทนี้
[ ถ้าจะให้ผลออกมาดีเวทนี้เหมาะจะใช้กับก็อบลินหรือออร์คมากกว่านะ ]
ริโนะพูดอย่างมีความสุข
เวทเสน่ห์หาเป็นเวทที่ทำให้เป้าหมายตกหลุมรักได้
และเพราะมันเป็นความสมัครใจของเป้าหมายเองดังนั้นถึงแม้จะไม่มีคำสั่งอะไรก็ยังสามารถควบคุมได้ เพียงแต่การมันเป็นการทำตามความสมัครใจดังนั้นจึงสั่งไม่ได้ซะทุกอย่าง
[ แต่เวทมนตร์นี้มันใช้งานไม่ได้กับปีศาจรึเปล่าคะ? ]
[ อย่างที่คุณซาโฮโกะพูดค่ะ มันใช้ได้ผลกับเซนทอร์แต่ใช้ไม่ได้กับฮาร์ปี้มันเพราะอะไรเหรอคะ? ]
[ บางทีมันอาจจะใช้ได้เฉพาะกับเพศตรงข้ามเท่านั้น นี่คงเป็นจุดอ่อนของเวทมนตร์นี้ ]
ถึงมันจะเป็นเวทมนตร์ที่ทรงประสิทธิ์ภาพหากใช้ถูกประเพศ
แต่ก็แล้วแต่ความชอบของเป้าหมายด้วย ถ้าไม่งั้นผลของมันจะทำให้กลายเป็นมิตรเท่านั้น
เป็นเวทมนตร์ที่ไม่แน่นอนเลยนะ
[ แต่ถ้าเขาโดนราชาปีศาจควบคุมด้วยเวทนี้ แต่จะทำได้ยังไง? ]
เมื่อลองนึกถึงคำพูดของนาโอะแล้ว เขาน่าจะถูกเวทเสน่ห์หาควบคุมอยู่….
[ บางทีเพื่อนสมัยเด็กของชิโรเนะคงจะโดนเวทเสน่ห์ของใครสักคนในปราสาทราชาปีศาจ เลยกลายเป็นพวกเดียวกันรึเปล่า… ? ]
[ ถ้าจะควบคุมเขาก็คงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นล่ะนะ… ]
ฉันพยักหน้าให้คำพูดของเรย์จิ
[ อืมม… แปลว่าตอนนี้เขากำลังตกหลุมรักอยู่เหรอคะ… ]
ทันใดนั้นคายะก็พูดขึ้น เสียงของเธอดูเสียงกว่าปกติ
[ เอ่อ… คือว่า… ถ้านึกภาพเขากับราชาปีศาจกำลัง… ]
ริโนะพูดขระที่ขบคิด ทุกคนได้เห็นภาพของราชาปีศาจมาแล้ว เขามีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์และน่าเกลียดมากเลยล่ะ
ดังนั้นทุกคนเลยคิดว่าเขาน่าจะตกหลุมรักปีศาจมากกว่า
แค่เห็นภาพปีศาจตัวใหญ่ยักษ์กอดกันกับเขาในสภาพเปลือยเปล่า ก็แทบอยากอ้วกแล้ว
[ น่าขนลุก … ]
[ ไม่น่าดูเลยค่ะ… ]
ริโนะกับเคียวกะหน้าแข็งไปแล้ว
[ ฮาฮาฮา… พอนึกภาพหมอนั้นพลอดรักกับราชาปีศาจแล้วมัน!!! โอ้ย ขำชะมัด!! ]
เรย์จิหัวเราะออกมา แต่เบาเสียงลงหน่อยสิ
[ เดี๋ยวเถอะเรย์คุง… ]
ซาโฮโกะดูจะโกรธมาก เธอมองไปทางชิโรเนะก่อนจะหันมาเตือน น่าจะหัดระงับตัวเองไว้หน่อยนะ
[ แต่มันก็น่าตลกจริงๆ แหละค่ะ แต่หากเขาไม่ใช่พวกโฮโมเวทเสน่ห์ของราชาปีศาจก็ไม่น่าจะใช้กับเขาได้ผลนี่คะ? ]
เคียวกะกำลังสงสัย
ใช่แล้ว เวทเสน่ห์ไม่น่าจะได้ผลหากเขาไม่ใช่พวกโฮโม
[ อา… หรือจริงๆ แล้วเขาเป็นพวกโฮโมกันคะ!? ]
[ เดี๋ยวเถอะ! คายะพูดอะไรออกมาน่ะ! ]
[ไม่หรอกค่ะ อาจจะมีคนชอบร่างกายที่เป็นปีศาจอยางราชาปีศาจอยู่ก็ได้นะคะ ]
เคียวกะรู้สึกหวาดกลัวไปกับคำพูดของคายะ
แต่หากเขาเป็นโฮโมอย่างที่คายะบอก ถ้าเขาชอบราชาปีศาจเข้าจริงๆ ก็แปลว่าราชาปีศาจก็เป็นพวกโฮโมด้วยนะสิ
เรย์จิหัวเราะเมื่อได้ยินเสียงที่ฉันพูดออกไป
[ อุ๊บ… งั้นทำไมไม่ไปช่วยกันหน่อยล่ะ…. ยังไงเขาก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กของชิโรเนะ… ฮาฮา ]
เรย์จิพูดขณะที่หัวเราะ
การที่เรย์จิจะออกปากเองว่าจะไปช่วยผู้ชายนี่หายากนะ
บางทีสำหรับเรย์จิ โฮโมไม่ได้ถือเป็นศัตรู นี่คงเป็นเหตุผลที่เขายอมช่วยล่ะมั้ง
[ ท่านเรย์จิ!! ]
จู่ๆ คายะก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมา
[ อะไร… มีอะไรงั้นเหรอคายะ? ]
เรย์จิพยายามใช้เสียงแบบปกติคุยกับคายะ
[ หรอว่าที่ท่านไปช่วยก็เพราะ… ท่านเรย์จิก็มีงานอดิเรกเป็นโฮโมเหมือนกันคะ? ]
[ ครับ!? ]
เรย์จิปล่อยเสียงงี่เง่าออกมา
เท่าที่รู้ เรย์จิไม่เห็นจะแสดงออกว่าเป็นพวกโฮโมเลยนะ
[ คงจะชอบเขาแล้วสินะคะ แน่นอน ก็ใบหน้าเขาดูน่ารักสินะคะ ]
หน้าของคายะไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ดูจะตื่นเต้นกว่าปกติ
น่าแปลก คุณคายะที่ดูสงบคนนั้นเนี่ยนะ
[ อาจจะดีก็ได้นะ ]
ริโนะพูดอย่างดีใจ
[ แน่นอนเอาเลย ]
นาโอะเองก็เห็นด้วยและชูนิ้วโป้ง
[ กระทั่งคุณนาโอะก็… ]
ฉันกุมหัว
แต่หากคิดภาพเรย์จิกับเขากอดกันในสภาพเปลือยเปล่า… อืม ก็เป็นรับได้กว่าราชาปีศาจล่ะนะ
เรย์จิเองก็ดูดีและเพื่อนสมัยเด็กของชิโรเนะคนนั้นก็ดูใช้ได้เหมือนกัน ถ้าได้เห็นพวกเขากลายเป็นคู่รักกันคงจะน่าสนุกดีแฮะ
[ เดี๋ยวๆ ฉันไม่ได้มีงานอดิเรกแบบนั้นสักหน่อย! ]
เรย์จิรีบปฏิเสธ
ถึงจะไม่ดีต่อเรย์จิแต่ถ้าได้เห็นมันก็คงดีไม่น้อยเลยนะ
แต่คงเป็นไปไม่ได้หรอกที่เรย์จิจะเป็นพวกโฮโมน่ะ
[ น่าเบื่อจัง ]
ริโนะทำเสียงผิดหวังกับคำพูดของเรย์จิ คายะดูเหมือนจะผิดหวังมากทีเดียว
[ นี่ ชิโรเนะยังอยู่ตรงหน้าพวกเราน่ะ ]
เรย์จิสะดุดและไม่พูดอะไรอีกเลย
[ เอ่อ… ขอโทษด้วยเรื่องของทุกคน… แต่ฉันคิดว่าเขาชอบผู้หญิงมากกว่านะ เพราะตอนช่วงหน้าร้อนเห็นเขาจ้องหน้าอกฉันใหญ่เลย… ]
ชิโรเนะที่เงียบจนถึงตอนนี้เริ่มเปิดปากพูด
คำพูดนั้นทำให้ริโนะและคายะต่างทำสีหน้าผิดหวังส่งไปทางเรย์จิ
นี่พวกหล่อน…
[ ฉันแกล้งทำเป็นว่าไม่เห็นว่าเขามองอยู่ล่ะนะ และฉันยังเคยไปค้นหนังสือใต้เตียงเขาด้วย
ดังนั้นเขาน่าจะชอบผู้หญิงจริงๆ แน่นอน! ]
ชิโรเนะเน้นเสียง บางทีเธออาจจะอยากปกป้องเพื่อนสมัยเด็กของเธอ แต่นี่หมอนั่นดูจะไม่มีความเป็นส่วนตัวเลยนะ
[ ทางเรื่องนั้นฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะคะ… ]
ซาโฮโกะพูด
แน่นอน ยังไงมันก็ไม่สำคัญหรอก
[ จะว่าไปแล้วคุณจิยูกิไม่ใช่ว่าเวทเสน่ห์จะไม่มีผลหากมีการต้านทานเวทมนตร์นี่ค่ะ เพราะคุณคุโรกิแข็งแกร่งขนาดนั้นก็น่าจะมีพลังต้านทานเวทมนตร์สูงมากเลยนี่คะ? ]
[ นาโอะเคยบอกว่า สำหรับเวทควบคุมหรือเวทเสน่ห์หานั้นจะไม่ได้ผลกับคนที่มีพลังต้านทานสูงเลย ดังนั้นการที่เขายืนรับเวทมนตร์ของฉันได้แปลว่าพลังต้านทานเวทของเขาต้องสูงมากแน่ ]
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะใช้เวทเสน่ห์ใส่เขาได้
[ แล้วพวกนั้นควบคุมเขาได้ยังไงกันนะ? ]
ริโนะพูดขณะที่คิด
[ อาจจะไม่ใช่วิธีธรรมดาทั่วไปก็ได้ แต่เป็นเวทที่ทำให้ตกหลุมรักเหมือนกัน ]
[ ยาเสน่ห์? คงเป็นเจ้านั้นล่ะนะ ]
เรย์จิถาม
[ ยาที่ถูกเรียกว่ายาเสน่ห์ พอฉันไปค้นคำอธิบายจากที่ห้องสมุด ดูเหมือนว่าแม้แต่เทพก็ต่อต้านผลของยาเสน่ห์ไม่ได้เ ]
[ งั้นบางทีคุโรกิคงโดนยาเสน่ห์เข้าไป? ]
ฉันพยักหัวให้กับคำพูดของชิโรเนะ
[ ความจริงเป็นยังไงไม่รู้หรอกนะ แต่ก็มีความเป็นไปได้กว่าวิธีอื่นที่พูดมาจนถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็มีข้อนี้แหละที่ไร้ข้อโต้แย้ง ]
อาจจะมีเรื่องที่ฉันไม่รู้อยู่
มันอาจจะมีวิธีควบคุมโดยไม่ต้องใช้เวทมนตร์อยู่ก็ได้
[ แต่เพราะวิธีแก้เวทมนตร์จะแตกต่างกันไปตามเวทที่โดน ดังนั้นเราต้องรู้ให้ได้ ]
ฉันพูดสรุป จนกว่าจะรู้ว่าโดนเวทแบบไหนเข้าไป ฉันก็ทำอะไรไม่ได้
[ ฉันคิดว่าจะลองไปถามเรน่าดูอีกครั้ง แต่อย่าคาดหวังมากไปล่ะ…. ]
เรน่ารู้เรื่องของไดร์ฮาร์ด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือรู้ว่าเพื่อนสมัยเด็กของชิโรเนะจะไปเอาเขาของราชันย์มังกรศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเธอน่าจะมีเครือข่ายข้อมูลกับทางนากอล คงจะส่งสปายเข้าไปสืบที่นากอลล่ะมั้ง?
แต่พักนี้ก็ไม่ได้เห็นเรน่ามาพักนึงแล้ว ดูเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นที่อาณาจักรร็อกล่ะมั้ง แต่อย่าไปคาดหวังนักดีกว่า
[ เรน่า …. ดูเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างในอาณาจักรร็อก จะเป็นอะไรรึเปล่านะ? ]
เพราะเรย์จิดูจะเป็นห่วงเรน่ามาก ทำให้คนรอบๆ ที่ได้ยินทำหน้าบึ้งตึ้งขึ้นมา
ไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอออกจากภารกิจไปกลางคันและยังไม่อธิบายอะไรให้ฟัง ทุกคนก็ต้องโกรธอยู่แล้ว นอกซะจากเรย์จิคนเดียว
[ มีเรื่องต้องไปถามเรน่าเป็นภูเขาเลยล่ะ… ]
เรื่องที่จะถามก็มีตั้งแต่… เกิดอะไรขึ้นในอาณาจักรร็อก? ชายสวมหน้ากาก? และจำนวนคนที่ถูกอัญเชิญไปฝั่งเดียวกับราชาปีศาจ และผู้ถูกอัญเชิญจากฝั่งเรน่าและฝั่งราชาปีศาจมีความแตกต่างกันตรงไหนบ้าง(พลัง)
ซึ่งดูเหมือนเรน่าจะรู้อยู่แล้วว่าราชาปีศาจสามารถอัญเชิญคนจากโลกของเรามาได้
มันคงจะยุ่งยากไม่น้อยหากราชาปีศาจสามารถอัญเชิญมากี่คนก็ได้
เราเองก็เคยรายงานเรื่องเรื่องที่ราชาปีศาจอัญเชิญคนมาจากโลกเราไปแล้ว แต่กลับไม่ได้เจอเรน่าแต่เป็นเนียร์แทน ซึ่งเนียร์เองก็รู้เรื่องของราชาปีศาจ
และยังบอกเราอีกด้วยว่าด้วยพลังของเทพโอดินทำให้เขาไม่สามารถอัญเชิญใครมาได้อีกแล้ว
เรื่องสำคัญขนาดนั้นทำไมถึงได้ฝากมาบอกแทนซะล่ะ แต่ดูเหมือนเนียร์เองก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรเหมือนกัน
ฉันถึงอยากเจอเรน่าโดยตรงและขอคำอธิบายทีสมเหตุสมผลหน่อย
[ แต่ตอนนี้เรน่าดูเหมือนจะยังมาคุยกับเราไม่ได้ ดังนั้นคงได้แต่รอนี่สิ ]
เรย์จิพยายามปกป้องเรน่า
หลายๆ คนต่างไม่สมอารมณ์เพราะคำพูดของเขา
เรย์จิพยายามจีบเรน่าอยู่ เรื่องนั้นฉันเข้าใจอยู่
[ งั้นถ้าเรน่าไม่ยอมเคลื่อนไหว เราก็ไปที่นากอลเองเลยสิ!! ]
ชิโรเนะพูด
แต่นั่นมันเป็นไปไม่ได้
[ คุณชิโรเนะ นั่นมันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ที่จะเข้าไปนากอลได้โดยไม่มีใครพบและหากโดนพบเข้าก็ต้องสู้กัน อยากสู้กับเขางั้นเหรอคะ? ]
แม้ว่าจะมีอีกแผนคือแอบเข้าไปในนากอลโดยไม่ให้ใครเห็น แต่เพราะเรื่องของนาโอะ ทำให้ฉันไม่อยากให้ชิโรเนะทำเรื่องอันตรายเหมือนกันกับนาโอะ
[ ถึงมันจะน่าอึดอัดใจ… แต่อย่าไปเข้าใกล้นากอลดีกว่า… ]
[ แต่ถ้าเราไม่ไปที่นากอล…. ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมาเลยนะสิค่ะ ]
[ เข้าใจแล้ว เอาล่ะฉันมีความคิดดีๆ แล้ว ]
ดูเหมือนชิโรเนะจะทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ แต่เธอคงอยากเข้าไปใกล้ให้มากที่สุด
[ ถ้าพูดถึงอาณาจักรที่ใกล้กับนากอลก็คือราชอาณาจักรเวรอส ไปที่นั้นกันดีมั้ย? ]
[ นั่นสินะ นั่นเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดแล้วในแถบนั้น ]
[ ไม่มีประเทศที่ใกล้กว่านั้นแล้วเหรอคะ? ]
[ ก็มีประเทศที่ชื่ออัลโกลี่ที่พวกเราเคยไปมาก่อนอยู่หรอก แต่หลังจากนั้นเหมือนจะเกิดการปฏิวัติขึ้น ทำให้ตอนนี้ไม่รู้ว่าประเทศนั้นเป็นยังไงบ้าง ]
ฉันตอบคำถามของริโนะ ก่อนหน้านี้อาณาจักรอัลโกลี่กับพวกเราเคยมีเรื่องกัน ราชาของประเทศนั้นสั่งให้ทหารทำร้ายเรย์จิ แต่จากนั้นเราก็เข้าไปที่นากอลจึงไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรนั้นบ้าง ได้ยินจากข่าวลือว่ามีการปฏิวัติเท่านั้นเอง
[ งั้นทำไมไม่ลองไปดูล่ะ จิยูกิเองก็คาใจอยู่นิดหน่อยไม่ใช่เหรอ? ]
เรย์จิพูด บางทีเขาอาจจะแค่สนใจว่าหลังจากนั้นอาณาจักรอัลโกลี่เปลี่ยนไปยังไงบ้าง
[ ใช่สิ ก็เจ้าหญิงของอาณาจักรนั้นสวยนี่ค่ะ ]
นาโอะพูดแล้วยิ้ม
[ เดี๋ยวสินาโอะ!! ]
เรย์จิทำเสียงตกใจ
[ เรย์คุง… ]
[ คุณเรย์จิ… ]
ใบหน้าของริโนะและซาโฮโกะน่ากลัวมาก
[ เดี๋ยวเถอะเรย์จิคุง… นายเองก็… ]
รู้สึกจะเป็นเจ้าหญิงเรจิน่าล่ะมั้ง ฉันจำได้ว่าเธอก็น่ารักดี เพราะเราอยู่ที่อัลโกลี่แค่ไม่นานทำให้เรย์จิยังไม่ได้แอ้มเธอ
ลืมไปเลยนะเนี่ย ถ้าไม่ได้นาโอะบอกล่ะก็…
พอได้ยินเรื่องของเรจิน่าแล้วก็ไม่อยากให้เรย์จิไปที่อาณาจักรอัลโกลี่แล้วสิ
[ จะว่าไปแล้วท่านจิยูกิ มีเรื่องอะไรที่ซาเรียรึเปล่าคะ? ]
เพราะทำพูดของคายะทำให้ฉันจำได้ ก่อนจะเริ่มประชุมฉันก็กะว่าจะบอกทุกคนก่อนสักหน่อย
แท้ๆ
[ ใช่แล้ว ฉันได้เจอกับประธานสมาคมผู้ใช้เวทที่โรงเรียนซาเรียด้วยสิ ]
ผู้ที่มีตำแหน่งรองประธานสมาคมผู้ใช้เวท มีด้วยกันถึงสามคน เทราบอสคือหนึ่งในนั้น หากพูดถึงสมาคมผู้ใช้เวทละก็อิทธิพลของพวกเขามากซะยิ่งกว่าราชาของอาณาจักรหนึ่งเลยล่ะ และเขาบอว่าอยากจะพบกับเรย์จิโดยตรง
รองประธานเทราบอสกำลังให้คำปรึกษากับหลายๆ อาณาจักร ซึ่งดูเหมือนจะมีการมาขอคำปรึกษาซึ่งจำเป็นต้องได้รับความชวยเหลือจากผู้กล้ามาช่วยในการหารือ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะขอยืมพลังของผู้กล้าด้วย
ฉันบอกเขาเรื่องนี้
[ ฉันเองก็อยากจะช่วยเขาหรอกนะ แต่ทำไมฉันถึงควรต้องไปด้วยล่ะ? ]
ใช่แล้ว ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือโจ็กเกอร์-เพื่อนสมัยเด็กของชิโรเนะ แต่พวกเราไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย ตอนนี้คงได้แต่รอเรน่าที่รวบรวมข้อมูลนากอลเอาไว้
ดังนั้นเราไปจัดการเรื่องที่สมาคมผู้ใช้เวทก่อนก็คงได้
แม้ว่าคำขอร้องของเทราบอสจะไม่ได้ระบุเวลาและวันที่ชัดเจน แต่หากตอบรับช้าก็ไม่ได้ ยิ่งเร็วเท่าไหร่คงยิ่งดี
และหากสานสัมพันธ์กับสมาคมผู้ใช้เวทไว้เราคงสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
ไว้พอไปวิหารเรน่าคอยเรียกเรน่ามาก็ได้ สิทธิ์การเข้าได้ทุกประเทศของทวีปฝั่งตะวันออกและการปฏิบัติดูแลอย่างดี ก็ไม่เลวนี่นะ
เพียงแต่มันก็ไม่มีผลอะไรกับทวีปส่วนตะวันตก บางประเทศก็ไม่ยอมรับให้เข้าเลยหากเป็นผู้อพยพ
ในทวีปนี้มีอิทธิพลของสมาคมผู้ใช้เวทปกครองอยู่เป็นการดีที่จะสานสัมพันธ์ สำหรับตอนนี้เราเองก็ไม่จำเป็นต้องไปที่ทวีปฝั่งตะวันตกด้วยสิ
[ ห้ามไปอัลโกลี่… ]
[ ฉันไปที่อัลโกลี่คนเดียวก็ได้ไม่เป็นไรหรอก ยังไงนี่ก็เป็นความเอาแต่ใจของฉันเอง ทุกคนไปซาเรียกันเถอะนะ ]
เพราะเรย์จิทำให้ทุกคนจะไม่ได้ไปที่อัลโกลี่กับชิโรเนะ
สมาคมผู้ใช้เวทนั้นเดิมทีมีแต่ผู้ชาย เพราะผู้ใช้เวทมากมายส่วนใหญ่มีแม่เป็นเอลฟ์ ดังนั้นคงไม่ต้องกังวล ที่อัลโกลี่มีเรจิน่าดังนั้นจะพาเรย์จิไปไม่ได้เด็ดขาด หากจะเปรียบเทียบชัดเจนก็เรจิน่า-เจ้าหญิง VS เทราบอส-ลุงวัยกลางคน
เพราะนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของชิโรเนะ ดังนั้นฉันคงปล่อยสัตว์ร้าย(เรย์จิ) ไปที่อัลโกลี่ไม่ได้ เพราะมันเสี่ยงเกินไป
[ งั้นพวกเราไปที่ซาเรียก่อนนะ ขอโทษด้วยนะคะคุณชิโรเนะ ]
[ ไม่เป็นไรหรอก ]
ฉันตอบชิโรเนะกลับไป แต่สีหน้าของเธอดูมืดมนอยู่บ้าง สงสัยว่ากำลังเป็นห่วงเพื่อนสมัยเด็กคนนั้นอยู่
หากราชาปีศาจใช้ยาเสน่ห์เพื่อควบคุมเขา มันคงเป็นเรื่องที่แย่สุดๆ
เพราะผลจากยาเสน่ห์คงทำให้เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกและผิด ถ้าเป็นราชาปีศาจคงใช้ให้เขาทำทุกอย่างแน่ๆ เลย
จะเกิดอะไรขึ้นนะถ้าเกิดเจ้าราชาปีศาจน่าเกลียดนั้นอัญเชิญเราไป? นี่เราโชคดีแค่ไหนแล้วที่ถูกเรน่าอัญเชิญมาน่ะ
เพราะเรน่าไม่เห็นว่าจะต้องใช้ยาหรืออะไรเพื่อควบคุมพวกเราเลยสักนิด
น่าโมโหจริงๆ เจ้าราชาปีศาจน่าเกลียดนั้น
◆ เทพธิดาแห่งปัญญาและชัยชนะ
ฉันมองย้อนกลับไปในห้องที่เอลีอัส
แต่ก่อนที่ฉันจะกลับฉันถูกเรียกจากมนุษย์ที่สาธารณรัฐลีนาเรีย
มีคนกำลังเรียกฉัน?
คงจะเป็นเรย์จิ ก็เขาหลงใหลในความงามของฉันนี่นะ
ขณะที่กำลังหลับอยู่ ดูเหมือนจิยูกิจะต้องการพบฉัน แต่ฉันให้เนียร์ออกไปรับหน้าแทนเพราะไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะออกไปคุยกับเธอในสภาพจิตใจแบบนี้
ตอนนี้ฉันเริ่มสงบลงแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่อยากเจอจิยูกิอยู่ดี แต่สักวันก็คงต้องไปเจอสินะ
ฉันจะพูดอะไรกับเธอดีนะ
บอกให้เรย์จิไปโจมตีนากอล? แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างกัน ถ้าปาร์ตี้ของเรย์จิไปถ้านากอ เขาคงบาดเจ็บกลับมาอีกแน่
ในมือของฉันมีภาพเล็กๆ อยู่
ในภาพนั้นมีเด็กหนุ่มอยู่คนหนึ่ง
[ คุโรกิ… ]
ฉันถอนหายใจขณะที่มองเด็กหนุ่มในภาพ
พักนี้ฉันเองก็ฝันถึงเขา ซึ่งคือฝันของคุนะ
แทนที่ของโมน่า ความฝันของฉันได้ถูกมองผ่านทิวทัศน์ของเทพธิดาคนใหม่ที่ชื่อคุนะแทน
ฉันเองก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงมองเห็น แต่บางทีคงมีแค่ฝ่ายฉันที่รับรู้
แต่ถึงมันจะเป็นเรื่องผิดพลาดแต่ก็น่าพอใจ เพราะฉันไม่ได้เห็นเจ้าโมเดสน่าเกลียดอีกแล้ว
ในความฝันนั้นมีเพียงคุโรกิเท่านั้น ถ้าได้ฝันเห็นคุโรกิจะกี่ครั้งๆ ก็อยากเห็น ทุกวันฉันเฝ้ารอถึงเวลาเข้านอนทุกวัน
ฉันไม่ต้องสนใจเจ้าโมเดสอีกแล้ว ดังนั้นสำหรับฉันพวกเรย์จิก็ไม่จำเป็นแล้ว
[ อุฟุฟุฟุ ]
ฉันหัวเราะออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
[ เอ่อ… ท่านเรย์น่า ]
มีเสียงคนจากด้านหลัง ฉันรีบซ่อนภาพที่อยู่ในมือทันที
[ นะ เนียร์! เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่! ]
ข้างหลังฉันคือเนียร์ นางฟ้าที่เป็นลูกน้องของฉัน
[ เอ่อ… ฉันเรียกท่านหลายครั้งแล้วนะคะ แต่ท่านไม่ตอบกลับมาเลย… ดังนั้น ]
เนียร์พูดโดยมีสีหน้าลำบากใจ
[ อ่ะ อา ไม่เป็นไร ขอโทษด้วย… มีอะไรล่ะเนียร์!? ]
นี่เธอคงยังไม่เห็นภาพนั้นหรอกใช่มั้ย?
[ ค่ะ มันถึงเวลาที่จะไปพบท่านโอดินแล้ว ฉันเลยมาเรียกค่ะ… ]
[ อ่ะ จริงด้วย… จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ ]
เรื่องอะไรกันนะ? น่าเดี๋ยวไปก็เข้าใจเอง
[ ค่ะ ถ้าเช่นนั้นขอตัวก่อนนะคะ ]
จากนั้นเธอก็ออกจากห้องไป
ต้องออกไปข้างนอกสิน้า
ฉันรีบสวมชุดชั้นในและเตรียมตัวออกไปข้างนอกทันที