เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 1 ตอนที่ 22 ขนของเถื่อนเป็นแน่
ไม่อาจหาข้อบกพร่องออกจากคำพูดของโจวเฉิงได้เลย
หลิวหย่งพูดไม่ออกราวกับใบ้กินไปแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดในใจว่าคนคนนี้เพิ่งอายุ 20 นี่เธอถูกหนุ่มน้อยจีบเข้าแล้วหรือ?
ความอ่อนเยาว์ของโจวเฉิง เตือนให้เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าตอนนี้อายุของตัวเองเพิ่งจะ 18 ปีเท่านั้น มีช่วงเวลาวัยรุ่นแสนวิเศษให้ได้เพลิดเพลิน เซี่ยเสี่ยวหลานก็หยุดความปีตินี้ไว้ไม่ได้ ปลาชิงตัวโตจึงรสชาติดีขึ้นมาก พ่อครัวประจำร้านอาหารของรัฐเก่งกาจยิ่งนัก บริกรเย่อหยิ่งสักหน่อยมิใช่เรื่องที่ควรหรือ? นึกถึงร้านอาหารชื่อเสียงเก่าแก่ยุคหลัง เจ้าของร้านก็ไม่ได้อัธยาศัยดีเสียเท่าไร ทว่าเหล่าลูกค้ายังคงแย่งกันลิ้มลองเป็นบ้าเป็นหลัง
เนื้อปลาที่บางดุจปีกจักจั่นละมุนแต่ไม่คาว เซี่ยเสี่ยวหลานวางตะเกียบลงด้วยความเสียดายเล็กๆ
แม้ว่าจะอร่อย แต่โจวเฉิงกล่าวเช่นนี้แล้ว เธอเองก็ต้องแสดงทัศนคติของตนเองสักหน่อย
พี่โจว พี่นั่งลงก่อนแล้วค่อยพูดค่อยจากันเถอะ
ยืนขึ้นแล้วดูขึงขังจริงจังเหลือแสน เหมือนจะสู่ขอเธอจากลุงเสียอย่างนั้น
ฉันได้ฟังความจริงใจของพี่แล้ว ฉันเองก็จะพูดความในใจของตัวเองเช่นเดียวกัน… คาดว่าชื่อเสียงของฉันเลวร้ายแค่ไหนพี่คงได้ยินมาบ้างแล้ว เรื่องบางเรื่องฉันต้องแก้ไขด้วยตัวเองคงดีกว่า มีเพียงแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นถึงจะไม่เกรงกลัวน้ำเสียที่คนอื่นสาดใส่ พี่ว่าถูกหรือไม่? อีกทั้งฉันยังพาแม่มาอาศัยบ้านลุงด้วยกัน ฉันพูดเช่นนี้มิใช่ว่าต้องการความเห็นใจจากพี่ ฉันเองก็รู้ว่าพี่อยากช่วยเหลือฉัน แต่ว่าฉันคงไม่นึกถึงเรื่องความรู้สึกรักใคร่ส่วนตัวชั่วคราว เพราะฉันหวังว่าตัวฉันเองจะสามารถใช้ความคิดที่อิสรเสรีพัฒนาความรักที่สมบูรณ์และยืนยาวได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณพี่นะ พี่โจว
คำพูดรักษาน้ำใจเพียงใด แต่นั่นก็คือปฏิเสธอยู่ดี
คังเหว่ยหดคอโดยไม่ตั้งใจ
เขากลัวว่าโจวเฉิงจะคว่ำโต๊ะ ตั้งแต่เล็กจนโตพี่เฉิงจื่อคงไม่เคยโดนปฏิเสธเช่นนี้หรอกใช่ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้น พี่เฉิงจื่อไม่รังเกียจกิตติศัพท์อันคลุมเครือของเซี่ยเสี่ยวหลานอีก!
คังเหว่ยไม่เห็นโจวเฉิงล้มโต๊ะอาหาร โจวเฉิงมองเซี่ยเสี่ยวหลานสักพักหนึ่งแล้วกลับนั่งลงจริงๆ
ความคิดของเธอนั้นฉันรับรู้แล้ว เวลาที่พวกเรารู้จักกันมันยังสั้นเกินไปสินะ ฉันไม่รีบเร่ง เธอเองก็อย่ามีภาระทางใจเลย มิตรสหายไปมาหาสู่กันอย่างไรก็ทำเช่นนั้นแล้วกัน กินปลาเถอะ พ่อครัวร้านอาหารนี้ฝีมือไม่เลวนะ!
ลูกตาของคังเหว่ยแทบจะหลุดออกมาแล้ว
ยอมรับจริงๆ แล้วหรือ?
ไม่โกรธเลยสักนิดหรือ?
อย่างไรเสียถ้าคังเหว่ยถูกปฏิเสธ คงไม่นั่งลงกินปลาอย่างอย่างสงบจิตสงบใจเช่นนี้เป็นแน่
ทว่าโจวเฉิงกับเซี่ยเสี่ยวหลานประหนึ่งได้เจรจากันโดยชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว การแสดงออกของทั้งสองจึงค่อนข้างเป็นธรรมชาติขึ้นกว่าเดิม โจวเฉิงนั้นดูใจกว้าง เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่เหนียมอาย… ว่าไปแล้วก็ประหลาด เซี่ยเสี่ยวหลานคือผู้หญิงที่งดงามและมีเสน่ห์ที่สุดเท่าที่โจวเฉิงเคยพบ แม้เธอจะเติบโตขึ้นในเมืองชนบท แต่กลับมีความจริงใจตรงไปตรงมาแบบที่หญิงสาวจากปักกิ่งเท่านั้นถึงจะมี ทว่าเธอไม่เหมือนกับผู้หญิงปักกิ่งเสียทีเดียว สาวน้อยเหล่านั้นอยู่ข้างนอกก็ ‘เธอน่ะ เธอน่ะ [1] ’ แต่พอมาถึงต่อหน้าโจวเฉิงดันมารยาแสร้งว่าเป็นหญิงผู้ดี เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่แบบนั้น เธอมีนิสัยซื่อตรงไม่อ้อมค้อม แต่กลับมีมารยาทมาก
ไม่โอหังและไม่ต่ำต้อย
อยู่ดีๆ ในสมองของคังเหว่ยก็โผล่คำคำหนึ่งขึ้นมา
หญิงสาวที่ไม่โอหังและไม่ต่ำต้อย
เขาคิดว่าตนจะดื่มซุปลูกชิ้นปลาสักถ้วยให้คลายความตกใจ!
คนหนุ่มสาวทั้งสองได้พูดจนกระจ่างแล้ว หลิวหย่งก็ไม่จุ้นจ้านอีก อย่างไรเสียโจวเฉิงมิได้จะอยู่ในเขตอันชิ่งไปตลอด ช้าเร็วก็ต้องจากไป หลิวหย่งจึงกินปลาอย่างสบายอารมณ์
ปลาชิงตัวโต 18 ชั่ง ทั้งสี่คนรับประทานจนสะอาดเอี่ยมอ่อง ระหว่างนั้นโจวเฉิงบอกว่าออกไปสูบบุหรี่สักหน่อย พอกลับมาก็บอกว่าจ่ายเงินให้แล้วเรียบร้อย
คราวนี้เป็นหลิวหย่งที่รู้สึกเกรงใจแล้ว
ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ใครเลี้ยงใครก็เหมือนกัน ที่สำคัญคือทุกคนกินข้าวร่วมกันอย่างมีความสุข!
โจวเฉิงพูดอย่างพอใจ เขาไม่พร่องเรื่องเงินแค่นี้จริงๆ
แต่ในยุคสมัยแบบนี้ ขนาดซื้อไข่ไก่สักใบยังต้องคำนวณค่าใช้จ่ายโดยละเอียด คนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดังโจวเฉิงนี้หาได้น้อยเหลือเกิน บริกรของร้านอาหารล้วนแอบมองเขา ใจใจก็คิดว่าคนปักกิ่งนี่ช่างรวยเสียจริง ถ้าเธอได้เป็นคนรักของเขาคงดียิ่งนัก!
ทว่าเมื่อเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว บริกรหญิงก็กระดากเกินที่จะบอกว่าพวกเธอมีโอกาสกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน
จะแย่งคู่หมายคนอื่นเขาก็คงไม่มีความหวังสินะ
ออกจากร้านอาหารแล้ว โจวเฉิงถามเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่งว่าจากนี้จะทำอะไรต่อ ต้องการให้เขาขับรถไปส่งหรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายหน้าปฏิเสธ
ฉันจะไปซื้อของสักหน่อย วันนี้รบกวนเวลาของพวกพี่มาทั้งวันแล้ว ไม่ต้องไปส่งหรอก
รถยนต์ต้องใช้น้ำมัน พอฟุ่มเฟือยแล้วยากที่กระเหม็ดกระแหม่ กว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะคุ้นเคยกับชีวิตในปี 83 ได้ เธอยังไม่ถึงเวลาเพลิดเพลินกับมีรถรับรถส่ง โจวเฉิงก็ไม่ฝืนใจ ถ้าอย่างนั้นคุณลุงกับเสี่ยวหลานกลับบ้านระมัดระวังกันด้วย ผมและคังเหว่ยยังอยู่ในเขตอันชิ่งอีกสองวัน ถ้าเธอเข้าเมืองก็มาหาพวกเราที่บ้านพักได้
นอกจากเรียกหลิวหย่งว่า ‘คุณลุง’ แล้ว โจวเฉิงไม่วอแวเรื่องอื่นให้น่ารำคาญใจเลยสักนิด เขาพาคังเหว่ยแยกทางกับพวกเซี่ยเสี่ยวหลานไปจริงๆ
หลิวหย่งยิ้มแย้ม เมื่อไม่เห็นทั้งสองคนแล้วจึงหน้าตาเคร่งขรึมขึ้นมาในบัดดล
สองคนนี้อาจจะขนของเถื่อนก็ได้ ค้าขายหาเงินแบบเสี่ยงอันตรายนั่นแหละ ไม่อยากพูดว่าจะซวยทั้งคนสูญทั้งเงินเมื่อไรก็ไม่รู้ เสี่ยวหลานอย่าได้มองว่าไอ้หนุ่มนั่นหล่อเหลาแล้วโดนคำหวานของเขาหลอกลวงเข้าเสียล่ะ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ตกใจเท่าไร
โจวเฉิงสวมโรเล็กซ์ ขับรถต้าตงเฟิงที่กระบะด้านหลังโดนเชื่อมปิดตายด้วยเหล็กเสริม อีกทั้งคนผู้นี้ยังมีกลิ่นอายความร้ายกาจที่บอกไม่ถูก ถ้าบอกว่าเขาขนสินค้าเถื่อนก็ไม่แปลกใจ
ลุง… ลุงดูออกได้อย่างไร?
ที่เซี่ยเสี่ยวหลานแปลกใจคือเรื่องนี้ต่างหาก หลิวหย่งเป็นแค่คนชนบท หาเงินจาการสร้างบ้านซ่อมคอกหมูให้คนอื่นเพียงเท่านั้น จะมีสายตาแยกแยะแบบนี้ได้ที่ไหนกัน!
คุณลุง คุณเป็นช่างก่อสร้างจริงๆ หรือ? ทั้งซื้อจักรยานใหม่ ทั้งมีฐานะพอจะออกตัวช่วยเหลือเธอและมารดา… พึ่งพาแค่รายได้ของช่างก่อสร้างนั้นเพียงพอหรือ?
หลิวหย่งหัวเราะร่าแล้วเปลี่ยนเรื่อง
ลุงของหลานฉลาดน่ะสิ หลานจะไปซื้ออะไร? รีบซื้อเถอะ พวกเรารีบกลับบ้านกันสักหน่อย
เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ต้อนถามขณะอยู่บนถนนอีกต่อไป เธอและหลิวหย่งมายังห้างสรรพสินค้า เขตอันชิ่งได้โรงงานสองแห่งประคับประคองเศรษฐกิจทั้งหมดไว้ ห้างสรรพสินค้าในตัวเมืองจึงไม่ได้ใหญ่โตนัก ในเวลานี้มีลูกค้าแค่ไม่กี่คน หลิวหย่งเห็นเซี่ยเสี่ยวหลานเดินไปทางโต๊ะขายผ้าและเครื่องแต่งกาย นึกว่าเธออยากจะตัดเสื้อผ้าใหม่เสียแล้ว
หญิงสาวชอบสวมเสื้อผ้าใหม่นับว่าไม่มีเรื่องใดแปลก
ผ้าหนึ่งเมตรราคาไม่กี่หยวนหลิวหย่งเองก็มีกำลังซื้อ
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินไปถึงโต๊ะขายสินค้า ทว่าชี้ไปที่กระเป๋าหนังสือลายช้างตัวน้อยสีสันหลากหลายใบนั้นพลางสอบถาม
คุณคะ กระเป๋าหนังสือใบนี้ราคาเท่าไรหรือ?
พนักงงานขายกำลังถักเสื้อไหมพรม ไม่เงยหน้าด้วยซ้ำ ใบละ10 หยวน กระเป๋ามาจากเซี่ยงไฮ้ แพงทีเดียวนะ
ฉันเอาใบนี้ค่ะ ช่วยห่อให้ฉันด้วยแล้วกัน!
ในที่สุดพนักงานขายก็ยอมเงยหน้าขึ้นมองเธอสักหน่อย เธอไม่สนหรอกว่าใครซื้อกระเป๋า ขอแค่มีเงินจ่ายก็พอแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานจ่ายเงินเสร็จสรรพถึงได้พูดกับหลิวหย่ง ไปกันเถอะค่ะ ป้าสะใภ้ให้พวกเรารีบกลับบ้านไปกินข้าวเร็วๆ หน่อย
หลิวหย่งเพิ่งจะรู้ตัว หลานไม่ได้ซื้อของให้ตัวเอง? ซื้อกระเป๋าหนังสือให้เทาเทาหรือ? แพงเกินไปแล้ว… ลุงว่ากระเป๋าผ้าใบข้างๆ ก็ไม่เลวแล้ว โถ กระเป๋าหนังสือของเด็กน้อยจำเป็นต้องซื้อเสียที่ไหนกัน ป้าหลานยังบอกอยู่เลยว่าใช้ผ้าเย็บให้เขาก็ได้!
แม้หลิวหย่งพร่ำบอกว่าเปลืองเงิน แต่ในใจนั้นกลับรู้สึกดี
มิใช่เพราะเซี่ยเสี่ยวหลานใช้เงิน แต่เป็นเพราะเซี่ยเสี่ยวหลานมีความคิดขึ้นมากแล้ว รู้จักคิดถึงน้องชายตัวน้อย พี่สาวน้องชายสัมพันธ์ร่วมสายโลหิต ระหว่างญาติสนิทก็นึกถึงห่วงใยซึ่งกันและกัน ในอนาคตชีวิตจะดียิ่งขึ้น
หลิวหย่งหันกลับไปเมียงมองผ้าสีสันจำเจที่อยู่บนตู้แสดงสินค้าเหล่านั้น ข่มความบุ่มบ่ามในการซื้อของไว้ รอให้เขามาคนเดียวค่อยซื้อก็ยังได้
เมื่อลุงหลานสองคนกลับมาถึงหมู่บ้านชีจิ่ง หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินยังไม่กลับมา หลิวหย่งนั่งนิ่งอยู่บ้านไม่ได้จึงออกไปช่วยงานที่ไร่นา เทาเทาอุ้มกระเป๋าหนังสือใบใหม่จนมีความสุขแทบบ้า ได้แต่ถามไม่หยุด พี่เสี่ยวหลาน นี่ให้ผมใช่ไหม? ให้ผมจริงๆ นะ?
เซี่ยเสี่ยวหลานตัดสินใจทำอาหารก่อน
ว่ากันตามตรงปลาเมื่อมื้อกลางวันทำให้เธออิ่มเอาเรื่อง ดังนั้นตอนนี้ก็ทำงานให้ย่อยเสียหน่อยดีกว่า
เธอจุดไฟในเตาแบบชนบทที่ก่อลวกๆ แม้ชาติก่อนจะเคยยากจน อายุสิบกว่าขวบก็ทำอาหารเองแล้ว แต่ก็ทำบนเตาถ่านรังผึ้ง ต่อมาจึงได้มีเตาแก๊ส เธอไม่มีประสบการณ์ในการใช้เตาดินแบบชนบท โชคดีที่เธอมีเทาเทา อย่าคิดว่าน้องชายตัวน้อยแค่หกขวบ เขามักช่วยหลี่เฟิ่งเหมยจุดไฟดูเตาอยู่บ่อยครั้ง
ด้วยความช่วยเหลือของเทาเทา เซี่ยเสี่ยวหลานได้หุงข้าวสวยในหม้อเหล็กใบเล็ก ด้านล่างหม้อข้าวต้มหัวไชเท้า กระทะใบใหญ่ที่เหลืออยู่ก็ใช้ทำกับข้าว
หลี่เฟิ่งเหมยวานให้คนส่งตับหมูมาครึ่งก้อน เซี่ยเสี่ยวหลานไม่กล้าแตะต้องของที่สามารถทดสอบฝีมือตนเองเช่นนี้ แต่ในบ้านนอกจากตับหมูแล้วเหลือเพียงพวกปลาไนปลาหมู การฆ่าปลาหมูเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ เนื่องจากบนผิวของปลาหมูมีของเหลวเหนียวเหนอะหนะอยู่ทำให้ลื่นไม่ถนัดมือ ก่อนฆ่าจำเป็นต้องใช้น้ำเกลือร้อนล้างสักหน่อย… ดังนั้นตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานจึงตกอยู่ในความวุ่นวาย เทาเทาดูปลาหมูที่ลื่นเต็มพื้นก็หัวเราะชอบใจ ไม่ไว้หน้าพี่สาวของตัวเองเลยสักนิด
เมื่อจัดการกับปลาหมูด้วยความยากเย็นเสร็จ เซี่ยเสี่ยวหลานผัดพริกแห้งในน้ำมันและเคี่ยวกับเต้าหู้ ปิดฝาหม้อแล้วปล่อยให้ค่อยๆ ตุ๋นจนได้รสชาติ จากนั้นไปจัดการกับปลาไนต่อ
ปลาไนนั้นจัดการง่ายกว่า เก็บต้นหอมและใบพิมเสนจากหลังบ้านมาเล็กน้อย เธอก็สามารถทำปลาไนพิมเสนได้
จนกระทั่งคนทำงานกลับมา ก็จะเหลือเพียงตับหมูที่ยังไม่ได้ผัด
เสี่ยวหลานทำกับข้าวเสร็จแล้วหรือ?
…………
ณ บ้านพักในอันชิ่ง ตัวละครหลักในการสนทนาของโจวเฉิงและคังเหว่ยก็คือเซี่ยเสี่ยวหลาน…
เชิงอรรถ
[1] 你丫 เธอน่ะ มาจาก 丫头养的 ที่จริงแล้วคำนี้เป็นภาษาถิ่นปักกิ่ง เดิมใช้เป็นคำด่า มีความหมายว่า ‘ลูกของโสเภณี’ แต่บางครั้งผู้คนก็ใช้กันในหมู่มิตรสหาย เอาไว้เรียกอีกฝ่ายแบบแสดงถึงความสนิทสนม ในที่นี้คังเหว่ยหมายความว่า หญิงสาวปักกิ่งที่เขาเคยพบนั้นโดยปกติก็พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา ทว่าอยู่ต่อหน้าโจวเฉิงดันทำกิริยาเรียบร้อย