อัศวินดำ - ตอนที่ 44
◆ เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรอัลโกลี่ เรจิน่า
ฉะ ฉันควรทำยังไงดี….
ฉันมองไปที่ตรงหน้า
โอมิรอสกำลังบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าฉัน
แต่ฉันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลย
ขืนเป็นแบบนี้โอมิรอสต้องถูกโกสุฆ่าแน่
แม้จะเรียกให้คนมาช่วยแต่ข้างล่างก็มีก็อบลินอยู่เต็มไปหมด
[ นายท่าน…. ]
ตอนนี้นายท่านดูเหมือนจะกำลังต่อสู้กับสหายของน้องสาวผู้กล้าจึงไม่สามารถมาช่วยฉันได้
เมื่อฉันคิดถึงเรื่องนั้นก็อยากร้องไห้
ฉันจับดาบเอาไว้
ฉันจำได้ดีวันนั้นที่นายท่านให้ดาบเล่มนี้มา
ดาบเล่มนี้คือสิ่งที่นายท่านสั่งให้ฉันใช้ปกป้องตัวเองเพราะฉันต้องออกมาจากนากอลมาที่โลกมนุษย์
ดาบเล่มนี้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของนายท่าน
นากอลไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ นอกเหนือจากนายท่าน เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั้นเห็นฉันเป็นตัวเกะกะไม่ก็พวกขออาหารกิน
แต่เพราะพวกเขากลัวนายท่านจึงไม่กล้าทำอะไรพวกเรา
นายท่านเองก็บอกว่าพวกเราอยู่ที่นากอลตลอดไปไม่ได้
ดาบเล่มนี้มีไว้เพื่อให้ฉันใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้ขณะที่ไม่มีนายท่าน
แต่คนอย่างฉันจะทำได้เหรอ?
ฉันอยากอยู่กับนายท่าน ฉันฝันมาตลอด ฝันถึงวันนั้นที่ผู้คนเข่นฆ่ากัน วันที่ฉันต้องหลบหนีจากก็อบลิน ดังนั้นฉันถึงได้กลัวโลกมนุษย์และนากอล
ข้างๆ นายท่านคือที่เดียวที่ฉันจะพักผ่อนจิตใจได้ หากปราศจากนายท่านตัวฉันก็เหมือนคนไร้ค่า
ตอนนี้ฉันถึงได้ทั้งกลัวและตัวสั่นไปหมด
สองคนตรงหน้ากำลังต่อสู้กัน
ฉันเห็นการเคลื่อนไหวของโอมิรอสค่อยๆ ช้าลงเรื่อยๆ
โอมิรอสโจมตีแต่โกสุก็รับมันไว้ด้วยโล่
ด้วยแรงผลักจากโล่ของโกสุทำให้ดาบของโอมิรอสหล่นจากมือ โอมิรอสรีบร้อนพยายามหยิบดาบ
โกสุไม่พลาดจังหวะนั้นแน่นอน
[ อั๊กกก~ ]
โอมิรอสที่ล้มลงโดนโกสุเตะเข้าไป
โกสุเดินข้างและเอาโล่ออกจากมือของโอมิรอส
[ อ๊ะ!!! ]
โอมิรอสส่งเสียง
[ แค่นี้เจ้าก็จบแล้วเจ้าชาย!! ]
ในตอนนั้นเองที่โกสุกำลังจะฟันโอมิรอส
ในตอนนั้นเอง…
[ อย่านะ— ]
ฉันพูดออกไป
โอมิรอสและโกสุเองก็ได้ยินเสียงนั้น
พอฉันรู้สึกตัวก็เป็นตอนที่ฉันมากันดาบไว้แล้ว
ฉันอยากช่วยโอมิรอส ฉันไม่อยากให้โอมิรอสตาย ความคิดนั้นได้ส่งมาที่ตัวฉันทำให้ร่างกายของฉันขยับไปเอง
โอมิรอสเข้าไปในรังก็อบลินก็เพื่อช่วยฉันเพราะเขาเป็นห่วงฉันและเขายังพยายามพาฉันไปที่นากอลด้วย ฉันจะเสียโอมิรอสไปไม่ได้เด็ดขาด
โกสุจับจ้องมาที่ฉัน ร่างกายของฉันสั่นไปหมด
[ ถะ ถอยไปให้ห่างโอมิรอสนะ…. คะ คะ คู่ต่อสู้ของนายคือฉัน!! ]
มือของฉันสั่นไปหมด หัวฉันขาวโพลนไปหมด แต่ฉันต้องสู้
[ เฮ้ คงไม่คิดว่าจะเอาชนะข้าด้วยดาบเล่มเล็กๆ นั้นหรอกนะ ถ้ายอมวางดาบลงดีๆ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ็บ นอกจากจะเป็นเรื่องบนเตียงน่ะนะ ]
โกสุมองฉันแล้วเลียริมฝีปาก
[ ไม่ได้นะเรจิน่า…. ]
โอมิรอสพยายามห้ามฉันด้วยเสียงอันอ่อนแรง
[ ไอ้คนอ่อนแอน่ะเงียบปากไปซะ! ]
คราวนี้โกสุเดินไปแล้วเตะที่หน้าอกโอมิรอส
[ อุ๊ก!! ]
อย่ามาทำร้ายโอมิรอสนะ
[ หยุดนะ ฉันยอม… ทำทุกอย่าง… ]
ฉันก้มหัวขอร้องโกสุ
[ งั้นเหรอ ยอมทำทุกอย่างเหรอ ]
เสียงมีความสุขของโกสุ
[ งั้นก่อนอื่นก็โยนดาบเล่มนั้นลงไปซะ! ไม่งั้นข้าจะฆ่าโอมิรอส! ]
โกสุบอกขณะที่มองมาที่ดาบ
แต่ฉันไม่มีทางโยนดาบที่นายท่านให้มาได้หรอก
[ ได้โปรดล่ะ… ขอแค่เรื่องนี้ ]
ฉันพยายามขอร้องโกสุ
[ งั้นข้าจะฆ่ามัน ]
โกสุกำลังจะใช้ดาบแทงโอมิรอสอีกครั้ง
[ เดี๋ยว!!…. เข้าใจแล้ว… ]
ฉันโยนดาบลงไปข้างล่าง
[ เป็นเด็กดีมากเรจิน่า ]
จากนั้นโกสุก็ถอยออกมาจากตัวของโอมิรอส
โอมิรอสพยายามลุกขึ้นและดันตัวเองขึ้น แต่ก็ถูกโกสุเตะอีกครั้ง
โอมิรอสกระเด็นไปชนกับกำแพงและแสดงสีหน้าเจ็บปวด
[ อ้าว กระเด็นไปโน้นซะแล้ว ]
[ โอมิรอส!! ]
ฉันพยายามวิ่งไปหาโอมิรอส
[ โอ๊ะโอ้!! ]
แต่โกสุพยายามก็ทำให้เขาสลบไป
จากนั้นโกสุเขาจับแขนของฉันเอาไว้
[ เรจิน่า ในที่สุดก็จับได้สักที… เอาล่ะ คราวนี้ข้าจะทำมันต่อหน้าโอมิรอสซะเลย !! ]
จากนั้นโกสุก็ถอดกางเกงออก
[ ไม่นะ ช่วยด้วย… นายท่าน—!!! ]
ฉันหลับตาและเรียกหานายท่าน
ฟิ๊ว
ในเวลานั้นฉันเห็นเสียงที่ผ่านไปราวกับสายลม
[ อ๊ากกกก!! ]
ทันใดนั้นโกสุก็ร้องออกมาและถอยห่างจากตัวฉัน
[ อะไรกัน… มันอะไรกัน… อะไรกันแน่… ]
ฉันลืมตาขึ้นมาก็เห็นดาบที่ฉันควรจะโยนทิ้งไปแล้ว กำลังเสียบก้นของโกสุที่เปลือยครึ่งท่อนอยู่
โกสุกระโดดและร้องตะโกน เพราะอยู่ในระหว่างถอดกางเกง ครึ่งล่างของเขาเลยโผล่ออกมาด้วย พอดูเขาโดดขณะที่มีดาบเสียบก้นมันก็ดูตลกดี
เมื่อได้จังหวะฉันจึงรีบวิ่งไปหาโอมิรอส
[ ตอนนี้ล่ะโอมิรอส! ]
ฉันพยายามทำให้โอมิรอสฟื้น
[ ใช่… เรจิน่า… นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นนะ…? ]
โอมิรอสลุกขึ้นขณะที่ยังงงงวย
ถึงโอมิรอสจะถามมา ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าดาบที่นายท่านให้และโยนทิ้งไปแล้วกำลังเสียบก้นโกสุอยู่เท่านั้นเอง
[ มันบ้าอะไรฟะ!? ไอ้ดาบเล่มนี้—!!? ]
โกสุพยายามดึงดาบที่เสียบอยู่ในก้น เมื่อโกสุเอาดาบออกมาได้ ตัวดาบก็ดันเข้าใส่หน้าอกโกสุอีก
[ กึ๊กกก!! ]
แต่เพราะโกสุใช้แรงดันไว้ทำให้ดาบนั้นเจาะไม่ทะลุหน้าอกเขา
เห็นได้ชัดเลยว่าดาบมันขยับเองและดูเหมือนจะพยายามฟันใส่โกสุ
มันช่วยฉันเอาไว้
[ เขากำลังทำอะไรอยู่นะ…. ไม่เข้าใจเลย? ]
โอมิรอสมองโกสุด้วยสายตาแปลกประหลาด
ร่างกายส่วนล่างของเขาที่เปลือยเปล่าทั้งยังพยายามใช้แรงผลักไม่ให้ดาบนั้นแทงตัวเองอยู่ หากมองจากมุมมองคนดู มันจะดูงี่เง่ามากเลยล่ะ โอมิรอสเลยสงสัยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่
พวกเรายืนดูสภาพงี่เง่าของโกสุ
จากนั้นก็มีเสียงคนปีนขึ้นมาจากบันได มีใครบางคนกำลังขึ้นมา โอมิรอสคิดว่าอาจจะเป็นก็อบลินก็ได้จึงได้ระวัง
[ ขอโทษด้วยนะที่ข้ามาช้า ]
พวกเราตกใจมากที่เห็นคนที่ปีนขึ้นมา
[ คุณ…. มนุษย์หมาป่า? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ]
โอมิรอสมองไปที่ชายที่ปีนขึ้นมา ฉันเองก็รู้จักมนุษย์หมาป่าคนนั้นเพราะเขาเดินทางมาที่อัลโกลี่พร้อมกับพวกเรา
ทำไมมนุษย์หมาป่าถึงมาอยู่ที่นี่? ทั้งยังถูกปลดโซ่ออกแล้วด้วย
และเมื่อลองมองดูดีๆ ข้างหลังของมนุษย์หมาป่ามีใครสักคนอยู่ด้วย
[ ฮะ… เฮนเรีย? ]
โอมิรอสเรียกชื่อของเด็กสาวที่มนุษย์หมาป่าอุ้มอยู่ ด้วยเหตุผลอะไรสักอย่างเฮนเรียจึงอยู่บนหลังของมนุษย์หมาป่าคนนั้น
[ น่าจะช้าลงกว่านี้อีกหน่อยนะคะ! ]
เฮนเรียโดดลงจากหลังแล้วบ่นขึ้น
[ มันช่วยไม่ได้นี่! ถ้าเด็กสาวคนนั้นถูกฆ่า ข้าเองก็ต้องถูกนายท่านผู้น่ากลัวฆ่านะสิ! ]
[ เอ๊ะ? นี่เขาเป็นมิตรงั้นเหรอเฮนเรียคะ? ]
[ เพราะคุณนั้นแหละค่ะ…. ]
พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนิทสนม
[ เฮนเรียนี่มันเรื่องอะไร… ? ]
[เอ๊ะ พี่โอมิรอส! บาดเจ็บเหรอคะ? ไม่เป็นไรใช่มั้ย? ]
เฮนเรียรีบวิ่งเข้าไปหาโอมิรอส
[ ไม่เป็นไรหรอกเฮนเรีย… ยังไงก็เถอะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่มากกว่า? ]
โอมิรอสตอบขณะที่หัวเราะเพื่อไม่ให้เฮนเรียกังวลแต่สีหน้าก็ยังบ่งบอกว่าเจ็บมาก
[ หนูถูกคุณมนุษย์หมาป่าช่วยไว้นะ! ที่จริงก็ไม่ได้สนใจเรื่องเรจิน่าหรอกนะ! ก็แค่ถูกคุณมนุษย์หมาป่าอุ้มมาที่นี่เท่านั้นเอง ]
เฮนเรียซ่อนอยู่ข้างหลังโอมิรอสแล้วพูดออกมา
ฉันและโอมิรอสจึงมองไปที่มนุษย์หมาป่า
[ อา พอดีข้าได้รับคำสั่งให้ปกป้องเจ้า…. ข้าจึงตามกลิ่นจนมาถึงที่นี่ ]
มนุษย์หมาป่าพูดขณะที่หัวเราะ
[ ปกป้องฉัน? ]
ฉันเอียงหัว เพราะไม่รู้ว่ามันเรื่องอะไรกัน?
[ แต่ที่มาช้าก็เพราะมีพวกก็อบลินขวางอยู่ตลอดทาง โทษทีนะ… แต่ยังไงเจ้าก็ยังปลอดภัยนี่นะ ฮาฮ่าฮ่า! ]
[ คุณจัดการพวกก็อบลินไปแล้วเหรอ? ]
จะว่าไปแล้วพวกก็อบลินเป็นยังไงกันบ้างนะ?
[ แล้วพวกก็อบลินถูกจัดการไปแล้วเหรอ? ]
โอมิรอสถามมนุษย์หมาป่า
[ เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะนักรบที่คุณนักดนตรีเรียกมาช่วยไล่มันไปหมดแล้ว ]
เฮนเรียเป็นผู้ตอบคำถามให้แทน
และแล้วก็มีสิ่งที่บินมาเหนือหอสังเกตการณ์
นักรบสามคนที่ถือดาบและโล่กลม พวกเขากระโดดขึ้นมาโดยไม่ใช้บันไดเลยด้วยซ้ำ
[ นักรบเขี้ยวมังกร!! ]
ฉันส่งเสียงออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ นั้นคือนักรบที่นายท่านเรียกออกมาที่นากอล
[ หมายถึงนักดนตรี…. นักดนตรีที่ให้โล่นี้แก่ข้าน่ะเหรอ…. นี้เขาเป็นใครกันแน่? ]
โอมิรอสพูดขณะที่จับโล่ นักดนตรีที่เอาโล่ให้โอมิรอสและยังเรียกนักรบเขี้ยวมังกรออกมาได้ ทั้งหมดถูกไขกระจ่างแล้ว ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว!
[ ฮาฮ่าฮ่า ]
ฉันหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
[ เรจิน่า… ?]
โอมิรอสดูแปลกใจที่จู่ๆ ฉันก็หัวเราะขึ้นมา แต่มันตลกดีก็ช่วยไม่ได้นี่นา
รู้หมดแล้ว ทุกอย่างคือฝีมือนายท่านนี่เอง
ฉันมองไปยังโกสุที่กำลังพยายามต่อสู้กับดาบอยู่
ทำไมฉันถึงต้องกลัวเขาด้วยล่ะ? ไม่เห็นจำเป็นต้องกลัวเลย
แม้ว่านายท่านจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่นายท่านเองก็ยังคอยดูแลฉันอยู่เสมอ ดังนั้นฉันไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย
[ ดาบจงมา! ]
ฉันยกมือขึ้นและเรียกดาบ
จากนั้นดาบที่พยายามจะแทงโกสุอยู่ก็ลอยเข้ามาที่มือฉัน
โกสุจ้องเขม็งมาทางฉัน
[ หึ นั่นมันอะไรกันคะเล็กจริงๆ ขนาดผิดกับของนายท่านลิบลับ ]
ฉันมองไปที่ส่วนล่างของโกสุแล้วหัวเราะ
ฉันเคยเข้าไปบ่อน้ำพุร้อนตอนที่นายท่านอยู่ แต่ตอนนั้นเองก็โดนนายคุนะดุน่าดูเลยล่ะนะ
นายท่านน่ะใหญ่กว่าโกสุหลายเท่า
นายท่านน่ะทั้งวิชาดาบ เวทมนตร์และทุกอย่างต่างเหนือกว่าโกสุทั้งนั้น เขาไม่มีทางก้าวข้ามนายท่านไปได้หรอก
แต่ที่เขามาทำร้ายฉันได้ก็เพราะตัวฉันไม่ยอมสู้ ถ้าฉันดึงดาบออกมาแล้วสู้ก็คงเอาชนะโกสุได้ง่ายๆ เพราะดาบเล่มนี้เองก็มีพลังอยู่
เพราะเรื่องราวเมื่อสมัยก่อน ทำให้ฉันกลัวเวลาที่มองไปยังโกสุ
ทำให้ตัวฉันขาดความกล้าและเจ้านั้นยังทำร้ายโอมิรอส
แต่ตอนนี้นายท่านกำลังยิ้มให้ฉันอยู่
ฉันหันดาบไปทางโกสุ
[ เข้ามาเลยโกสุ! ฉันไม่กลัวนายอีกต่อไปแล้ว!! ]
โกสุถอยไปเมื่อฉันหันดาบเข้าหา ความกลัวปรากฏขึ้นบนหน้าของเขา
[ นี่มันบ้าอะไรวะ… บัดซบ… แก… ]
โกสุพล่ามออกมา
[ นี่ พี่โอมิรอส…. คนตรงนั้นใครนะ…. ]
เฮนเรียที่อยู่ข้างๆ โอมิรอสถามขณะที่มองไปยังโกสุ
[ นั่นคือพาซัสไงล่ะ… ที่จริงแล้วเขาใช้เวทเปลี่ยแปลงหน้าตา นั้นล่ะใบหน้าที่แท้จริงของเขา ]
[ โกหกน่า นั่นคือคุณพาซัสงั้นเหรอ… ]
เฮนเรียส่ายหัวราวกับไม่เชื่อ
[ หึ…. อีกฝ่ายนี่อยู่ในสภาพคับขันเลยนะ แต่นี่ก็ถือเป็นชัยชนะแล้วเจ้า(เรจิน่า)แล้วล่ะ ]
มนุษย์หมาป่าพูดขณะที่มองไปยังโกสุ ที่นี่มีทั้งนักรบเขี้ยวมังกร รวมถึงมนุษย์หมาป่าอยู่ด้วย โกสุไม่มีโอกาสชนะอีกแล้ว
[ บัดซบ… ในเมื่อข้าเอาเจ้ามาอยู่ในมือไม่ได้…. ข้าก็จะทำลายทุกสิ่งให้พินาศซะ— !! ]
โกสุพูดขึ้นขณะที่หยิบไหบางอย่างออกมา
[ ที่จริงข้าเองก็คิดจะไม่ใช้มัน… เพราะคิดจะใช้กับหมอนั่น! แต่เพราะพวกแก! เอาล่ะจงออกมาฆ่าและกินผู้คนในอาณาจักรนี้ซะ!! ]
โกสุโยนไหนั้นลงพื้น
[ ก๊าซซซซซซซซ!! ]
ฉันได้ยินเสียงดังร้องขึ้นจากบนฟ้า
เมฆสีดำขนาดใหญ่ก่อตัวจนกลายเป็นรูปร่าง จากนั้นยักษ์ที่มีมือมากมายก็ปรากฏออกมา
[ นั่นมันอะไร…. ]
ฉันส่งเสียงออกไป ใบหน้าของทุกคนต่างถูกย้อมด้วยความกลัว
[ ฮาฮ่าฮ่า! ยักษ์ร้อยมือ เทพผู้ถูกปิดผนึกเอาไว้! ถึงแม้จะเป็นอัศวินดำก็เอาชนะไม่ได้แน่! จงตายซะ! ]
จากนั้นโกสุก็ปีนบันไดนหนีไป เพราะความคิดของพวกเราฟุ้งซ่านกันไปหมดเมื่อเห็นยักษ์ร้อยมือทำให้เขาหนีรอดไปได้
ยักษ์ร้อยมือมองมาที่พวกเรา
[ ชะ ชะ ชนะไม่ได้หรอก! ]
มนุษย์หมาป่าพูดขึ้นด้วยความกลัว
ทุกคนต่างกลัวกันหมดแต่มีเพียงนักรบเขี้ยวมังกรที่ขยับตัวและพุ่งเข้าโจมตีใส่ยักษ์ร้อยมือ แต่การโจมตีก็สร้างไม่ได้แม้แต่รอยขีดข่วน ยักษ์ร้อยมือจับนักรบเขี้ยวมังกรและกินพวกเขา
จากนั้นมือของยักษ์ก็พุ่งเข้ามาหาเรา
[ อันตรายเฮนเรีย! ]
ฉันผลักเฮนเรียออกไป ทำให้แขนนั้นมันมาคว้าตัวฉันไว้แทน
[ ไม่นะ!! ]
ฉันถูกมันยกขึ้นไป
[ เรจิน่า!! ]
โอมิรอสเรียกชื่อฉันแต่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้
ฉันถูกยกขึ้นไปจนถึงระดับปากของยักษ์ร้อยมือ
[ นายท่าน—!!! ]
ฉันตะโกนออกมาขณะที่ปิดตาไว้
จากนั้นจู่ๆ มันก็ปล่อยฉัน
เมื่อฉันเปิดตาขึ้นก็เจอกับชายที่ฉันรักที่สุดในโลก ในชุดเกราะดำ
ฉันกำลังกอดนายท่านบนหลังมังกร
เมื่อมองไปทางยักษ์ร้อยมือก็เห็นมันปลิวไปแล้ว
[ ไม่เป็นไรนะเรจิน่า? ]
นายท่านถามฉัน แต่เพราะนายท่านใส่หมวกเกราะอยู่จึงไม่รู้ว่าเขากำลังทำสีหน้ายังไง แต่คงต้องเป็นห่วงอยู่แน่ๆ
[ ค่ะ ไม่เป็นไรนายท่าน…. แค่นี้ฉันก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว… ]
ฉันไม่กลัวอะไรอีกแล้วเพราะได้กอดนายท่าน
◆ อัศวินดำคุโรกิ
ผมต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
ผมคิดขณะที่มองไปยังเรจิน่าที่กอดอยู่ ต้องหาทางเอามือของเรจิน่าออกไปก่อน ไม่เห็นรึไงว่าตอนนี้สถานการณ์มันกำลังคับขันนะ แต่สถานการณ์ตอนนี้เกินความคาดหมายของผมไปมาก
แต่ตัวผมเองก็ผิดด้วย คงจะไม่เป็นไรหรอกถ้าปล่อยให้เธอกอดไปอีกสักหน่อย
ผมเสียใจมากที่ทำให้เธอกลัวขนาดนี้
เรจิน่ากอดตัวผมไว้แน่น ทำให้ผมรู้ว่าเธอกลัวขนาดไหน เป็นความกลัวที่ไม่ธรรมดาเลยล่ะ แน่นไปแล้ว
ยักษ์ตัวนั้นปลิวไปตามแรงของโกเรียสและอยู่ห่างจากอัลโกลี่เพียงไม่กี่เมตร
ยักษ์ตัวนั้นลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปที่อัลโกลี่อีกครั้ง
[ กุโฮฮฮฮฮ!! ]
พร้อมกับคำราม โกเรียสพ่นลมหายใจไฟใส่มันทำให้แขนของยักษ์หายไปเป็นบางส่วน
นี่มันบ้าบอชัดๆ ผมมองไปที่มัน แขนของยักษ์ที่ขาดไปแล้วฟื้นคืนกลับมาใหม่อีกครั้ง
แขนของมันค่อยๆ กลับมาแต่ดูเหมือนตอนนี้มันจะยังไม่ขยับ การเคลื่อนไหวของยักษ์หยุดลง แต่มันคงจะเคลื่อนไหวอีกครั้งในอีกไม่นานนี้แน่
ผมสั่งให้โกเรียสบินพาเรจิน่าไปหายังที่ที่โอมิรอสอยู่
จะทำอะไรนะเหรอ? ก็ส่งเรจิน่าให้กับโอมิรอสไงล่ะ
[ ไม่เป็นไรนะเรจิน่า ]
เขาพูดขึ้นขณะที่เห็นเรจิน่า จากนั้นเรจิน่าก็ปล่อยตัวผม
[ คุณคือ… ]
โอมิรอสมองมาที่ผม
[ โล่เป็นประโยชน์มั้ยครับเจ้าชาย? ]
ผมพูดอย่างนั้นแล้วถอดหมวกเกราะออก
ฮะฮะ ตกใจอย่างที่คิดไว้ เพราะเขาคงไม่คิดหรอกว่าตัวผมจะเป็นอัศวินดำ
[ นักดนตรีนี่ทั้งหมดเป็นฝีมือคุณเองเหรอครับ…? ]
โอมิรอสดูตกใจกว่าที่คิด แต่เขาหมายถึงอะไรน่ะ?
[ คุณนักดนตรียอดไปเลยค่ะ! และยังขี่มังกรได้ด้วย! ]
สาวน้อยที่อยู่ข้างหลังโอมิรอสพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ ชื่อเฮนเรียรึเปล่านะ? แต่ก็ดีล่ะนะที่เธอไม่เรียกผมว่าลุงอีก…
[ มีอะไรกันงั้นเหรอโอมิรอส? ]
มีใครบางคนกำลังปีนบันไดขึ้นมา ผมจำใบหน้าของคนที่ขึ้นบันไดมาได้ มาคิลเชียสนั้นเอง
[ อ้าว นักดนตรีไม่ใช่เหรอ ว่าแต่ชุดเกราะนั่นมันอะไรกัน?! ]
[ มาคิลเชียส…. ที่จริงแล้วเขาคืออัศวินดำน่ะ ]
[ ห๊ะ…. ว่าไงน๊า—!! ]
เขาตกใจจนอ้าปากค้าง
[ จู่ๆ ก็เสียงดังอะไรกันคะ? ]
จากนั้นน้องสาวของเรย์จิก็ปีนขึ้นมาเป็นคนต่อไป
[ อ้าว คุณคุโรกินี่นา ว่าแต่ได้คุยกับคุณชิโรเนะแล้วเหรอคะ? ]
เธอพูดออกมาอย่างใจเย็น ราวไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ผมก็โล่งใจไปได้นิดหน่อยเพราะนึกว่าเธอจะโกรธเรื่องที่ผมเคยทำร้ายเรย์จิ
[ ทุกคน— !! ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ—?!! ]
คราวนี้คือชิโรเนะที่อุ้มเด็กสาวที่ชื่อคายะมา ดูเหมือนพวกเขาจะเจอกันระหว่างทาง
ท่ามกลางฝูงชน
[ คายะ ไม่เป็นไรนะคะ? ]
เคียวกะมองไปทางคายะ
[ ไม่เป็นไรค่ะคุณหนู ถึงจะง่วงแต่ก็ยังเคลื่อนไหวร่างกายได้อยู่ ]
พอเธอจ้องมองมาทำให้ผมรู้สึกเสียใจอยู่นิดหน่อยนะเนี่ย
[ กุโฮฮฮฮฮ!! ]
ยักษ์คำราม ดูเหมือนมันจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งแล้ว
[นะ นั่นมันอะไรกัน? ]
ชิโรเนะหมายถึงยักษ์นั้นแหละ
[ นั่นคือเทพ… ที่พาซัสเรียกออกมา… เพื่อทำลายอัลโกลี่ครับ ]
ทุกคนที่ไม่รู้ต่างตกใจกับคำพูดของโอมิรอส
จากนั้นโอมิรอสก็อธิบายเรื่องราวให้ทุกคนฟัง
[ เรื่องแบบนั้น… ]
[ พวกเราผิดพลาดซะแล้ว ถ้ารู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะทำเรื่องแบบนี้ ฉันคง— ]
เคียวกะและคายะพยักหน้า
อันที่จริงผมก็ตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่นึกเลยว่าโกสุจะเรียกของแบบนั้นออกมาได้
[ แล้วจากนี้จะเอายังไงดีล่ะ! มันมาทางนี้แล้วนะ! ]
มาคิลเชียสชี้ไปทางยักษ์ร้อยมือที่กำลังเข้ามาใกล้
เมื่อผมสังเกต ก็เห็นคนของอาณาจักรอัลโกลี่มารวมตัวกันที่กำแพงเมืองเพื่อมองยักษ์ร้อยมือใกล้ๆ (ไทยมุง) ดูเหมือนจะยุ่งยากแล้วสิ
[ ถ้าเป็นคุณจะเอาชนะมันได้มั้ยคะ? ]
เคียวกะถามผม
[ แน่นอน ผมคิดว่าชนะได้นะ ]
ผมหยักหน้า จากนั้นก็มองไปทางเรจิน่า
[ แล้วเรจิน่าล่ะว่ายังไง? อยากจะปกป้องอาณาจักรนี้มั้ย? ปกป้องอาณาจักรที่พยายามจะฆ่าเรจิน่าน่ะ ]
ผมถามเรจิน่า ทุกคนต่างมองมายังเรจิน่ากันหมด
เรจิน่าตอบคำถามด้วยการส่ายหัว
[ ไม่ค่ะนายท่าน ตัวฉันเองก็มีความผูกพันธ์กับผู้คนในอาณาจักรอัลโกลี่ มีความทรงจำมากมายในอาณาจักรนี้และฉันไม่อยากให้อาณาจักรนี้ถูกทำลาย รวมถึงโอมิรอสก็ด้วย ดังนั้นได้โปรดช่วยปกป้องอาณาจักรนี้ด้วยเถอะค่ะนายท่าน ]
เรจิน่าก้มหัวขอร้องผม
เป็นคำตอบที่ดี แสดงว่าตัดสินใจแล้วสินะ
[ ได้เลย ผมจะช่วยอาณาจักรนี้เอง ไปกันเถอะโกเรียส! ]
ผมพูดจบจากนั้นก็บินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยโกเรียส
พวกเรามุ่งหน้าตรงเข้าไปหายักษ์ร้อยมือ
ว่าแต่เจ้ายักษ์นี้เป็นตัวอะไรกันนะ? ยักษ์นี้คงเป็นกลุ่มก้อนแห่งความเกลียดชัง ความเกลียดชังที่ไม่มีที่ไปจนเกิดมีเจตจำนงของตัวเองขึ้นมา
ผมไม่รู้หรอกนะว่าตัวตนของเจ้ายักษ์นี้คืออะไรกันแน่ แต่ผมจะตอบสนองตามคำขอร้องของเรจิน่าเอง
[ เปลวไฟสีดำ! ]
ผมใส่เปลวไฟสีดำลงในดาบที่แบกอยู่บนหลังและเพิ่มพลังเวทให้มากขึ้น
[ ฮา!! ]
ผมพลิกตัวกลับแล้วฟันลงไป
ดาบที่มีเปลวไฟสีดำห่อหุ้มเมื่อฟันใส่ยักษ์ร้อยมือแล้ว ตัวมันก็ถูกเผาจนล้มไปกระแทกพื้นจากนั้นก็ส่งเสียงคำราม
ร่างของยักษ์ร้อยมือหายไปพร้อมกับเปลวไฟสีดำ
นี่เป็นวิชาที่ใช้เผด็จศึกได้ในพริบตานี่นะ งั้นผมขอตั้งชื่อมันว่าดาบผ่าความมืด อ๊า ชื่อเท่เหลือหลาย
เอาล่ะ เลิกคิดเรื่องงี่เง่าแล้วกลับไปที่อัลโกลี่ดีกว่า เพราะผมยังมีเรื่องต้องทำอยู่
ก่อนอื่นก็ตองไปยืนยันเรื่องของเรจิน่า
และดูท่าโกสุจะไม่อยู่แล้ว นี่เขาหายไปไหนแล้ว?
ดีล่ะ กลับไปอัลโกลี่กัน
◆ เจ้าชายก็อบลินโกสุ
[ บ้าชัดๆ …. จัดการยักษ์ร้อยมือได้ในพริบตาเนี่ยนะ ]
ยักษ์ร้อยมือควรจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเทพได้เลยนะ ทำไมกัน … ทำไมถึงยังเอาชนะได้
[ ไม่มีประโยชน์… ถึงข้าจะทำยังไงก็ไม่มีวันชนะหมอนั่นได้แน่ ]
ถึงจะน่าเสียดายเรื่องเรจิน่าแต่คงมีแต่ต้องตัดใจ
[ แต่ถ้าได้มาเป็นผู้หญิงของข้ามันจะน่าสนุกเลยแท้ๆ ! ]
ข้าสาปแช่งอยู่ในใจ
ข้ากลับไปที่อัลโกลี่ไม่ได้อีกแล้ว แต่ในโลกมนุษย์มีอาณาจักรอยู่ตั้งมากมาย ข้าคงต้องหนีไปที่อาณาจักรไหนสักแห่ง
[ เจ้าคิดจะหนีไปไหนโกสุ? ]
ข้าหยุดลงเพราะเสียงนั้น นั้นคือเสียงของคนที่ข้าไม่อยากได้ยินมากที่สุด
ขณะที่ข้ามองย้อนกลับไปก็เห็นก็อบลินอยู่มากมาย
[ …. แม่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ]
ไม่มีทางผิดตัวไปได้หรอก ใบหน้าน่าเกลียดนั้นมีเพียงแม่ข้าเท่านั้น เธอล้อมรอบไปด้วยก็อบลินที่ติดอาวุธแบบเต็มที่ ไม่ใช่ก็อบลินเหมือนในทางใต้ แต่เป็นก็อบลินทหารที่ประจำอยู่ที่วังของอาณาจักรคารอน
[ ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่? เจ้าเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอโกสุ เจ้าบังอาจขโมยสิ่งสำคัญที่ข้าเก็บเอาไว้ไป…. ]
ใบหน้าของแม่เต็มไปด้วยความโกรธ
แย่แล้วสิ
ตอนนี้ข้าถูกล้อมอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว
[ โกสุ ข้าจะไม่ให้เจ้าตายง่ายๆ หรอก ข้าจะให้เจ้าทรมานจนถึงขีดสุด… จับตัวมันไว้! ]
เมื่อแม่พูดจบ เชือกก็ลอยจากมาทั่วทุกทิศและจับตัวข้าไว้
เชือกนี้ดูเหมือนจะเป็นเชือกเวทมนตร์ ข้าขยับตัวไม่ได้เลย
นี่ข้าจะต้องกลับไปอยู่ในอาณาจักรก็อบลินมืดๆ นั้นอีกแล้วเหรอ? ไม่เอานะ ข้าไม่อยากไปอยู่ในที่มืดๆ แบบนั้น
[ ไม่นะ ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย— ! ]
ข้าขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครตอบกลับมาเลย
เชือกเริ่มรัดตัวข้าแน่นขึ้นและถูกพวกเขาดึงอย่างไร้ปราณี
[ ไม่เอานะ—!! เรจิน่า—!! ช่วยข้าด้วย—!! ]
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ จากนี้คิดจะทำยังไงต่อเรจิน่า? อยากจะกลับไปอาศัยอยู่ที่โลกมนุษย์ตามเดิมมั้ย? ]
เมื่อผมกลับไปที่อัลโกลี่ ผมก็ถามกับเธอ
พูดตามตรง ผมคิดว่าให้เธออยู่ข้างๆ โอมิรอสยังดีกว่าที่จะกลับไปที่นากอลซะอีก
นากอลไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์จะอาศัยอยู่ได้ พวกปีศาจเองก็ไม่เคยคิดว่าเรจิน่าเป็นพวกเดียวกันและเป็นภาระ ดังนั้นเรจิน่าควรจะกลับไปที่โลกมนุษย์จะดีกว่า
แต่เรจิน่าดูจะกังวลอยู่นิดหน่อย
[ คุณเรจิน่าควรจะอยู่ที่โลกมนุษย์จะดีกว่านะคะ? ]
เคียวกะพยายามบอกให้เรจิน่ากลับมาที่โลกมนุษย์ดีกว่า
[ แต่นายท่าน… ]
เรจิน่ามองมาที่ผมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร บางทีเธอคงรู้สึกว่ายังติดหนี้บุญคุญผมอยู่ เลยไม่อยากออกไปจากนากอลรึเปล่านะ?
แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ที่ผมช่วยเรจิน่าก็เพราะความรู้สึกที่อยากช่วยไม่ได้หวังอะไรจากเธออยู่แล้ว
[ ไม่จำเป็นตัวห่วงหรอกเรจิน่า ไม่ว่าเรจิน่าจะตัดสินใจแบบไหนผมก็จะคอยหนุนหลังให้เอง ]
เมื่อได้ยินคำพูดของผม เธอก็พยักหน้าราวกับตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้แล้ว
[ เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะกลับไปอยู่ที่โลกมนุษย์ ]
นั่นคือสิ่งที่หัวใจของเรจิน่าตัดสินใจ งั้นผมก็คงขอภาวนาให้มีความสุขกับโอมิรอสแล้วกันนะ ฮะฮะ
[ ท่านเคียวกะ ฉันยอมรับข้อเสนอของคุณค่ะ ]
เรจิน่าก้มหัวให้เคียวกะ ผมเอียงคอเมื่อมองไป ดูมันจะต่างจากที่ผมคิดอยู่นิดหน่อยนะ
[ เข้าใจแล้ว งั้นก็ไปสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียกับเราเลยนะ ]
เคียวกะหัวเราะ ชิโรเนะและคายะที่ได้ยินต่างก็พยักหน้า
ไม่เป็นไรเหรอ? ไหงจู่ๆ เรจิน่าถึงได้ไปสาธารณรัฐศักดิ์สิทธิ์ลีนาเรียแทนที่จะเป็นอัลโกลี่ล่ะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วเรื่องของโอมิรอสล่ะ?
[ ขอบคุณมากนะโอมิรอส…. แต่นี่คือการตัดสินใจของฉัน… ถึงฉันจะตอบรับความรู้สึกไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นบางครั้งก็แวะมาที่ลีนาเรียบ้างนะ ]
เรจิน่าพูดกับโอมิรอส ผมทึ่งกับคำพูดนั้น
ผมไม่เข้าใจเลยว่าเรจิน่าตัดสินใจเรื่องใครไว้ในใจแล้ว ถ้าไม่ใช่โอมิรอส แล้วเขาคือใครล่ะ?
และผมก็เพิ่งรู้สึกตัวว่า… ทำไมเรจิน่าต้องไปที่ลีนาเรียแทนที่จะเป็นอัลโกลี่ล่ะ? เหตุผลมีเพียงข้อเดียว
เรย์จิผู้กล้าแห่งแสง ใช่แล้ว… เรย์จิน่าชอบเรย์จินั้นเอง จะว่าไปเธอก็เคยพบกับเขาครั้งนึงเมื่อก่อนนี่นะ
อีกแล้วเรอะ? น่าศร้าอยู่นิดหน่อย แต่ถ้าเรจิน่าอยู่กับเรย์จิ เขาก็คงปกป้องเธอล่ะนะ
[ อืม ไว้จะแวะไปนะ ]
โอมิรอสตอบด้วยเสียงหัวเราะ ดูเหมือนจะไม่มีความเศร้าอยู่เลย
ทั้งที่โอมิรอสน่าจะเศร้าที่ถูกเรย์จิแย่งเรจิน่าไปนี่นา
ผมคิดว่าโอมิรอสคงขอแค่เรจิน่ามีความสุขก็เพียงพอแล้ว
โอมิรอสเป็นคนที่มีความอดทนมาก ไม่เหมือนกับผมที่เอาแต่เศร้าแต่เขากลับคอยให้กำลังใจเรจิน่า
[ นายท่าน ฉันอยากกลับไปที่นากอลเพื่ออธิบายให้ทุกคนฟังก่อนนะคะ… ]
เรจิน่าหันมาทางผมแล้วพูดออกมา
[ อา ได้สิ… ]
เพราะผมสวมหมวกเกราะอยู่ ดังนั้นคงไม่มีใครสังเกตเห็นหน้าผมที่ตกใจอยู่หรอกนะ
แม้จะคิดแบบนั้น แต่ในใจก็ยังไม่มั่นใจ
โอมิรอสน่ะเป็นคนที่สุดยอดจนน่าชื่นชมและยังเป็นคนจริงใจ ที่จริงผมคิดว่าโอมิรอสดีกว่าเรย์จิซะอีกนะ
แต่ในสายตาของเรจิน่าคงจะไม่ใช่สินะ นอกจากนี้ยังเหมือนกรณีของชิโรเนะอีก อ๊า หัวใจของเด็กผู้หญิงนี่เข้าใจยากจริงๆ
[ งั้นไปกันเถอะเรจิน่า… ]
ผมบอกโกเรียสให้ลดความสูงลงเล็กน้อย จากนั้นก็กระโดดจากกำแพงขึ้นไปบนหลังโกเรียส
[ เดี๋ยวก่อนคุโรกิ!! ]
ชิโรเนะเรียกผมเอาไว้
เมื่อมองไปก็เห็นชิโรเนะที่กำลังทำแก้มป่องอยู่
[ เพราะคายะบอกหรอกนะ คราวนี้ฉันจะยอมถอยไปก่อน! แต่คราวหน้าฉันจะต้องพานายกลับมาจากนากอลให้ได้! เตรียมใจไว้เถอะ! ]
ชิโรเนะพูดขณะที่ยังทำแก้มป่องอยู่ ดูเหมือนเด็กสาวที่ชื่อคายะจะไปพูดอะไรสักอย่างกับเธอเข้า
[ เอ่อ… ]
ผมส่งเสียงออไป
[ มีอะไรข้องใจเหรอไงยะ!! ]
ชิโรเนะโกรธเมื่อได้ยินคำพูดของผม
[ เอ่อ … เรจิน่า!! ]
เฮนเรียหยุดเรจิน่าไว้
[ ขอบคุณมากนะที่ช่วยฉันไว้เมื่อกี้! แล้วก็ขอโทษที่ทำท่าทีเย็นชาใส่นะ! ]
เฮนเรียก้มหัวให้เรจิน่า
[ ทางฉันเองก็ด้วยเฮนเรีย! จากนี้ไปก็รักษาตัวด้วยนะ!! ]
เรจิน่ายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่สดใสมาก
[ ไปกันเถอะค่ะนายท่าน! ]
ตามที่เรจิน่าบอก ผมสั่งให้โกเรียสบินไป
โอมิรอสโบกมือให้เรจิน่าและเธอเองก็โบกมือตอบกลับไป
ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ได้ตัดขาดกันซะทีเดียว ผมกลับรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนแน่นแฟ้นขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาจะต้องได้พบกันอีกแน่ ผมคิดแบบนั้น
โกเรียสบินไปและเริ่มมองเห็นอัลโกลี่เล็กลงเรื่อยๆ
[ ลาก่อน บ้านเกิดของฉัน… ]
เรจิน่าพึมพำออกมาด้วยเสียงดูเหมือนจะร้องไห้เล็กน้อยและยิ้มออกมา ดูแล้วเธอกำลังกล่าวลาด้วยความสุข
ผมลูบหัวเรจิน่าจากนั้นเรจิน่าก็มองและยิ้มให้ผม
เราข้ามเทือกเขาอาเครอนมาและเข้าสู่นากอลแล้ว
[ ดูสิเรจิน่า! ท้องฟ้าของนากอลและตัวผมมันมืดมนใช่มั้ยล่ะ? ]
ผมพูดแล้วยิ้ม
[ ไม่หรอกค่ะนายท่าน… นากอลน่ะไม่ได้มืดมน ขอแค่มีนายท่านอยู่ ]
เรจิน่ากอดผมบนหลังของโกเรียส
[ เรจิน่า….? ]
ผมรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่จู่ๆ ก็ถูกกอด
[ มันก็จริงที่นากอลมืดเหมือนท้องฟ้าตอนกลางคืน… แต่เพราะมีนายท่านคอยส่องสว่างให้ฉัน นายท่านเป็นเหมือนดวงดาวยามค่ำคืน…ดังนั้นขอเพียงที่มีนายท่านฉันก็ไม่เคยคิดว่ามันมืดมนเลยค่ะ ]
เรจิน่าจ้องและยิ้มมาให้ผม
มันเป็นคำพูดที่ออกจะน่าอายนะ แต่ยังไงเธอก็ชมผมล่ะนะ
แต่ก็ยังอายอยู่ดีนั้นล่ะ
พวกเราขี่หลังของโกเรียสที่บินไป
แม้ท้องฟ้าของนากอลจะมืดมิด แต่จิตใจราวกลับมีแสงสว่างไสว