เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 2 ตอนที่ 54 ใส่ใจการเรียนและธุรกิจพร้อมกัน
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 2 ตอนที่ 54 ใส่ใจการเรียนและธุรกิจพร้อมกัน
เรียนมัธยมปลายต้องใช้เงินสักเท่าไรกันเชียว?
ถ้าเป็นปีที่แล้วหลิวหย่งต้องลำบากเป็นแน่ แต่ปีนี้เขาค้นพบหนทางหาเงินได้แล้ว เงินที่หามาก็ยังไม่ได้หยิบออกมาใช้ หากเอาไปทำอย่างอื่น เงินส่วนนี้อาจไม่เพียงพอ ทว่าแค่เลี้ยงดูเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินเพิ่มนั้นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว มีเงินก็มีความมั่นใจ หลิวหย่งหวังให้เซี่ยเสี่ยวหลานมีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคตจากใจจริง จากไม่มีคุณสมบัติใด ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานได้โอกาสจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย อย่าว่าแต่เขามีเงินเลย ต่อให้ไม่มีเงินก็ต้องขายเลือดส่งเสีย!
เซี่ยเสี่ยวหลานก้มหน้า ลุง ฉันพูดแล้วว่าจะซื้อบ้านในเมืองให้แม่ นี่คือชีวิตของฉัน ฉันก็อายุสิบแปดแล้ว ย่อมหาเงินเองได้ เงินที่ลุงหามาควรเก็บไว้ให้เทาเทานะ
ถ้าต้องยอมให้หลิวหย่งเลี้ยงดูจริงๆ เซี่ยเสี่ยวหลานจะต้องรู้สึกอดสูจนตายแน่
หลิวหย่งรู้ดีว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเย่อหยิ่งทรนง ก่อนจะชนผนังฆ่าตัวตายก็มีนิสัยเสียแบบนี้ ไม่คิดว่าอุตส่าห์กลายเป็นคนมีเหตุผลรับผิดชอบแล้ว แต่จุดนี้ก็ยังแก้ไม่หายเสียที
เหล่าวังคิดว่าเด็กคนนี้ช่างลำบากเหลือเกิน พามารดาที่หย่าร้างไปอาศัยอยู่บ้านลุง ตั้งใจรีบเร่งแก้ไขสภาพชีวิตอันยากลำบาก อาจารย์ฉีก็ใจอ่อนระทวย ทำธุรกิจอิสระไม่เป็นที่นับหน้าถือตานัก แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังสัญญาจะซื้อบ้านให้มารดา ช่างเป็นลูกกตัญญูยิ่งนัก
นักเรียนเซี่ย การเรียนกับการตั้งตัวไม่ขัดแย้งกัน พอเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย รัฐจะจัดหางานให้เธอเอง หน่วยงานก็จะแบ่งบ้านให้เธอเช่นกัน
แต่ถือเป็นเรื่องของอีกหลายปีหลังจากนี้
ทำธุรกิจส่วนตัวคาดเดาได้ยากว่าจะสามารถซื้อบ้านได้สักหนังจริงหรือไม่ ทำธุรกิจมิใช่มั่นคงไม่มีเสีย จะอนาคตก้าวไกลไปกว่านักศึกษาได้อย่างไร อาจารย์ฉีเพียงแค่ไม่อยากให้เซี่ยเสี่ยวหลานทำอะไรโง่เง่าจากความคิดเพียงชั่ววูบ จึงเกลี่ยกล่อมด้วยความหวังดีจากก้นบึ้งของจิตใจ หลังเธอได้ทำงาน ทุกเดือนก็จะมีเงินเดือนให้ ค่อยคืนเงินที่ลุงส่งเสียเธอเรียนให้เขาก็ได้มิใช่หรือ?
ท่าทางของเซี่ยเสี่ยวหลานตรงไปตรงมา หนูชินกับการเรียนเองที่บ้านแล้วค่ะ สภาพแวดล้อมของโรงเรียนจะทำให้หนูรู้สึกกดดันมาก ตอนมัธยมเรียนอย่างไรก็ไม่เข้าหัว อยู่บ้านอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ยังได้เจอวิธีการเรียนที่เหมาะมากกว่าด้วย คุณครูคิดว่าทำแบบนี้ดีหรือไม่? ถ้าโรงเรียนมีสอบหนูก็จะไปสอบ ต่อให้ไม่มีสอบหนูจะไปโรงเรียนสัปดาห์ละครั้ง เรียนรู้จุดที่ศึกษาเองแล้วไม่เข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าตัวเองจะทำธุรกิจไม่ไปโรงเรียน ไม่ต้องให้เรื่องถึงอาจารย์ทั้งสอง หลิวหย่งลุงของเธอก็ไม่มีทางเห็นด้วย
แต่เธอบอกว่าตนเหมาะกับศึกษาด้วยตนเอง อาจารย์สองท่านไม่กล้ามั่นใจ หลิวหย่งก็กึ่งเชื่อกึ่งสงสัยเช่นกัน
ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่มัธยมต้นผลการเรียนธรรมดามากจริงๆ
ถ้าผลการเรียนดีก็คงจะสอบอาชีวศึกษาไปตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่เรียนจบมัธยมต้นแล้วหยุดเรียนหนังสือต่อแบบนี้หรอก
เซี่ยเสี่ยวหลานจบมัธยมต้นได้สามปี อีกทั้งสามารถทำข้อสอบของเซี่ยนอีจงได้ถึง 446 คะแนน ไม่น่าใช่การที่อยู่บ้านพลิกหนังสือสองสามวันแล้วจะทำได้หรอกนะ? อย่างไรก็เป็นผลงานของการศึกษาด้วยตนเอง หลิวหย่งไม่สะดวกซักไซ้ต่อหน้าอาจารย์ทั้งสอง แต่ในใจคาดเดาว่ามีความเกี่ยวข้องกับจือชิงหวังเจี้ยนหัวจากหมู่บ้านต้าเหอคนนั้น
หวังเจี้ยนหัวก็สอบติดมหาวิทยาลัยไปแล้ว เมื่อก่อนเสี่ยวหลานดีกับเขา ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะเล่าเรียนด้วยกัน
แต่หลิวหย่งพูดเรื่องนี้ได้หรือ?
พูดออกมาก็จะต้องกล่าวถึงรักสามเส้าระหว่างเซี่ยจื่ออวี้ หวังเจี้ยนหัว และเซี่ยเสี่ยวหลาน ในเรื่องราวยุ่งเหยิงของความสัมพันธ์นั้นเซี่ยเสี่ยวหลานพ่ายแพ้แก่เซี่ยจื่ออวี้ และผู้แพ้ก็ต้องแบกกิตติศัพท์ยั่วยวนว่าที่พี่เขยไปโดยปริยาย จะพูดต่อหน้าอาจารย์จากเซี่ยนอีจงได้อย่างไร!
คำขอนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้เหล่าวังลำบากใจ
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเด็ดเดี่ยวในความคิด หากเซี่ยนอีจงไม่เห็นด้วย เธอก็ไม่ถือที่จะไปสมัครเรียนที่เอ้อร์จง
เหล่าวังจะยอมปล่อยต้นกล้าอนาคตปริญญาตรีชั้นนำให้เอ้อร์จงได้อย่างไร จึงทำได้เพียงบอกว่าขอหารือกับทางผู้บริหารโรงเรียนเสียก่อน
หารือได้ก็ดีน่ะสิ เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าเรื่องนี้น่าจะสำเร็จได้แน่ จากนั้นพวกเขาจึงแยกทางใครทางมันกับอาจารย์ทั้งสองที่เขตอันชิ่ง อาจารย์ฉีไม่พอใจในตัวหลิวหย่งเท่าไรนัก
ศึกษาด้วยตนเองคือข้ออ้าง อาจารย์ฉีคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกังวลเรื่องสถานะทางการเงินของครอบครัวต่างหาก
มีใจเพชรเป็นเรื่องดี แต่เด็กคนนี้ใจเพชรเกินไปแล้ว… คนเป็นลุงก็ควรหนักแน่นบ้าง ห้ามปล่อยให้เซี่ยเสี่ยวหลานทำลายอนาคตของตัวเอง
ครูแนะนำว่าเธอมาโรงเรียนเข้าเรียนตามปกติดีกว่านะ
ขอบคุณครูฉีมากเลยค่ะ แต่หนูตัดสินใจแล้ว
เหลวไหล
เธอสอบมหาวิทยาลัยเพราะต้องการก้าวไปข้างหน้า และเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมของตนเอง
อีกยี่สิบสามสิบปีผ่านไป นักศึกษามหาวิทยาลัยในยุค 80 กลุ่มนี้จะครองตำแหน่งสำคัญของแต่ละสายงานไปจนถึงหน่วยงานรัฐ เซี่ยเสี่ยวหลานตระหนักว่าไปเรียนมหาวิทยาลัยสร้างสัมพันธ์ทางสังคมไว้ตอนนี้ อนาคตจะมีประโยชน์อีกมากมาย มนุษย์อาศัยอยู่บนโลก ไม่มีทางต่อสู้อย่างเดียวดายในสนามรบไปตลอดกาลได้
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยต้องสำคัญอย่างแน่นอน ต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานมองการณ์ไกลสักเท่าไร แต่เธอก็ต้องใส่ใจกับปัจจุบันด้วย
ถอดความจนสร้างความรวยมุ่งสู่ชีวิตมั่งคังให้เร็วที่สุด แก้ไขปัญหาปากท้องคือเป้าหมายอันดับแรกของเซี่ยเสี่ยวหลาน
สอบมหาวิทยาลัยได้จริงหรือ…
หลิวหย่งยิ้มเงอะงะตลอดทาง
เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าแท้จริงเซี่ยเสี่ยวหลานแซ่ ‘เซี่ย’ เพราะเห็นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็นคนของตนโดยสมบูรณ์ ความเบิกบานที่เต็มเปี่ยมคือตระกูลหลิวจะมีนักศึกษามหาวิทยาลัยสักคนแล้ว ช่างเป็นเกียรติ์เป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลเหลือเกิน!
เขาเห็นด้วยกับวิธีของอาจารย์ เซี่ยเสี่ยวหลานควรไปเข้าเรียนในโรงเรียนตามปกติ คนอื่นเรียนซ้ำสองสามปียังสอบไม่ติดก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป จริงอยู่ที่คะแนนสอบของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เลว แต่ย่อมไม่ควรทะนงตนด้วยเหตุผลนี้ ไปโรงเรียนตามปกติเพื่อทุ่มเทจิตใจทั้งหมดให้กับการเรียน พยายามมุ่งมั่นสักครั้ง ปีหน้าก็สอบมหาวิทยาลัยดีๆ สักแห่ง!
หลิวหย่งไม่ได้กล่าวอะไรมาก เขาจะรอหลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยกลับมาก่อน ค่อยร่วมมือกันกดดันเซี่ยเสี่ยวหลาน
จริงหรือ?!
หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยเข้าหมู่บ้านโน้นออกหมู่บ้านนี้คอยรับซื้อปลาไหล จักรยานถูกเซี่ยเสี่ยวหลานขี่ไปแล้ว หลิวเฟินและหลี่เฟิ่งเหมยจึงอาศัยการเดินเท้า
ทำงานทั้งวันไม่ต้องพูดถึงว่าเหน็ดเหนื่อยเพียงไหน แต่พอกลับบ้านมาได้ยินข่าวดีเข้า หลิวเฟินปลื้มปีติเสียจนเหม่อลอย
เรื่องนี้จริงแท้อย่างไม่ต้องสงสัย อาจารย์จากเซี่ยนอีจงมาแจ้งผลด้วยตนเอง บอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่เพียงผ่านการทดสอบเข้าเรียนระหว่างภาคเรียนของโรงเรียนได้ มากไปกว่านั้นคือโอกาสสอบติดมหาวิทยาลัยในปีหน้าก็มีมากโข
ไปเรียนหนังสือ ตั้งใจเล่าเรียน แม่ส่งเสียลูกเอง…
หลิวเฟินออกปากพึมพำประโยคเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา
ไม่สนตรรกะ ไร้ลำดับคำ เห็นได้ชัดว่าเธอดีใจมากเกินไปแล้ว
หลิวเฟินรู้สึกใช้ชีวิตล่องลอยเหมือนความฝัน ก่อนหน้านี้ลูกสาวพยายามฆ่าตัวตาย พวกเธอแม่ลูกถูกไล่ออกจากตระกูลเซี่ยทั้งที่ตัวเปล่าไร้ต้นทุนใดๆ เซี่ยเสี่ยวหลานราวกับมีเหตุผลขึ้นในชั่วข้ามคืน ชีวิตของสองแม่ลูกไม่ใช่ยิ่งผ่านไปยิ่งย่ำแย่ แต่กลับยิ่งผ่านไปยิ่งดีเลิศ! หย่าร้างด้วยความราบรื่น ย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม เซี่ยเสี่ยวหลานทำเงินจากธุรกิจ ความเปลี่ยนแปลงในด้านดีเหล่านี้สั่งสมทีละเล็กทีละน้อย… จวบจนถึงวันนี้ ข่าวดีที่อาจารย์จากเซี่ยนอีจงนำมาให้ นอกจากเซี่ยเสี่ยวหลานมีโอกาสสอบมหาวิทยาลัยได้ ความเป็นไปได้ที่จะสอบติดก็มีมากด้วย!
มหาวิทยาลัยชั้นนำ?
หรูหราเกินไปแล้ว
แม้เป็นเพียงสถาบันวิชาชีพหรืออาชีวศึกษาก็ตาม
ชะตาของเซี่ยเสี่ยวหลานต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงแน่!
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ทันไปรายงานตัวที่เซี่ยนอีจง หลิวเฟินก็เหมือนมองเห็นอนาคตอันแสนสดใสสวยงามเสียแล้ว
การศึกษาเปลี่ยนแปลงชีวิต รัฐจัดสรรอาชีพให้ ภูมิลำเนาชนบทกลายเป็นภูมิลำเนาเมือง ได้ถือชามข้าวเหล็ก [1] บอกลาข่าวลือไม่น่าพิสมัยเหล่านั้นจนหมดสิ้น—อนาคตเช่นนี้ แม้ยังไม่ชัดเจนดั่งมองบุปผาในสายหมอก ทว่าสอดคล้องกับความหวังของหลิวเฟินมากเหลือเกิน
เธออยู่ในอารมณ์ตื่นเต้นตื้นตัน ทว่าสุดท้ายกลับลงท้ายด้วยปิดหน้าร่ำไห้โอดครวญ
หลานฟังคำพูดแม่ของหลานเถอะ ตั้งใจเรียนเสีย เรื่องธุรกิจอย่ากังวล หากไม่ไหวยังมีลุงอยู่ หลานยังต้องกลัวอะไรอีก!
ใช่แล้ว เด็กคนนี้นี่นะ ครอบครัวเดียวกันไม่อนุญาตให้เกรงใจ
หลิวหย่งและหลี่เฟิ่งเหมยผลัดกันเข้าสนามไกล่เกลี่ยคนละตา
เซี่ยเสี่ยวหลานลังเลเข้าเสียแล้ว เธอรีบร้อนเกินไปหรือเปล่า สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนค่อยทำธุรกิจไม่ได้หรือ?
ไม่ได้… ยุคสมัยกำลังเกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ เธอเองก็ไม่ใช่ยอดคนผู้ถูกลิขิตมาให้เปล่งประกายแสง แต่เธอมีประสบการณ์และความรู้จากอนาคตมากกว่าคนอื่นอยู่มาก หากไม่ใช้เวลาให้คุ้มค่า เธอจะไขว่คว้าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าชาติก่อนได้อย่างไร!
เธอไม่ได้มาเพื่อเป็นผู้พ่ายแพ้!
จิตใจที่วอกแวกของเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งมั่นขึ้นอีกครั้ง หาเงินทองและเรียนหนังสือมิได้ขัดแย้งกัน สามารถใส่ใจทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้ เธอตั้งใจจะลงแรงกายมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน
เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร?
เธอจะทำให้สำเร็จให้ได้
เธอกอดหลิวเฟินผู้กำลังร้องไห้โยเยเอาไว้
แม่ แม่เชื่อฉันนะ
เชิงอรรถ
[1] 铁饭碗 ชามข้าวเหล็ก หมายถึง อาชีพการงานที่มั่นคงมาก