เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 1 ตอนที่ 6 บะหมีี่ซุปกระดูกช่างหอมเหลือเกิน
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 1 ตอนที่ 6 บะหมีี่ซุปกระดูกช่างหอมเหลือเกิน
เสี่ยวหลาน ลูกรู้จักวิธีการขายของได้อย่างไร?
หลิวเฟินถือเงินเอาไว้ พลางรู้สึกว่าลูกสาวตนนั้นฉลาดเหลือล้ำ
เซี่ยเสี่ยวหลานย้อนถามมารดาอย่างมั่นอกมั่นใจ ของแบบนี้ต้องเรียนด้วยหรือ?
ขามุงทั้งหลายต้องได้ร้องไห้กันหมด ถ้าของแบบนี้ไม่ต้องเรียนรู้ อายุอานามขนาดพวกเราคงต้องกลายเป็นสุนัขแล้ว
ผ่านไปไม่ทันไร แม่บ้านที่ซื้อไข่เป็ดไปก่อนหน้านี้ได้เดินพาคนมาเพิ่ม หล่อนอยู่นั่น ยังไม่กลับไป!
เสี่ยวหลานตกใจจนหน้าซีดเผือด เธอนึกว่าไข่เป็ดที่ขายไปดันเกิดปัญหาขึ้น คุณป้าได้พาเพื่อนเข้ามาล้อมเซี่ยเสี่ยวหลานเอาไว้ ไข่เป็ดยังราคาเท่าเมื่อครู่หรือไม่?
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้ารับ แน่นอน ยิ่งซื้อเยอะยิ่งถูกจ้ะ
เหล่าสหายของแม่บ้านผู้นั้นพากันแย่งพูด ทั้งยังอยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานลดราคาให้อีกหน่อย เดี๋ยวก็ว่าไข่เป็ดรสชาติไม่นุ่มนวลเท่าไข่ไก่ เดี๋ยวก็เอาแต่เลือกขนาดใหญ่เล็ก เซี่ยเสี่ยวหลานเพียงแต่ยิ้มแย้มรับ คนที่บ่นสิ่งของที่ซื้อเท่านั้นถึงจะเป็นนักซื้อ เธอแค่ปล่อยให้พวกเขาพูดๆ จนสมใจอยากก็พอแล้ว
เป็นไปตามคาด เซี่ยเสี่ยวหลานยืนหยัดไม่ยอมแพ้ ใบหน้าประดับรอยยิ้มต้อนรับคนเสมอ ป้าลูกค้าและมิตรสหายที่พามาอีกสามคนได้แบ่งซื้อไข่เป็ดที่เหลือกันจนหมด ไข่ 84 ใบถูกขายให้คน 4 คน หรือก็คือซื้อกันคนละ 21 ใบ เซี่ยเสี่ยวหลานได้คิดเอาไว้หมดแล้ว เธอจะต้องคว้าจิตใจฝักใฝ่ผลประโยชน์เล็กน้อยของลูกค้าเอาไว้ให้ได้
และแน่นอน เงินหนึ่งเฟินของลูกค้าอีกสามคนนั้นเธอก็ไม่เก็บ
แม้ก่อนหน้านี้จะเลือกจุกจิก ครั้นตอนจ่ายเงินก็ดูพออกพอใจกันมากทีเดียว
แต่สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานประเมินผิดคือลูกเป็ดป่าที่เธอนำมาด้วยจำนวนหนึ่งกลับขายไม่ดี ที่อยู่อาศัยของคนในเมืองค่อนข้างเล็ก ธัญพืชเหลือกินสำหรับเลี้ยงเป็ดก็ไม่มี เหล่าลูกเป็ดจึงขายไม่ออกเลย
ไข่เป็ด 84 ใบ ขายได้เงินมา 9 หยวน 2 เหมา เซี่ยเสี่ยวหลานเอาเงินให้หลิวเฟิน ทว่าหลิวเฟินกลับให้เธอเก็บไว้เอง เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงเดินวนในเมือง เพื่อหาโอกาสและลู่ทางทำเงิน ทันใดนั้นคนขายมันเทศก็โผล่มาหาเธอ
ลูกเป็ดเธอนี่เอาหัวมันแลกได้หรือไม่?
คนผู้นี้เห็นเซี่ยเสี่ยวหลานขายไข่เป็ดป่าก็รู้สึกตาร้อน คนในตัวเมืองไม่มีที่เลี้ยง แต่เขามี!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยากกินมันเทศอีกจริงๆ ของอย่างนี้กินมากไปทำให้เกิดลมในกระเพาะ แต่หลิวเฟินยินดีที่จะแลก อัตราผลผลิตของมันเทศนั้นสูง ตอนนี้ยิ่งเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต เผลอๆ มันเทศ 1 ชั่งยังแลกไข่ไก่หนึ่งใบไม่ได้เลย ในตอนปี 83 นี้ไข่ไก่ล้ำค่าอย่างกับเงินทอง
เซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิด ถ้าอย่างนั้นให้เขามอบมันเทศ 20 ชั่งแก่เธอ ส่วนลูกเป็ดป่า 8 ตัวก็ให้เขาไปหมดเลย
ทว่าคนคนนี้กลับไม่ยินยอม
หนึ่งชั่งแลกหนึ่งตัวสิ เลี้ยงจนโตแล้วบินหนีไปก็ขาดทุนหมด!
เป็ดป่าที่ไม่เชื่องอาจบินหนีไปได้ เซี่ยเสี่ยวหลานกำชับสหายบ้านเดียวกันอย่างจริงจัง ตัดขนบนปีกมันออกแล้วมันจะหนีไปไหนได้? ถ้าคิดว่ามันเทศ 20 ชั่งมากไป อย่างนั้นฉันเอากลับไปเลี้ยงเองก็ได้
มันเทศขายไม่ค่อยได้ราคาค่างวดนัก ส่วนเลี้ยงเป็ดสามารถใช้ใบผัก หญ้าสด หรือหนอนเป็นอาหารให้พวกมัน อาจวุ่นวายนิดหน่อยแต่ก็ไม่เปลืองธัญพืช ลูกเป็ด 8 ตัวโตแล้วจะมีสองตัวที่ออกไข่ได้ หนึ่งวันขายได้อย่างน้อยสองเหมา หนึ่งเดือนได้ 3 หยวน หนึ่งปีก็ได้ 36 หยวน
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดคำนวณให้อีกฝ่ายฟัง คนบ้านเดียวกันจึงไม่ต่อราคาอะไรอีก และเขาได้นำมันเทศ 20 ชั่งมาแลกลูกเป็ดไปจริงๆ สองแม่ลูกเอามันเทศใส่ตะกร้าสาน จากนั้นก็เดินลัดเลาะไปตามตัวเมือง
หลิวเฟินไม่เคยทราบว่าเงินมันหาง่ายเช่นนี้
เงินค่าขายไข่เป็ดป่ารวมกับมันเทศอีก 20 ชั่ง อย่างไรก็ได้สัก 10 หยวนแล้ว เหล่าเกษตรกรปลูกหาอาหารในไร่นาทั้งปียังได้ไม่ถึง 200 หยวนด้วยซ้ำ อีกทั้งเงินส่วนนี้ยังถูกแบ่งนำมาใช้จ่ายค่าเมล็ดพันธุ์กับปุ๋ย เงินที่หาได้จริงๆ นั้นมันช่างน้อยเสียเหลือเกิน อีกทั้งเงินที่เหลือนี้ต้องใช้ส่งลูกหลานเข้าเรียน ถึงกับต้องภาวนาอย่างสุดซึ้งว่าอย่าให้คนในครอบครัวต้องเจ็บป่วยใดๆ เลย
หนึ่งวันหาได้ 10 หยวน ถ้าหนึ่งเดือนมิใช่ 300 หยวนหรือ?
หนึ่งปีจะหาเงินได้เท่าไรนั้นก็ทำเอาหลิวเฟินคิดไม่ออกแล้ว
แต่ใช่ว่าจะมีไข่เป็ดป่าให้เก็บได้ทุกวัน หลิวเฟินยังคงเสียดายลูกเป็ดพวกนั้นอยู่ แม่เลี้ยงได้น่า ตัดปีกให้มันออกไข่ แม่ว่ายั่งยืนอยู่นะ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รำคาญ เธอเข้าใจว่าหลิวเฟินนั้นเป็นหญิงสาวชาวบ้านชนบทตัวจริงที่ไม่มีประสบการณ์อะไรมากนัก กอปรกับอยู่ในยุค 80 ที่ข่าวสารและความคิดยังถูกปิดกั้น เดิมทีมารดาก็มีนิสัยอดทนต่อความทุกข์ยาก อีกหน่อยเธอจะพาหลิวเฟินไปจากหมู่บ้านต้าเหอห่วยๆ นั่น แค่ต้องค่อยๆ ให้หลิวเฟินปรับทัศนคติให้ได้
พวกเราอาจจะเลี้ยงไม่รอดก็ได้ แถมต้องรอนานและพวกเราก็รอไม่ไหว ต้องแลกเป็นอาหารมาเก็บแทนของที่ขาดแคลนอยู่แล้ว ต่อให้เลี้ยงจนโตก็ไม่รู้อีกว่ากี่วันมันถึงจะออกไข่ครั้งหนึ่ง หนี่งปีมี 365 วัน จะให้มันออกไข่ทุกวันน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก
เซี่ยเสี่ยวหลานอธิบายอย่างละเอียด หลิวเฟินเองจึงเข้าใจ
ทั้งสองคนเดินวนในเมืองจนครบรอบ จากนั้นไปซื้อเกลือ เทียนไข ฟืน รวมไปถึงของใช้ในชีวิตประจำวันอีกนิดหน่อยที่สหกรณ์ซื้อขาย พอจ่ายเงินแล้วทำเอาหลิวเฟินเจ็บปวด แต่บ้านที่อาศัยอยู่ไร้ซึ่งสิ่งใด แม้แต่เตียงกับผ้าห่มตระกูลเซี่ยยังไม่ให้พวกเธอนำติดตัวมาด้วย หลิวเฟินเสียดายเงิน จึงมีความกล้ามากขึ้นที่จะกลับไป
ถ้ากลับไปแม่จะเอาเสื้อผ้าลูกออกมาให้
ฤดูร้อนอากาศไม่หนาวอยู่แล้ว แต่ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าไม่อาบน้ำก็จะเน่าเอาได้
เดิมเซี่ยเสี่ยวหลานอยากจะซื้อข้าวสารจากร้านขายธัญพืช คนขายถามหาตั๋วซื้ออาหารจากเธอ เธอไม่มีให้จึงต้องซื้อข้าวในราคาสูง พอคิดถึงบ้านที่ลงกลอนไม่ได้เก็บของก็ไม่รอดนั่นแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงซื้อกลอนเหล็กแทน แต่ไม่ได้ซื้อข้าว
ในปี 83 บางพื้นที่ได้ค่อยๆ ยกเลิก ‘ตั๋ว’ การใช้ตั๋วซื้ออาหารจึงไม่เข้มงวดขนาดนั้นแล้ว อย่างน้อยก็ในเขตอันชิ่ง ของใช้ทั่วไปส่วนหนึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ตั๋วซื้อ แต่แน่นอนว่าตั๋วซื้อธัญพืช ซื้อเนื้อสัตว์ บัตรสินค้าอุตสาหกรรม [1] สำหรับซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ายังคงมีอยู่
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่ายิ่งสังคมเปลี่ยนแปลงเร็วเท่าไรก็ยิ่งเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น
เธอรู้ว่าช่วงเวลาที่แม้แต่ซื้ออาหารยังต้องใช้ตั๋วจะผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเธอจึงหลบหลีกการหาเงินจากเวลานี้ การขายตั๋วซื้ออาหารเก็งกำไรคือการรนหาที่ตายโดยแท้
โอกาสทางการค้าไม่ได้เท่าเทียมในทุกหย่อมหญ้า การเปลี่ยนแปลงของสังคมก็รวดเร็วมาก คนส่วนใหญ่งุนงงสับสนตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงยังไม่ทันด้วยซ้ำ
เธอไม่จำเป็นต้องขวนขวายทุกโอกาสที่มี แค่คว้าเอาไว้สักอย่างสองอย่างเท่านั้น ไม่ทันไรเดี๋ยวก็กระโดดได้แล้ว [2]
เสี่ยวหลาน พวกเรากลับกันเลยไหม?
หลิวเฟินไม่คุ้นชินกับการพบผู้คนมากๆ เดินเตร่ในเมืองเป็นเวลานานทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวาย
คนในเมืองมิได้แต่งตัวสวยไปเสียหมด แต่เสื้อผ้าพวกเขาสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่มีรอยปะมากมายเหมือนของเธอกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ดูปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากชนบท เซี่ยเสี่ยวหลานรักหน้าตา [3] เป็นที่สุด แต่ไหนแต่ไรมีเสื้อผ้าชำรุดอยู่ไม่กี่ชุดเท่านั้น ตั้งแต่ลูกสาวเอาหัวชนเสา ลูกสาวของอาสะใภ้สามเซี่ยหงเซี๋ยก็มาฉวยเอาชุดดีๆ ในห้องไปหมดแล้ว
ในตอนนั้นหลิวเฟินใส่ใจกับเรื่องพรรค์นี้เสียที่ไหน ตอนนั้นเธอเพียงหวังว่าแม่เฒ่าเซี่ยจะเมตตายอมส่งลูกสาวไปโรงพยาบาลเท่านั้น
หลิวเฟินอยากกลับแล้ว แต่ท้องโล่งๆ ของเซี่ยเสี่ยวหลานกลับร้องกึกก้อง พอคิดว่าต้องเดินทางอีกตั้งสองชั่วโมงก็รู้สึกสิ้นหวัง
กินบะหมี่สักชามค่อยไปเถอะแม่!
ร้านค้าแผงลอยข้างทางไม่ต้องใช้ตั๋วซื้ออาหาร บะหมี่ซุปกระดูกราคาแค่ 3 เหมา
ซุปมีสีเหมือนนม เส้นบะหมี่สีขาว หลิวเฟินลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้กินของดีแบบนี้คือเมื่อไร
น้าจ๊ะ เอาบะหมี่ให้พวกเราสองชามจ้ะ!
เซี่ยเสี่ยวหลานดึงมารดามานั่งบนม้านั่งตัวน้อย กลิ่นหอมหวานของซุปกระดูกเอาแต่ช่วงชิงพื้นที่ในจมูก หลิวเฟินโบกมือปฏิเสธ เอาชามเดียว แค่ชามเดียว!
เธอจะตัดใจจ่ายเงิน 3 เหมากินบะหมี่ได้อย่างไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่สน อีกทั้งเอาเงินจำนวน 6 เหมาให้น้าหญิงเจ้าของแผงบะหมี่ไปอีกด้วย น้าหญิงทำบะหมี่ไปพลาง ออกปากชมไปพลาง
ลูกสาวเธอช่างกตัญญูเสียจริง อนาคตต้องมีความสุขแน่ๆ
ใบหน้าหมองคล้ำของหลิวเฟินเผยให้เห็นรอยยิ้มบางเบา
แต่พอคิดถึงชื่อเสียงย่อยยับที่เป็นที่รู้กันโดยทั่วของเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว แม้บะหมี่ซุปกระดูกหอมฉุยจะถูกยกมาให้ หลิวเฟินก็ไม่อยากอาหารเท่าไรนัก
ซู้ด…
รถคันโตได้มาเทียบที่ข้างถนน ประตูนั่งข้างคนขับเปิดออก คนที่กระโดดลงมาจากรถคือชายหนุ่มผู้สวมรองเท้าทหาร ในมือถือปิ่นโตใบใหญ่สองเถา เขาถูกกลิ่นหอมของน้ำซุปกระดูกดึงดูดมาถึงนี่ เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น สายตาก็ไปติดหนึบกับเซี่ยเสี่ยวหลานเสียแล้ว
เชิงอรรถ
[1] 工业卷 บัตรสินค้าอุตสาหกรรม คือ บัตรสำหรับซื้อสินค้าอุตสาหกรรมที่ผู้ซื้อจะนำไปประกอบการผลิต ออกมาในยุคเดียวกับตั๋วซื้ออาหาร
[2] 一跃而起 ไม่ทันไรก็กระโดดขึ้น ในที่นี้หมายถึง เซี่ยเสี่ยวหลานจะหาทางทำธุรกิจ ไม่นานก็สามารถลืมตาอ้าปากได้
[3] 爱面子 รักหน้าตา หมายถึง คนที่รักความดูดีของตนเองมาก กลัวผู้อื่นจะดูแคลน