อัศวินดำ - ตอนที่ 55
◆ นักปราชญ์ผมดำจิยูกิ
[ คุณนาโอะเป็นยังไงบ้างคะ? ]
[ ไม่ได้ค่ะ… ไม่มีทางหนีเลยค่ะคุณจิยูกิ… หาไม่เจอเลยเนอะรูบี้ ]
นาโอะตอบขณะที่ลูบหัวหนูที่อยู่บนหัวของเธอ
หนูตัวนั้นเชื่องมาก
นาโอะตั้งชื่อมันว่ารูบี้ โดยมาจากชื่อของอัญมณีสีแดงที่มีสีเดียวกับสีของมัน
ดูเหมือนรูบี้จะแสดงท่าทียอมแพ้เหมือนบอกว่าเอาเถอะ มองดูเห็นเป็นอย่างนั้นล่ะนะ
แต่แรกฉันก็ไม่ชอบมันนักหรอก แต่เดี๋ยวนี้ก็ชักจะชินแล้ว
[ งั้น…. แถวนี้ก็ไม่มีอะไรเลยสินะ? ]
นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วนับตั้งแต่เรามาที่นี่
ฉันกับนาโอะออกสำรวจทุกวันเพื่อหาทางหนีจากชั้นใต้ดินชั้นห้า
ที่ชั้นห้ากว้างสุดลูกหูลูกตา
จนเราหาทางออกไม่เจอ
ฉันพยายามขุดอุโมงค์ด้วยเวทสปิริตของริโนะ แต่ดูเหมือนวัสดุที่ใช้ทำเขาวงกตจะพิเศษมากเลยหลุดไม่ได้
เดิมทีข้างในเขาวงกตสปิริตก็ไม่มีพลังอยู่แล้วจึงช่วยไม่ได้
ความสามารถในการตรวจสอบของนาโอะก็ถูกปิดกั้นด้วยบาเรียเวทที่มองไม่เห็น
เคยคิดจะทำลายเขาวงกตนี้ด้วยพลังของเรย์จิกับเวทมนตร์ของฉัน แต่มันก็แข็งแรงมากจนไม่เป็นอะไรเลย
แล้วถึงจะทำลายได้ขึ้นมา คนที่อยู่ข้างในจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
สรุปเลยติดอยู่แบบนี้ล่ะ
ตอนที่เจอวงเวทเคลื่อนย้ายในตอนนั้น ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองถึงได้เข้าไปในนั้นกันนะ
แม้ว่ามาเสียใจทีหลังมันก็ไม่ช่วยอะไร
ลองหาทางออกดีกว่า
[ เอายังไงดีคะคุณจิยูกิ? ]
[ ช่วยไม่ได้นะ เราลองกลับไปที่เมืองก่อนแล้วกัน ]
ฉันกับนาโอะกลับไปที่เมืองอุสึ
ฉันบินด้วยเวทมนตร์ ส่วนนาโอะใช้ปีกที่งอกที่หลังบิน
ปีกของนาโอะไม่ได้มีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนปีกของชิโรเนะ ไม่มีแสงประกายและสีสีฟ้าเล็กน้อย ถ้าเป็นระยะทางตรงล่ะก็ช้ากว่าชิโรเนะอยู่
ขนาดนาโอะยังบอกว่าชิโรเนะขี้โกงเลยล่ะ แต่ฉันว่าปีกของนาโอะก็สวยดีอยู่แล้ว
หลังจากบินมาสักพักเราก็เห็นเมืองอุสึ
เมืองแห่งนี้ไม่มีกำแพงปราสาท
เพราะไม่มีมอนสเตอร์คอยคุกคามมนุษย์จึงไม่มีกำแพง ยังไงนี่ก็เป็นข้างในเขาวงกตชั้นห้าล่ะนะ
เราลงไปที่กลางจตุรัสเมือง
ทันทีที่ลงไปผู้คนที่เดินอยู่ก็ถอยห่างพวกเรากันหมด
ทุกคนกลัวเราและได้แต่มองจากไกลๆ
ไม่มีใครมาพูดคุยกับเราเลย
เหตุผลก็เพราะเราฆ่ามิโนทอร์ที่ปกครองเมืองนี้ไป
คนในเมืองอุสุกลัวว่าพวกมิโนทอร์จะมาเอาคืน จึงพยายามออกห่างจากพวกเรา
การใช้ชีวิตของคนที่นี่ดูเหมือนจะไม่ต่างจากคนที่อยู่ข้างนอกเลย
ทั้งที่เมืองนี้ตั้งอยู่ในเขาวงกตชั้นห้า
ที่ด้านล่างชั้นห้าดูเหมือนจะเป็นเมืองใต้ดินของเหล่ามิโนทอร์
เมืองเขาวงกตของมิโนทอร์ ชาวเมืองของอุสึเรียว่ามันเหล่ามิโนทอร์ว่าเลวิลรินทอร์
เมืองนี้มิโนทอร์ได้สร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์อาศัยอยู่
โดยมีประชากรประมาณ 40,000 คน ทุกคนคือผู้ที่ถูกมิโนทอร์ลักพาตัวมาจากภายนอกไม่ก็ลูกหลาน
พูดให้ถูกก็คือชาวเมืองที่นี่คือทาสของมิโนทอร์… ซึ่งถูกเป็นดั่งปศุสัตว์
โดยพวกเขาจะต้องมีการบูชายัญให้มิโนทอร์
บางคนที่เพิ่งมาใหม่เองก็ต่อต้านเช่นกัน แต่มนุษย์ธรรมดาจะต่อต้านมิโนทอร์ไปก็เท่านั้นจึงทำได้เพียงบูชายัญเท่านั้น
หากไม่ต่อต้านอะไร มนุษย์ธรรมดาก็สามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้
บ้านที่สร้างจากหินและแม่น้ำอันสวยงาม อาคารที่สร้างอาศัยกันอยู่ที่นี่เหมือนกับในสาธารณรัฐอาเรียดิน่าเลยล่ะ
และผลึกคริสตัลขนาดใหญ่ยังสว่างและมืดลงเหมือนการสร้างกลางคืน กลางวัน นอกจากนี้พืชที่นีน่ยังอุดมสมบูรณ์และน้ำใสสะอาด
เนื่องจากพลังเวทในที่ราบมินอนรวมกับพลังของผืนดินอันอุดมสมบูรณ์จึงสามารถทำให้ปลูกพืชต่างๆ ได้
มนุษย์ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขในชั้นห้านี้ หากปิดตาเรื่องบูชายัญที่จะมีแค่บางปีก็ถือว่ามีความสุขกันมาก
บางทีอาจจะมีชีวิตอยู่ดีกินดีกว่าตอนที่อยู่บนพื้นดินซะอีก
อาศัยอยู่ที่นี่มันดีกว่าเมื่อก่อนซะอีก
และไม่มีภัยคุกคามใดๆ ยกเว้นแค่เพียงมิโนทอร์ ทำให้ปลอดภัยกว่าบนดิน
คิดว่านะ ฉันส่ายหัว
ไม่ว่าจะปลอดภัยยังไง แต่ความจริงก็ยังเป็นปศุสัตว์ ฉันยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้
ฉันขอสัญญาว่าจะช่วยผู้คนจากอาณาจักรพิซิเพียร์กลับไปและคนอื่นๆ ก็ด้วย
ผู้คนจากอาณาจักรพิซิเพียร์ที่ถูกพาตัวมานั้น
แต่ไม่ใช่ว่ามิโนทอร์จะพามาทุกคน บางคนก็ถูกฆ่าระหว่างทาง บางคนก็อยู่ในชั้นที่ต่ำกว่าที่นี่
ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีราชินีของพิซิเพียร์ซึ่งเป็นแม่ของยูเลียอยู่ที่ไหนเลย บางทีคงจะยังมีชีวิตอยู่แต่อยู่ที่ชั้นล่าง
ในเมืองนี้มีคนจากอาณาจักรพิซิเพียร์เพียง 3,000 คนเท่านั้น นี่มันน้อยกว่าจำนวนคนที่ถูกลักพาตัวมามากเลยนะ
ฉันเองก็ไม่อยากคิดมากอะไร
แต่ตอนที่ได้เจอกับคนของอาณาจักรพิซีเพียร์ในเมืองนี้ ทุกคนต่างดูมืดมนไปหมด ทำให้ไม่รู้เรื่องอะไรจากพวกเขาเลย
ถึงกระนั้นก็เถอะ คนที่เคยกดขี่พวกก็อบลิน กลับกันมาที่นี่กลับกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของพวกมัน ช่างน่าสนุกดีนะ
ฉันกับนาโอะไปที่วิหารใจกลางเมือง
ที่ประตูวิหารมีสัญลักษณ์ขวานที่มีใบมีดด้านซ้ายและขวา
เป็นตราประทับของเลวิลรุสผู้ชั่วร้าย
และขวานสองคมแบบนี้ยังเป็นอาวุธที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวมิโนทอร์ด้วย
ดูเหมือนขวานนี้จะมีเฉพาะมิโนทอร์ที่เป็นชนชั้นปกครอง
[ คุณจิยูกิ ]
เมื่อฉันกำลังจะเดินเข้าไปในวิหาร
ก็โดนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ยืนอยู่เรียก
เธอเป็นเด็กอายุน่าจะน้อยกว่า 10 ขวบและมีใบหน้าน่ารัก
[ อะไรเหรอ? ]
ฉันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเท่าที่ทำได้
[ เอ่อ… หนูเอาผักกับขนมปังมาให้… ]
สาวน้อยเอามือล้วงเข้าไปในตะกร้าของเธอ
[ อืม ขอบคุณมากนะจ๊ะ ]
เมื่อฉันรับมา สาวน้อยก็ก้มหัวจากนั้นก็วิ่งหนีไป
ถึงคนส่วนใหญ่จะกลัวเรา แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่
อย่างสาวน้อยคนเมื่อกี้
พี่สาวของเธอถูกตัดสินให้เป็นเครื่องบูชายัญหลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน
แต่พวกเรามาและช่วยพี่สาวเธอไว้ได้ทัน
ตั้งแต่นั้นมา เธอจึงเอาอาหารมาให้เรา
ยังมีคนที่คอยสนับสนุนเราอยู่ หากมีคนที่ยังต้องการให้ช่วยอยู่ฉันก็จะช่วย
ฉันไม่เคยคิดจะช่วยเลยหากเป็นก็อบลินที่ถูกกดขี่ แต่หากเป็นมนุษย์แล้วฉันยอมไม่ได้
ฉันกับนาโอะไปที่ด้านหลังวิหาร
ที่ด้านหลังของแท่นบูชามีรูปปั้นขนาดใหญ่กว่า 10 เมตร เป็นรูปปั้นมอนสเตอร์ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์และมีหกแขน
นั่นคือรูปปั้นของเลวิลรุส
มีคนยืนอยู่ด้านหน้ารูปปั้น
เขาคือมิโนทอร์ที่สูงประมาณ 2 เมตร
[ นั่นมันท่านนาโอะกับท่านจิยูกินี่ครับ ยินดีต้อนรับกลับ มอ ]
มิโนทอร์ตัวนั้นมองฉันแล้วก้มหัวลง
[ กลับมาแล้วซูน แล้วพวกเรย์จิล่ะ? ]
มิโนทอร์ตัวนั้นมีชื่อว่าซูน
เขาเป็นหนึ่งในมิโนทอร์ที่ครอบครองเมืองนี้
แต่ว่าซูนนั้นถูกมิโนทอร์ตัวอื่นๆ รังแก
มิโนทอร์กำหนดฐานะกันด้วยความแข็งแกร่ง
ซูนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่เลวิลรินทอร์ซึ่งอยู่ระดับล่างสุด
ตอนที่เรามาถึงเมืองนี้เราได้ต่อสู้กับมิโนทอร์ที่ปกครองเมืองนี้
ในตอนนั้นมีเพียงซูนที่ร้องขอชีวิต ดังนั้นฉันเลยไม่ได้ฆ่าเขา
และริโนะก็ใช้ได้เวทมนตร์เสน่ห์เพื่อรีดข้อมูลแล้ว
ตามที่ซูนบอกที่นี่ไม่มีใครเข้าและออกได้
และซูนยังเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังอีกมากมาย
มิโนทอร์นั้นถูกกำหนดจากความแข็งแกร่ง คนอ่อนแอจึงต้องเชื่อฟังคนที่แข็งแกร่งกว่า
บางทีก็จะฆ่าและกินกันเอง
ดูเหมือนมิโนทอร์จะเป็นพวกกินสายเลือดตัวเอง
แม้แต่ในตำนานของมิโนทอร์ในโลกเดิมของเรามันก็ยังกินมนุษย์ ทั้งๆ ที่ตัวมันเกิดมาจากมนุษย์ผู้หญิงเช่นกัน ในโลกนี้ก็คงเป็นเหมือนกัน
ดูเหมือนซูนจะไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะกินมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่จะเลี้ยงดูมนุษย์ได้ดีเท่านั้น
การจัดการควบคุมคนในอุสึก็ไม่ค่อยดีนักเพราะใช้แต่ความรุนแรงกัน
ถ้าเปรียบตัวเขาก็เหมือนพนักงานของโรงงานบริษัทสีดำล่ะนะ(ให้ค่าแรงถูก) และเศร้ามากที่ได้มาอยู่ตำแหน่งล่างสุดแบบนี้
ดังนั้นการเอาซูนเอาไปเป็นตัวประกันจึงไม่มีประโยชน์
เพราะมิโนทอร์ในชั้นล่าง มันไม่สนใจว่าซูนจะเป็นหรือตายแม้แต่นิดเดียว
[ ขอโทษด้วยท่านจิยูกิ…. วันนี้ข้ายังไม่พบเขาเลยมอ… บางทีอาจจะยังหลับอยู่ก็ได้มอ ]
ซูนพูดด้วยความเสียใจพร้อมเสียงมอๆ มันน่าขนลุกอยู่นะ เพราะเขาเองก็มีใบหน้าเป็นวัว
แล้วจะทำอะไรดีล่ะตอนนี้? ฉันคิดระหว่างที่จะไปกินมื้อเที่ยง
◆ นักปราชญ์ผมดำจิยูกิ
อาหารกลางวันพร้อมแล้วและทุกคนก็มารวมกันที่ห้องอาหารรวมถึงซูน
มีขนมปัง ผักอะไรสักอย่าง และเนยตรงหน้า
สำหรับขนมปังในโลกนี้ปกติแล้วจะเป็นแผ่นบางๆ
เป็นขนมปังธรรมดาๆ ที่ทำจากธัญพืช น้ำ แต่ไม่มียีสต์
ที่นี่ไม่มียีสต์กัน ความจริงที่ลีนาเรียมีขนมปังที่ใช้ยีสต์ขายอยู่นะ
การกินขนมปังนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเก็บรักษาได้และยังใช้เชื้อเพลิงน้อย
ซึ่งปกติจะกินคู่กับผักไม่ก็เนื้อสัตว์
แม้แต่ในโลกเดิมของเราการกินอะไรสักอย่างคู่กับขนมปังก็เป็นที่นิยมเหมือนกัน
ฉันทาเนยแข็งและผักลงบนขนมปัง
เนยนี้ได้มาจากนมแพะที่เลี้ยงในชั้นห้า
และที่ชั้นห้ายังมีเกลือที่หาจากได้หินเกลืออยู่ด้วย เรื่องเกลือจึงไม่มีปัญหา แต่ฉันไม่รู้ว่าน้ำมาจากไหนนี่สิ
ดังนั้นถึงแม้จะต้องอยู่ที่นี่ตลอดชีวิต คนธรรมดาถึงไม่ได้เดือดร้อนอะไร
[ ไม่เลย มันไม่มีช่องโหว่ที่ไหนเลย ]
ขณะที่กำลังกินอาหารกลางวัน ฉันรายงานทุกคนถึงผลการสำรวจของฉันกับนาโอะ
[ เช่นนั้นเหรอคะ? ขอโทษด้วยนะจิยูจิ ทำยังไงดีล่ะค๊าท่านเรย์จิ~ ]
ยูเลียพูดกับเรย์จิขณะที่อ้อน
ริโนะกับนาโอะมองด้วยสายตาอิจฉา ขณะที่ซาโฮโกะดูจะไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
[ คุณยูเลีย… ตอนนี้เรากำลังพูดเรื่องจริงจังกันอยู่นะ ช่วยอย่าติดกันขนาดนั้นจะได้มั้ยคะ? ]
ฉันจ้องมองยูเลียแต่เธอกลับตีสีหน้าเย็นชาใส่
[ ไม่ค่ะ ก็อยู่ข้างๆ ท่านเรย์จิมันปลอดภัยกว่านี้ค่ะ ดังนั้นไม่ไปไหนเด็ดขาด ]
เธอพูดจากนั้นก็กอดเรย์จิ
ยูเลียตามเรย์จิมาเมื่อสองวันก่อนและถูกมิโนทอร์จับมาที่นี่
เลยตัดสินใจให้เธออยู่ในวิหารนี้ด้วย
เพราะขืนปล่อยไว้เธออาจจะเป็นอันตราย
แต่ทำไมเธอถึงได้ดูไม่เป็นห่วงเลยที่หาแม่ของเธอไม่พบ
สิ่งที่น่ากังวลอีกอย่างก็คือเมดที่มาด้วยกันกับเธอ
แม้จะในสถานการณ์นี้ก็ปฏิบัติกับยูเลียไม่ต่างไปจากเดิมเลย
พวกเมดเองก็อาศัยอยู่ที่นี่และคอยดูแลยูเลียด้วย
นอกจากนี้ยังช่วยทำความสะอาด ทำอาหารให้ เตรียมน้ำให้อาบ และอื่นๆ อีกมากมาย นี่พวกเธอไม่มีความกังวลที่ตกในสถานการณ์นี้เลยรึไง?
[ เอาน่าจิยูกิ ทำตัวตามสบายกันดีกว่า ]
เรย์จิพูดขณะที่กำลังกัดผลไม้ที่คล้ายกับแอปเปิ้ล
[ นี่เรย์จิคุงคิดจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยรึไง!? ]
ฉันตะโกนใส่ แต่เรย์จิกลับมองฉันและยิ้มอ่อนให้
[ ไม่เป็นไรน่าจิยูกิ พวกมิโนทอร์คงไม่ปล่อยเราไว้เฉยๆ หรอก เดี๋ยวค่อยหาทางทำอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็รอให้พวกชิโรเนะกับคายะที่อยู่ข้างนอกมาช่วยก็ได้ ง่ายนิดเดียวเอง ]
แต่ก็กลายเป็นว่าถูกขัง ไปไหนไม่ได้อยู่ดีนั้นล่ะ
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ เรย์จินี่เหลือเกินจริงๆ
ทั้งที่ฉันกำลังอารมณ์เสียเพราะมาติดกับดักพรรค์นี้ คนธรรมดาใครก็ต้องโกรธแบบนี้กันทั้งนั้น
แต่ไหงมีแค่ฉันคนเดียวที่ลำบากใจล่ะเนี่ย
ไม่ใช่แค่ยูเลีย แต่ซาโฮโกะ ริโนะ และนาโอะก็ดูสงบกันดี
ซึ่งฉันเป็นคนเดียวที่กำลังกระวนกระวายใจอยู่ นี่ฉันแปลกเหรอเนี่ย?
เพราะทุกคนเชื่อว่าเรย์จิคงทำอะไรสักอย่างแน่
หรือบางทีอาจจะคิดว่าถึงจะติดอยู่ที่นี่ก็ไม่มีปัญหาอะไร ขอแค่ได้อยู่ข้างๆ เรย์จิ ซึ่งดูเหมือนซาโฮโกะจะคิดแบบนี้อยู่แน่
แม้ว่าฉันจะเจอยูเลียไม่กี่วัน แต่เชื่อว่าคงมีความคิดแบบเดียวกันแน่เลย
ไม่อยากเชื่อเลยว่าอิทธิพลของเรย์จิจะมากขนาดนี้
ฉันได้แต่ถอนหายใจ ถึงคนอื่นจะไม่เป็นไร แต่ฉันร้อนใจจะแย่แล้ว นี่มันผ่านไปห้าวันแล้วนะ ไหงมี… แค่ฉัน…
ฉันผลุบนอนบนโต๊ะ
[ จิยูกิ ]
มีเสียงใครบางคนจากข้างหู
เมื่อเงยหน้ามองก็เห็นเจอกับเจ้าของเสียง เรย์จิมาอยู่ข้างๆ ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
[ ไม่ต้องห่วงจิยูกิ เชื่อฉันสิ เชื่อในตัวพวกชิโรเนะที่อยู่ข้างนอกสิ ]
เรย์จิเอาหน้ามาใกล้ฉัน
ฉันรู้สึกตกใจที่เขาเอาใบหน้าหนุ่มหล่อนั้นเข้ามาใกล้ ผู้ชายคนนี้นี่เป็นตัวปัญหาจริงๆ แฮะ
ถ้าฉันไปเผลอมองอาจจะต้องตกหลุมรักจริงๆ แน่
จะมาทำหน้าจริงจังอะไรตอนนี้กันยะ งั้นทำไมไม่หัดทำสีหน้าจริงจังแบบนี้ตลอดเวลาหน่อยล่ะ
ใบหน้าของเรย์จิจ้องมองฉันแบบตัวต่อตัว
นี่มันชักจะไม่ดีแล้ว
ในหัวฉันกำลังส่งสัญญาณเตือนว่าอันตราย
[ เข้าใจแล้ว เรย์จิคุง! ฉันจะพยายามร่าเริงแล้วกัน! ]
ฉันดันเรย์จิออกไป
ต้องรีบดันออกไป นี่มันอันตราย อันตรายมากเกินไป!
ถึงแม้ความร้อนใจของฉันจะหายไปแล้ว
แต่หัวใจยังเต้นแรงอยู่
ขณะที่ถูกฉันผลักไปเรย์จิก็ยิ้ม เจ้าผู้ชายคนนี้นี่มัน….
[ ใช่แล้วจิยูกิ ไปพรุ่งเราไปปิกนิกกันดีกว่าดูเหมือนจะไม่มีฝนด้วยสิ ไปกันนะทุกคน!! ]
[ ค่า!! ]
เมื่อได้ยินเสียงเรย์จิ ริโนะก็ตอบกลับอย่างไว
ที่ชั้นห้านี้กว้างมาก มีทั้งเนินเขาและดอกไม้ตามทะเลสาบด้วย
และแสงที่ปล่อยจากคริสตัลยังอบอุ่นเหมาะกับการปิกนิก
[ งั้นฉันจะทำอาหารให้นะคะ นาโอะจังมาช่วยทีนะ ]
[ ค่า คุณซาโฮโกะ!! ]
ซาโฮโกะกับนาโอะคุยกันจากนั้นก็มองมาทางฉัน
ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เรย์จิที่เป็นห่วงฉัน แต่ซาโฮโกะกับนาโอะก็ดูจะเป็นห่วงฉันด้วย
จะทำเศร้าอยู่ก็ไม่ช่วยอะไรล่ะนะ
ผ่อนคลายไว้ดีกว่า
[ งั้นคุณซาโฮโกะ ฉันจะช่วยอีกแรงแล้วกันค่ะ ]
[ ขอบคุณมากนะคุณจิยูกิ ]
คุณซาโฮโกะตอบด้วยรอยยิ้ม สมกับเป็นรอยยิ้มของนักบุญ เยียวยาจิตใจของคนที่มองดูจริงๆ รวมถึงฉันด้วย
หดหู่ไปก็ไม่ช่วยอะไร เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด
ฉันต้องเข้มแข็งไว้
[ อ่า อืม… หลังจากไม่ได้กินอาหารของจิยูกิมานาน ไว้จะเจอแล้วกัน ]
เรย์จิพูดด้วยสีหน้าอึดอัด
[ อย่าคาดหวังนักเลย ยังไงก็ไม่อร่อยเหมือนคุณซาโฮโกะหรอก ]
ฉันพูดขณะที่จ้องเขม็งนิดหน่อย
[ ถึงจะทำอาหารรสชาติแบบไหนมา ฉันก็จะกิน ]
อาหารของฉันรสชาติแย่จริงๆ นั้นแหละ
ทำเอาขนาดเรย์จิที่ต้องกัดฟันพูดเลยล่ะ
[ ท่านเรย์จิ เราไปด้วยได้มั้ยคะ? ]
[ ได้สิยูเลีย ไปด้วยกันแเถอะ ]
[ ขอบคุณมากค่ะท่านเรย์จิ!! ]
จากนั้นยูเลียก็กอดเรย์จิ
ทุกคนต่างทำหน้าอิจฉากันใหญ่
เพราะนี้ไปปิกนิกสิน้า
แบบนี้คงต้องหวังพึ่งพวกชิโรเนะที่อยู่ข้างนอกแล้วล่ะ
จากนั้นฉันก็กินมื้อกลางวันต่อ
◆ เทพแห่งความตายซัลคิซิส
[ ทำไมกันเลวิลรุส! ทำไมไม่ให้พวกผู้กล้ากับข้า! ]
ข้ากำลังพูดกับเลวิลรุสที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในเขาวงกตชั้นที่ 13
[ เจ้าหมายถึงอะไรกันซัลคิซิส ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าสัญญาว่าจะมอบผู้กล้าให้เจ้า เพราะนี่เป็นผลงานของลูกสาวของข้ายูเลีย เป็นธรรมดาที่ข้าจะให้รางวัลยูเลีย ]
เลวิลรุสหัวเราะ
[ หน๊อย… ]
ข้าได้เพียงส่งเสียงคร่ำครวญ
มันก็จริงที่ลูกสาวของเขาเป็นคนล่อพวกผู้กล้าแห่งแสงมาที่เขาวงกต
และตอนนี้ลูกสาวของเขา-ยูเลียก็อยู่กับพวกผู้กล้า
จะได้แจ้งได้ทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น
ฉันยอมรับว่าผลงานของยูเลียนั้นยอดเยี่ยม
แต่ว่าบาเรียที่ชั้นห้านั้นเป็นสิ่งที่เลวิลรุสสร้างขึ้นจากความรู้ของข้า เป็นเรือนจำที่มาจากความรู้ของข้า
และข้าซัลคิซัสผู้นี้ยังช่วยเปลี่ยนจากวังใต้ดินให้เป็นเขาวงกตให้ แต่เขากลับลืมน้ำใจในครั้งนั้น….
แต่ถึงจะเกลียดเลวิลรุสไปก็ช่วยอะไรไม่ได้
[ ถ้าเป็นผู้หญิงของผู้กล้าคงได้สินะ… ]
[ ถึงเด็กพวกนั้นจะไม่สวยถึงขนาดเรน่า แต่ก็ถือว่าสวยอยู่ ข้าให้เจ้าก็ได้ ]
เขาตอบกลับมา เป็นคำตอบตามที่ข้าต้องการ
เลวิลรุสหัวเราะ
[ แต่เลวิลรุส เจ้าจะทำอะไรยังไงล่ะหากเรน่าไม่มาที่นี่? จะมอบให้ลูกสาวหรือจะฆ่าผู้กล้า? ]
นี่เองก็เป็นเรื่องที่ข้ากังวลอยู่
เพราะดูเหมือนเลวิลรุสตั้งใจจะล่อผู้กล้าออกมาด้วยผู้กล้า แต่อย่างทางเอลีอัสไม่น่าจะอนุญาตให้เธอทำตามใจ
หลังจากนั้นจะยังไว้ชีวิตผู้กล้าอยู่งั้นเหรอ?
[ พอถึงเวลานั้นข้าจะฆ่ามันและส่งหัวของเจ้าผู้กล้าไปให้เรน่า เรน่าจะได้รู้ว่าหากปฏิเสธคำขอของข้าจะเป็นยังไง ]
เลวิลรุสตอบราวกับเป็นเรื่องปกติ
[ แล้วลูกสาวของเจ้าจะไม่เป็นไรรึ? ]
ลูกสาวของเลวิลรุส-ยูเลีย ชอบผู้กล้ามาก
และราชินีของพิซิเพียร์ที่กำลังเปลือยกายอยู่ข้างๆ เขาก็เป็นคนโปรดของเขา
มีอาณาจักรหลายแห่งในมินอนที่เลวิลรุสคอยครอบงำจากในเงามืดอยู่
พิซิเพียร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ข้าได้ยินว่าราชินีพิซิเพียร์ ถูกนำมาบรรณาการให้เลวิลรุสโดยราชาของพิซิเพียร์ตั้งแต่ที่เธอยังเป็นเจ้าหญิง
[ ทำไมข้าต้องแคร์ยูเลียด้วยล่ะ? ผู้หญิงคนอื่นไม่สำคัญทั้งนั้น ตราบเท่าที่ข้าได้ตัวเรน่ามา ]
เมื่อได้ยินคำพูดเย็นชาของเลวิลรุส ราชินีพิซิเพียร์ที่อยู่ข้างๆ ก็สั่นกลัวเล็กน้อย
ราชินีพิซิเพียร์รู้ดีว่าตัวเองเป็นแค่ของที่มาบรรณาการให้เลวิลรุส
แต่ดูเหมือนลูกสาวของเธอจะยังไม่เข้าใจเรื่องนั้น ทั้งที่ข้าเห็นว่าใบหน้าโลภมากของเธอนั้นเหมือนกับเลวิลรุสไม่มีผิด
ดูเหมือนเธอคงจะตั้งใจจะอ้อนพ่อ แต่เลวิลรุสน่ะไม่สนใจหรอกหากเป็นคนที่ไม่จำเป็น
เช่นเดียวกับมิโนทอร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของเลวิลรุส
เผ่าพันธุ์มิโนทอร์นั้นเกิดจากมนุษย์เพศหญิงกับเลวิลรุส
ดังนั้นจึงพูดได้ว่ามิโนทอร์คือลูกหลานของเลวิลรุส
เขาปฏิบัติกับมิโนทอร์เหมือนเป็นทาส
แม้ว่าจะเป็นลูกหลานก็ฆ่าได้ นั่นล่ะคือเลวิลรุส
ดังนั้นจะพูดอะไรกับเลวิลรุสไปก็ไม่มีประโยชน์
[ มีอะไรอยากจะพูดอีกรึซัลคิซิส? ]
[ … ไม่มี ขอบคุณที่เมตตา ]
ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตอบไปเช่นนั้น
ดูท่าว่าข้าคงต้องคิดหาวิธีอื่นมาฟื้นฟูร่างกายซะแล้ว
[ จะว่าไปยูเลียบอกว่าจะมีพรรคพวกนอื่นของผู้กล้าตามมาทีหลัง เจ้าจะจับผู้หญิงพวกนั้นไปก็ได้ ]
เลวิลรุสพูดขณะที่หัวเราะ เป็นคนที่เอาแต่ใจจริงๆ
[ ไม่เป็นไร ข้าได้ฝากให้อโทรันคัวจัดการแล้ว ]
[ หืม ยัยแมงมุมน่าเกลียดนั้นน่ะเหรอ ก็นะ ข้าพอเดาได้ ]
ข้าบอกให้อโทราคัวตรวจสอบวิหารเรน่าที่อาเรียดิน่าไว้แล้ว
หากมีการเคลื่อนไหวอะไร เธอน่าจะติดต่อมา
เพราะดูท่าว่าซัลคิซิสผู้นี้ต้องลงมือเอง
ข้าคิดเช่นนั้น แล้วหันหลังกลับให้เลวิลรุส
[ เจ้าจะไปไหนล่ะซัลคิซิส? ]
[ ไปทำธุระข้างนอกสักเดี๋ยว ]
[ อืม แล้วมันอะไรล่ะ? ]
[ ข้าโดนคนของเดียดอนน่าเรียก ไว้เร็วๆ นี้จะกลับมา ]
[ โฮ่… ราชินีงูคนนั้นจะมา? ]
ราชินีงูเดียดอนน่าเองก็เป็นคนของนากอลเหมือนกับข้า
ตอนนี้เพื่อหนีจากน้ำมือของโมเดสจึงได้ซ่อนตัวอยู่ในเกาะแยกตัวออกไปในนันไก
[ เจ้าสนใจด้วยรึเลวิลรุส? ]
[ มันเป็นธรรมดา เพราะผู้หญิงคนนั้นเอาแต่ซ่อนตัวอยู่จนถึงตอนนี้ทำให้ข้าต้องสนใจอยู่แล้ว ตอบข้ามาซัลคิซิส เดียดอนน่าคิดจะทำอะไรกัน? ]
[ ข้าเองก็ไม่รู้ ถึงได้กำลังจะถามนี่ไง ]
[ งั้นเหรอ… ]
เมื่อได้ยินคำพูดของข้า เลวิลรุสก็หมดความสนใจ
ตรงหน้าของเขามีภาพเวทมนตร์ลอยอยู่ตรงหน้า
และในนั้นก็มีภาพผู้กล้าอยู่ด้วย
แต่เจ้านั้นยังไม่รู้เรื่องข้าซัลคิซิส
ดังนั้นข้าจะต้องออกไปจากที่นี่
◆ อัศวินดำคุโรกิ
[ ขอบคุณมากคุโรกิ! ขอบคุณมากที่อุตส่าห์มา!! ]
ทันใดนั้นชิโรเนะก็โผล่พรวดมากอดผม ทันทีที่ผมเดินทางมาถึงอาเรียดิน่า
ผมโดนเรน่าคว้าแขนและลากไปที่อาเรียดิน่าด้วยกัน แม้ว่าจะรู้ดีว่าหากไปที่อาเรียดิน่าจะมีชิโรเนะรออยู่
หน้าอกใหญ่ๆ ของเรน่ากดลงเป็นแขนของผม ทำให้เหตุผลในหัวผมหายไปหมด
ผมเองก็รู้หรอกว่าตัวเองหนีไม่พ้นรู้จากเรจิน่ามาล่วงหน้าแล้ว
ที่เรจิน่ามาหาผมก็เพราะชิโรเนะต้องการติดต่อกับผม เมื่อผ่านประตูเคลื่อนย้ายไปเลยเจอกับชิโรเนะตรงหน้า
แม้ขนาดหน้าอกของชิโรเนะจะไม่ใหญ่เท่าเรน่า แต่เวลามันกดที่ใบหน้าก็ใหญ่ดีนะ
นานแล้วนะที่ไม่ได้โดนชิโรเนะกอดแบบนี้
เพราะตอนนี้ไม่ได้ใส่หมวกเกราะอยู่ ใบหน้าของผมจึงสัมผัสเข้ากับหน้าอกของชิโรเนะเต็มๆ
นี่ขนาดมันใหญ่ขึ้นกว่าเมื่อตอนเด็กเท่าไหร่กันนะ?
ผมรู้สึกประทับใจกับการเติบโตของเพื่อนสมัยเด็กอยู่ในใจ
แต่ในตอนนั้น เรน่าก็มาจับชิโรเนะแยกออกจากตัวผม ขณะที่ผมกำลังปลื้มกับการเติบโตของเพื่อนสมัยเด็ก
[ เดี๋ยวเถอะ เทพธิดาเรน่า! ทำอะไรกันคะ!? ]
เรน่าไม่ยอมขยับถึงแม้จะมีเสียงทักท้วงจากชิโรเนะ
[ ชิโรเนะ… นี่ไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรแบบนี้นะคะ เราต้องไปช่วยเรย์จิให้เร็วที่สุดสิ ]
เรน่าพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความโกรธจากคำพูดของเธอ
เพราะเธอคงกำลังกังวลเรื่องของเรย์จิอยู่ล่ะนะ
เรย์จิกำลังเผชิญหน้ากับเรื่องอันตรายอยู่ เป็นธรรมดาที่เธอจะโกรธชิโรเนะ
[ มันก็จริงที่เรย์จิคุงกำลังอยูในอันตราย…. แต่เพราะดีใจที่ได้เจอคุโรกิอีกครั้ง… ขอโทษด้วยค่ะเทพธิดาเรน่า ]
ชิโรเนะขอโทษ
[ ขอบคุณมากนะคุโรกิที่มา ฉันดีใจจริงๆ ]
ผมถอนหายใจให้รอยยิ้มของชิโรเนะ
ไหงเรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ล่ะ….
ผมยังไม่ได้บอกสักคำเลยนะว่าจะช่วย
แต่ดูเหมือนชิโรเนะจะตัดสินไปแล้วว่าผมจะไปช่วยเรย์จิ
[ ท่านเทพธิดาเรน่า จะไม่เป็นไรเหรอคะ? ]
เสียงของเด็กสาวที่ชื่อคายะพูด
ในห้องนี้มีผม เรน่า ชิโรเนะ เรจิน่า และผู้หญิงที่ชื่อเคียวกะกับคายะ รวมเป็นหกคน
[ อะไรเหรอคะคายะ? ]
[ ทำไมท่านถึงได้อยู่กับท่านคุโรกิล่ะ? เดิมที ฉันไม่นึกว่าท่านเรย์น่าจะมาขอให้เขาช่วยเหลือท่านเรย์จิด้วยซ้ำ ตอนที่ได้รับการติดต่อจากคุณเรย์จิน่าทำเอาตกใจมากเลยค่ะ ]
เด็กสาวที่ชื่อคายะจ้องมองเรน่า
[ นั่นเป็นการเข้าใจผิดแล้วค่ะคายะ เพราะฉันกังวลเรื่องของเรย์จิ ถึงได้พาตัวอัศวินดำมาช่วย การจะพาเขามาได้นี่มันยากมากเลยนะคะ ถ้างั้นเคียวกะ คายะ ชิโรเนะ เรื่องที่อัศวินดำของนากอลจะมาช่วยขอให้เก็บเป็นความลับด้วย เข้าใจใช่มั้ยคะ? ]
เมื่อเรน่าพูด ชิโรเนะก็พยักหน้า
ที่จริงการที่ศัตรูของเอลีอัสอย่างผมมาอยู่กับเรน่านี่มันเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยล่ะ
เหมือนอย่างเฮย์บอสกับโทโทน่า แต่เรน่านี่จะเด่นชัดกว่า
ดังนั้นจะต้องจำใส่ใจว่านี่เป็นความลับ
เรน่าเองก็อยากให้มันเป็นความลับกับพวกเรย์จิเรื่องที่ผมเป็นอัศวินดำ
ดังนั้นเรื่องที่ผมคืออัศวินดำจึงอยากจะขอให้รู้กันเฉพาะคนในห้องนี้
[ งั้นเหรอคะ… ถึงมันจะน่าสงสัยอยู่บ้าง แต่ยังไงท่านคุโรกิก็มาแล้ว จะยอมรับตามนั้นแล้วกันค่ะ ]
เด็กสาวที่ชื่อคายะแสดงท่าทีไม่อยากเชื่อออกทางสีหน้าอยู่พักนึง แต่หลังจากก็โน้มน้าวตาม
ขนาดผมเองก็ยังสับสนเลยล่ะ นี่มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง?
[ คุณคุโรกิ… ขอขอบคุณมากค่ะ เท่านี้ท่านพี่ก็รอดแล้ว ]
เด็กสาวที่ชื่อเคียวกะก้มหัวให้ผม
[ นอกเหนือจากนั้น…. ตัวฉัน…. ]
นี่ผมยังไม่ได้บอกว่าจะช่วยเลยนะ
แต่ผมจะพูดไปว่าไม่ช่วยก็ไม่ได้ด้วยสิ เพราะโดนสาวสวยขนาดนี้มาขอบคุณด้วยแล้ว
เคียวกะมองหน้าผมตรงๆ หัวใจของผมเต้นระส่ำไปหมดเพราะโดนสาวสวยจ้อง
เป็นเพื่อนกับสาวสวยนี่มันก็คือสิ่งที่ผมต้องการนั้นแหละ แต่จิตใจของผมมัน…
[ จะมาใจเต้นอะไรอยู่ยะคุโรกิ ]
เมื่อผมมองไปข้างๆ ก็เห็นชิโรเนะอยู่
ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ผมไม่เคยเจอประสบการณ์เจอกับสาวสวยจนถึงตอนนี้
ผมมันไม่เหมือนเรย์จินี่
[ เคียวกะ… คุณกำลังทำให้อัศวินดำเขาลำบากใจนะคะ ถอยไปอีกนิดได้มั้ย? ]
เรน่าพูดออกมาแล้วแยกผมกับเคียวกะออกจากกัน
เธอยิ้ม แต่มีสีหน้าที่ไม่พอใจเล็กน้อย
ที่ต้องถูกแยกกับเคียวกะผมเองก็ผิดหวังเล็กๆ อยู่หรอกนะ
[ คุณหนู ฉันคิดว่าจะขอบคุณที่เขาจะช่วยท่านเรย์จิก็ได้อยู่หรอกค่ะ แต่ตอนนี้ควรไปเตรียมตัวไปที่เขาวงกต ]
[ อา เข้าใจแล้วคายะ ถ้างั้นคุณคุโรกิ… ฉันขอตัวก่อนค่ะ ]
จากนั้นเคียวกะกับคายะก็ออกจากห้องไป
[ ฉันเองก็ต้องไปเหมือนกันคุโรกิ เพราะต้องไปคุยกับลีเรียนะ ]
เธอพูดเช่นนั้นจากนั้นก็ออกจากห้องไป
[ คุโรกิ ฉันเองก็ต้องไปพบกับหัวหน้านักบุญที่นี่ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ ]
เรน่าออกจากห้องไป
หัวหน้านักบุญของวิหารนี้เป็นสาวกของเรน่า
ซึ่งเป็นคนที่คอยต่อสู้ให้เรน่าในฐานะนักรบ
ในกรณีที่สาวกเป็นมนุษย์จะไม่ค่อยมีความเปลี่ยนแปลงนัก
เรน่าดูเหมือนจะมาหลบซ่อนตัวที่นี่ เพราะในวิหารจะมาเผ่านางฟ้ามาคอยดูแลจะไม่เหมาะ จึงต้องให้สาวกจะดีกว่า
หลังจากเรน่าออกจากห้องไป ก็เหลือเพียงผมกับเรจิน่าในห้อง
[ เรจิน่า… เป็นยังไงบ้าง? ]
ผมถามเธอด้วยลำบากใจ
[ ค่ะ แข็งแรงดี ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เท่านี้ฉันเองก็สามารถตอบสนองนายท่านได้แล้วค่ะ… ]
เรจิน่าพูดขณะที่ก้มหัว
บนหัวทั้งซ้ายและขวาของเรจิน่ามีเขาที่เหมือนเขามังกรอยู่
ดวงตาของเรจิน่ากลายเป็นประกายสีทอง มันไม่ใช่สายตาของมนุษย์ แต่เป็นสายตาของมังกร
เมื่อผมมองเธอ ผมก็รู้สึกผิดขึ้นมา
เรจิน่ากลายเป็นสาวกของผม
เพราะเรจิน่ากลายเป็นสาวกจึงได้รับอิทธิพลจากพลังมังกรในตัวผม ทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์มังกรเมลูซีน่า
เมลูซีน่าปกติแล้วจะอยู่ในร่างมนุษย์ แต่ก็สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมังกรได้
แต่หากเปลี่ยนมังกรแล้วจะไม่สามารถกลับเป็นมนุษย์ได้อีก
ยังไงความจริงที่ทำให้เธอกลายเป็นมอนสเตอร์ก็ทำให้ผมรู้สึกผิด แต่ผมก็ดีใจอยู่ที่เธอกลายเป็นสาวกของผม
ที่ผมทำให้เรจิน่าเป็นสาวกก็เพราะต้องการจะช่วยชีวิตเธอไว้
ในตอนนั้นที่ผมดื่มชาของคุนะลงไป ทำให้ผมกระปรี้กระเปร่าและเจ้าหนูตั้งขึ้นเต็มตัว
แต่เรน่าเป็นเพียงคนธรรดาจึงอ่อนแอที่สุดในหมู่คนในนั้น ทำให้ชีวิตของเธอตกอยู่ในอันตรายเพราะทนไม่ไหว
ผมเองก็ใช้เวทมนตร์ไม่ได้และคุนะในตอนนั้นก็อยู่ในสภาพชักกระตุกและสะบักสะบอมไปหมดจนใช้เวทมนตร์ไม่ได้
ดังนั้นจึงเหลือแค่ผมที่ช่วยเรจิน่าได้
ผมคิดหาวิธีอื่นแต่ก็ไม่เจอเลย
เมื่อมองดูเรจิน่า
เธอกำลังมีความสุขขณะที่มองมายังผม
ผมเองก็รู้สึกดีใจหรอกนะ แต่ในใจลึกๆ ก็รู้สึกผิด
หัวใจของผมเจ็บปวดมาก
◆ สตรีแห่งดาบชิโรเนะ
[ ท่านชิโรเนะ ]
ฉันถูกคุณคายะหยุดไว้
[ มีอะไรเหรอคะคุณคายะ? ]
ฉันมองย้อนกลับไป
ที่ตรงนั้นมีคุณเคียวกะกับคุณคายะอยู่
[ นี่เป็นโอกาสแล้วนะคะท่านชิโรเนะ เพราะแม่มดสีเงินคนนั้นก็ไม่อยู่ด้วย นี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ท่านคุโรกิได้สติแล้ว เช่นนั้นอย่าพลาดจังหวะนี้จะดีกว่านะคะ ]
แต่ฉันส่ายหัว
คุโรกิไม่ได้มากับแม่มดสีเงิน แต่มากับเรน่าแทน
ฉันก็ไม่รู้ทำไม เหมือนคุณคายะ ฉันเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน
แต่ฉันไม่สนใจหรอก คุโรกิมาช่วยฉันแล้ว แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ยังหมายความได้ว่าเขาไม่ได้โดนควบคุมโดยสมบูรณ์แบบ เพราะเขายังอุตส่าห์มาช่วยฉันอยู่
ถึงนี่จะเป็นโอกาสที่จะฟื้นคืนสติของคุโรกิก็เถอะ…
[ ไม่ดีกว่าคุณคายะ ฉันเองก็อยากฟื้นคืนสติของคุโรกิ… แต่ตอนนี้เรย์จิคุงกำลังอยู่ในอันตราย ]
ฉันจะทำให้คุโรกิได้สติแน่
แต่ตอนนี้ชีวิตของเรย์จิกำลังตกอยู่ในอันตราย
และเหตุผลก็คือ… ไม่งั้นเรน่าจะโกรธอีก ดังนั้นต้องให้ความสำคัญกับการช่วยเรย์จิก่อน
[ ฉันก็ดีใจนะคะที่คุณชิโรเนะทำตามหน้าที่และให้ความสำคัญกับการช่วยท่านพี่ก่อน แต่เรื่องของคุณคุโรกิไว้ทีหลังจะดีเหรอคะ? ]
คุณเคียวกะพูดเสริมคุณคายะ
[ ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณเคียวกะ ฉันจะต้องฟื้นคืนสติของคุโรกิให้ได้แน่ แต่ตอนนี้ต้องให้ความสำคัญกับเรย์จิก่อน ]
คุโรกิจะต้องกลับมาหาฉันแน่นอน ฉันถึงบอกว่าไม่เป็นไร
ฉันเริ่มเดินไปพร้อมกับบอกตัวเองเช่นนั้น