เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 2 ตอนที่ 34 ประสิทธิภาพการล้างสมองของหลี่เฟิ่งเหมย
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 2 ตอนที่ 34 ประสิทธิภาพการล้างสมองของหลี่เฟิ่งเหมย
บุกรุกลักขโมย! จำนวนเงินมหาศาล!
ข้อความสำคัญสองอย่างทำเซี่ยเสี่ยวหลานเบาใจไปหนึ่งเปราะ เหตุใดจางเสเพลถึงยังกล้าทำผิดกฎหมายในเวลาแบบนี้กัน ช่างรนหาที่ตายโดยแท้ เมื่อรู้ข้อหาของจางเสเพลแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่กังวลว่าอีกฝ่ายจะพูดจาไร้สาระพาเธอเดือดร้อนไปด้วย ไม่เช่นนั้นคงหมายถึงว่าจางเสเพลจะรังเกียจที่ข้อกล่าวหาของตนไม่หนักพอ
ข่าวนี้ทำให้ทั้งครอบครัวร่าเริงด้วยความปีติยินดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหลิวเฟิน คนซื่อที่ปกติโอนอ่อนผ่อนตามจนเคยตัว เธอยังหวังว่าจางเสเพลจะถูกตัดสินโทษประหารเสียเลยด้วยซ้ำ ต่อให้ไม่ตาย ขังคนคนนี้ไว้สักสิบยี่สิบปีค่อยปล่อยออกมา จากนั้นจะค่อยๆ ไม่มีคนหยิบยกเรื่องชื่อเสียของเซี่ยเสี่ยวหลานมาเสวนากันอีก
หน่วยรักษาความปลอดภัยจับได้ดีนี่! คนชั่วพวกนี้ควรโดนจับให้หมด!
หลิวเฟินพูดไปพลางเช็ดน้ำตาไป เซี่ยเสี่ยวหลานจะถูกใจจางเสเพลได้อย่างไร คนไม่เอาถ่านที่อายุใกล้สามสิบก็ยังหาภรรยาไม่ได้ แต่ก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานมีท่าทีรังเกียจรังงอน อีกทั้งกระหายความเป็นที่หนึ่ง สายตาเธอนั้นดีมากขนาดนั้น! น่าเสียดายในตระกูลเซี่ยมีเพียงหลิวเฟินที่เชื่อลูกสาว คนอื่นไม่ได้เข้าข้าง ‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ เลย ยังคิดว่าหญิงสาวระริกระรี้ทำลายชื่อเสียงของตระกูลเซี่ยเสียด้วยซ้ำ
หลี่เฟิ่งเหมยปลอบใจน้องสามีเป็นการส่วนตัว
อีกหน่อยตระกูลเซี่ยต้องมีวันที่เสียใจที่หลังแน่ ฉันว่าเสี่ยวหลานเป็นคนมีอนาคตไกล คิดว่าไม่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็จะสู้ลูกพี่ลูกน้องของเธอไม่ได้เลยหรือ? คนตระกูลเซี่ยเอาแต่ถือเท้าเหม็นๆ [1] ของเซี่ยจื่ออวี้ถึงได้ทำร้ายเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างเอาเป็นเอาตาย
หลิวเฟินเป็นคนซื่อสัตย์ แต่พี่สะใภ้อย่างหลี่เฟิ่งเหมยกลับเจ้าเล่ห์อยู่ทีเดียว มิเช่นนั้นหลิวหย่งที่ไม่เอาการเอางานแต่งงานกับเธอไปไม่กี่ปีจะค่อยๆ มีความรับผิดชอบได้อย่างไร?
ใครๆ ก็นินทากันว่าเซี่ยเสี่ยวหลานยั่วยวนว่าที่พี่เขย ถ้าให้หลี่เฟิ่งเหมยพูดแล้ว นำเซี่ยเสี่ยวหลานและเซี่ยจื่ออวี้มาวางไว้ด้วยกัน ผู้ชายต้องชอบเซี่ยเสี่ยวหลานมากกว่าแน่นอน ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดว่าถูกพี่สาวตลบหลังขัดขวาง คงไม่ยืนกรานโวยวายเรื่องให้ใหญ่โตขนาดนั้น
สองสาวพี่น้องในครอบครัวแย่งชิงผู้ชาย เรื่องแบบนี้มิใช่ไม่เคยเกิดขึ้นในชนบทมาก่อน คู่หมายที่เพียบพร้อมใครจะไม่อยากแต่งงานด้วย
แต่ที่ไม่เหมือนกันคือตระกูลเซี่ยไม่สั่งโบยห้าสิบไม้ทั้งคู่ [2] กลับเอนเอียงเข้าข้างเซี่ยจื่ออวี้เสียหมดหน้าตัก… นี่คืออำนาจที่สถานะนักศึกษาหงส์ฟ้าทองนำติดตัวมาด้วย หลี่เฟิ่งเหมยคิดว่าบ้านเซี่ยจะต้องส่งคนมาพาแม่ลูกคู่นี้กลับไปแน่ เธอจึงล้างสมองของหลิวเฟินทั้งวี่ทั้งวัน เตรียมพร้อมต่อให้เซี่ยต้าจวินมาเมื่อไรก็ไม่อนุญาตให้เธอหวาดกลัว
ถ้าเธอไม่หนุนหลังให้เสี่ยวหลาน คนบ้านเซี่ยจะยิ่งรังแกลูกสาวของเธอนะ!
เมื่อก่อนหลี่เฟิ่งเหมยไม่ได้ชอบน้องสามีอย่างหลิวเฟินผู้นี้สักเท่าไร แม้จะเป็นน้องสามี แต่หลิวเฟินกับเธออายุเท่าๆ กัน หลิวหย่งอายุได้สามสิบกว่าถึงมีภรรยา เดิมหลี่เฟิ่งเหมยที่แต่งงานกับหลิวหย่งก็เป็นการแต่งครั้งที่สอง ในตอนที่เธอแต่งเข้าบ้านหลิวนั้นหลิวเฟินได้ออกเรือนไปแล้ว พี่สะใภ้น้องสามีทั้งสองไม่ค่อยได้มีโอกาสทำความรู้จักกันสักเท่าไร จึงไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกัน ก่อนหน้านี้หลิวหย่งยังเคยแอบช่วยเหลือหลิวเฟินเรื่องเงินทอง ชีวิตของทุกคนล้วนไม่ราบรื่น แม้หลี่เฟิ่งเหมยไม่ปริปากบ่นอะไร แต่ในใจกลับไม่เป็นสุขนัก
ใครใช้ให้หลิวเฟินเป็นคนพูดน้อยน่าอึดอัด ไม่ฉอเลาะกับพี่สะใภ้แม้แต่น้อยกัน มีลูกสาวหนึ่งคนก็หยิ่งยโสโอหังเหลือเกิน หลี่เฟิ่งเหมยชมชอบหลิวเฟินและลูกสาวสิ ถึงจะแปลก
ทว่าเห็นแก่หน้าของหลิวหย่ง ทุกปีพบหน้ากันสองครั้งก็ใช้ความรู้สึกคนเป็นญาติห่างๆ กันต้อนรับกันไปเสีย
ทว่าไม่กี่เดือนก่อนอยู่ดีๆ หลิวหย่งได้พาน้องสาวและหลานสาวจากบ้านตระกูลเซี่ยกลับมาด้วย หลี่เฟิ่งเหมยมิใช่ไม่มีความคิดเห็น เป็นเพราะเธอไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเกิดความผิดใจกันถึงได้อดทนไม่คัดค้าน
แน่นอนว่ามีความเกี่ยวข้องกับที่ช่วงนี้หลิวหย่งหาเงินได้มากขึ้นด้วย ครึ่งปีที่ผ่านมาหลิวหย่งมักออกไปทำงานข้างนอก ส่งเงินกลับมาให้หลี่เฟิ่งเหมยไม่น้อย สถานะทางการเงินของครอบครัวจึงมีกินมีใช้ มีคนกินข้าวเพิ่มสองคนยังถือว่ารับไหวอยู่ หากยากจนข้นแค้นจริงๆ แม้ต้องกระทบถึงความสัมพันธ์ของสามีภรรยา หลี่เฟิ่งเหมยอาจไม่โวยวายจนฟ้าดินกลับหัว[3] แต่จะทำตัวพิสดารกดดันเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาให้ออกไปอย่างแน่นอน
อีกอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาไม่ได้กินข้าวเสียไปเปล่าๆ
หลิวเฟินรับผิดชอบงานในบ้านจำนวนมาก เซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตัวเองมีความสามารถในการทำธุรกิจและยินดีใช้จ่ายให้กับที่บ้านของเธอ
เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาย้ายมาบ้านหลิวยังไม่เกินครึ่งเดือน ทว่าหลี่เฟิ่งเหมยก็มองพวกเธอเป็นคนของตนเองแล้ว คนกันเองต้องพูดจากันด้วยความไว้วางใจเสียหน่อย หลี่เฟิ่งเหมยก็รู้ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็นคนทะเยอทะยาน คงไม่อาศัยอยู่บ้านลุงไปทั้งชาติแน่นอน ด้วยความเร็วในการหาเงินเท่านี้ ไม่ต้องพูดว่าสามารถตั้งหลักแหล่งในซางตูได้ ทว่าความเป็นไปได้ของการซื้อบ้านชั้นเดียวในตัวเมืองนั้นมีสูงมาก
หนึ่งเดียวที่เตะถ่วงไว้ก็คือหลิวเฟิน
ทุกคนล้วนเกรงว่าหลิวเฟินจะใจอ่อนหากเซี่ยต้าจวินมาหา แล้วหลิวเฟินจะยอมกลับตระกูลเซี่ยไปใช้ชีวิตเพื่อรองรับอารมณ์และอดทนทำงานหนักกับอดทนต่อการเหยียดหยาม เช่นนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานคงหนักยิ่งกว่า ถูกตระกูลเซี่ยขยี้จุดอ่อนเป็นแน่… เซี่ยเสี่ยวหลานกตัญญูต่อหลิวเฟินหรือไม่ หลี่เฟิ่งเหมยเห็นชัดแจ้งอยู่กับตา ลูกสาวที่ไม่กตัญญูต่อมารดาบังเกิดเกล้า อนาคตจะหวังให้เธอดีต่อลุงได้หรือ?
หลี่เฟิ่งเหมยพูดเสียจนหลิวเฟินล้างจานไปพลางพยักหน้าไปพลาง
สองแม่ลูกอยู่บ้านเซี่ยใช้ชีวิตอย่างไรกัน ตระกูลเซี่ยมีสมาชิกเยอะที่นาทำกินก็มาก โดยปกติไม่ถึงกับกินข้าวไม่อิ่มท้อง แต่หญิงชราเซี่ยใช้ความกตัญญูกดดันไม่ให้ลูกชายสามคนแยกครอบครัว ผลผลิตทั้งหมดในไร่นาก็ให้หญิงชราเซี่ยดูแล อาหารที่เหลืออยู่จากการส่งผลผลิตให้รัฐแล้วแบ่งสันปันส่วนเช่นไรล้วนเป็นหญิงชราเซี่ยที่ตัดสิน
ตระกูลเซี่ยมีทั้งหญิงชายเด็กคนชรารวม 12 คน แต่แรงงานที่แท้จริงกลับมีแค่สี่คน!
แม่เฒ่าเซี่ยเป็นม่ายเลี้ยงลูกชายสามคนจนเติบโตมา จึงไม่ต้องลงไร่นาทำงาน พี่ชายคนโตเซี่ยฉางเจิงมีลูกชายหนึ่งลูกสาวหนึ่ง ลูกสาวคือเซี่ยจื่ออวี้ หนึ่งปีใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเรียนหนังสือในตัวเมือง หลังจากเข้าเรียนมัธยมปลาย ใครๆ ก็ชมเชยว่าเป็นต้นอ่อนดีที่ใฝ่เรียน หญิงชราเซี่ยเลยไม่ยอมให้หลานสาวคนโปรดทำงาน เพราะการทำงานจะถ่วงเวลาเรียนหนังสือได้ สะใภ้ใหญ่จางชุ่ยจึงไปดูแลเซี่ยจื่ออวี้ในตัวเมืองตามความยินยอมของแม่เฒ่าเซี่ย ลูกชายคนเล็กของเซี่ยฉางเจิงเพิ่งอายุ 10 ขวบ ไม่ใช่แรงงานหลักเป็นแน่
ลูกชายคนเล็กเซี่ยหงปิงกลับมีลูกถึงสามคน ลูกสาวคนโต เซี่ยหงเซี๋ยอายุ 17 ปี เรียนจบมัธยมต้นปีสองก็ไม่เรียนหนังสือต่อแล้ว อยู่บ้านกับมารดาหวังจินกุ้ยช่วยกันหุงหาอาหาร เลี้ยงไก่ ไม่ได้ทำงานหนักเช่นกัน น้อยชายสองคนของเซี่ยหงเซี๋ยก็ยังโตไม่พอ น้องชายคนโตยังไม่ทันจบประถม น้องชายคนเล็กนั้นอายุเท่ากับเทาเทา จะเป็นแรงงานทำงานอะไรได้?
มีเพียงหลิวเฟินและเซี่ยต้าจวินที่เป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญของบ้าน หลิวเฟินเป็นผู้หญิงที่ถูกใช้งานเหมือนผู้ชาย งานหนักงานลำบากล้วนหนีไม่พ้นทั้งนั้น ครอบครัวพวกเขาก็มีแรงงานหลักอยู่สองคน แต่ทุกครั้งที่แม่เฒ่าเซี่ยแบ่งอะไรไป พวกเธอกลับได้รับส่วนแบ่งน้อยที่สุด เซี่ยจื่ออวี่สอบติดมหาวิทยาลัยในครั้งนี้ หญิงชราเซี่ยเร่งเร้าสามครอบครัวเรียกเงินเบี้ยเลี้ยง และกล่าวอย่างชัดเจนว่าครอบครัวพวกเขาสมาชิกน้อย ภาระไม่มาก อนาคตก็ไม่มีลูกชายจะที่ต้องใช้เงินเพื่อสร้างครอบครัว จึงให้เซี่ยต้าจวินออกเงินเยอะหน่อย เซี่ยต้าจวินก็ช่างจริงใจเสียเหลือเกิน ล้วงเงินเก็บของครอบครัวตัวเองไปหมด ออกเงินคนเดียวไปถึง 300 หยวน
ผลผลิตในไร่นาส่งให้รัฐไปแล้ว เงินส่วนนี้คือเงินเก็บที่เซี่ยต้าจวินรับทำงานอื่นไปทั่ว
หลิวเฟินนึกไปนึกมา ดวงตาก็แดงเสียแล้ว
เซี่ยจื่ออวี้จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แล้วลูกสาวเธอไม่ต้องออกเรือนหรือ? ควักเงินเก็บครอบครัวเสียเกลี้ยงแล้วแม้แต่ที่นอน หมอน มุ้งรวมถึงอ่างล้างหน้า กาน้ำชาก็ซื้อไม่ไหว จะหาบ้านสามีแบบไหนให้ลูกสาวได้กัน? คำถามเหล่านี้หลิวเฟินไม่กล้าแม้แต่จะคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนมาก่อน เพราะเกี่ยวข้องกับความเคยชินในการยอมจำนนมาหลายปี
ถูกหลี่เฟิ่งเหมยชี้แนะด้วยความจริงใจทั้งวัน หลิวเฟินจึงคิดได้ว่าไม่ควรค่าแก่การใส่ใจครอบครัวเซี่ยอีกต่อไป
เซี่ยจื่ออวี้ก็มิใช่ไร้บิดามารดา เธอเข้าปักกิ่งไปเรียนหนังสือ ขนาดเซี่ยฉางเจิงยังออกแค่ 100 กว่าหยวน เซี่ยหงปิงยิ่งแสดงน้ำใจเล็กน้อยโดยออกไป 100 หยวนถ้วน จะให้เธอกลับไปกับเซี่ยต้าจวิน เป็นวัวเป็นม้าแทนตระกูลเซี่ยต่อไป นำเงินน้ำพักน้ำแรงที่ได้ไปเลี้ยงดูลูกสาวของคนอื่น ปล่อยให้ลูกสาวของเธอเองนอนอยู่บนเตียงเจ็บปวดเกือบตาย แต่กลับไร้เงินทองไปหาหมอ?
หลิวเฟินใช้หลังมือปาดน้ำตาออก
พี่สะใภ้ ฉันจะไม่กลับตระกูลเซี่ย
เชิงอรรถ
[1] 捧臭脚 ถือเท้าเหม็น หมายถึง แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถูกต้องหรือมีความสามารถเท่าไร แต่ยังยกยอปอปั้นอย่างจริงจัง
[2] 各大五十大板 โบยห้าสิบไม้เท่ากัน มีที่มาจากการลงโทษในสมัยโบราณ คือการสั่งทำโทษทั้งสองฝ่ายโดยไม่สนว่าใครผิดหรือถูก ให้รับผิดชอบเท่าๆ กัน
[3] 天翻地覆 ฟ้าดินกลับหัว หมายถึง เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างหนักหรือโวยวายอย่างรุนแรงมาก