เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 3 ตอนที่ 61 อันที่จริงเธอมีผู้หนุนหลังแล้ว
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 3 ตอนที่ 61 อันที่จริงเธอมีผู้หนุนหลังแล้ว
คังเหว่ยอยู่ที่บ้าน นั่งไม่ติดที่เหมือนใต้ก้นโรยตะปูตัวใหญ่เอาไว้.
เมื่อทนไม่ไหวอีกต่อแล้ว เขาจึงรีบพุ่งไปหาโจวเฉิง
เขาไปบ้านโจวอยู่บ่อยครั้ง คนตระกูลโจวจึงไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า
ทว่าคังเหว่ยค่อนข้างกลัวบิดาของโจวเฉิง เลยจงใจไปตอนเวลาเที่ยงวัน
เพราะในเวลานี้ลุงโจวไม่มีทางอยู่บ้านเป็นแน่
เมื่อคังเหว่ยมาถึง โจวเฉิงหยิบของกองหนึ่งโยกไปโยกมาอยู่ภายในห้อง
พี่เฉิงจื่อ ทำอะไรน่ะ?
โจวเฉิงนำสิ่งของเก็บใส่ในถุง พี่สะใภ้นายไปโน่นมานี่คนเดียว ฉันจะหาของป้องกันตัวให้เธอเสียหน่อย
ของพวกนี้ไม่ได้หากันง่ายดาย ไม่พัฒนาไว้สำหรับให้พลเมืองใช้งานด้วยซ้ำ
แม้แต่โจวเฉิงเองก็ใช้เวลาไปมากถึงจะหามาได้ ถ้าไม่ใช่เพื่อรอสินค้า เขาคงรีบพุ่งไปเขตอันชิ่งตั้งนานแล้ว
คงไม่อยู่บ้านได้นานถึงสองสัปดาห์แน่
คังเหว่ยปิดประตูอย่างลับๆ ล่อๆ ราวกับขโมยขโจร
พี่เฉิงจื่อ พี่ยังจะไปเขตอันชิ่งอีกหรือ?
นายรำคาญฉันหรือ? คิดว่าลู่ทางนี้ทำจนชินแล้วจะทำคนเดียวก็ได้สินะ? ได้ ฉันหารถสักคันด้วยตัวเอง พวกเราต่างคนต่างขนสินค้า
ที่ฉันพูดก่อนหน้านี้ก็ช่างมัน ลู่ทางหากินของเมื่อก่อนเป็นของนาย
ฉันจะไปหาหนทางใหม่
โจวเฉิงกล่าวเช่นนี้เป็นการรังแกคังเหว่ยจนแทบร้องไห้แล้ว`
วิธีของโจวเฉิงทำเงินได้จำนวนมากขนาดไหน
คังเหว่ยรู้ดีกว่าใครทั้งนั้น ต่อให้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
ก็ไม่จำเป็นต้องให้ช่องทางทำเงินนี้แก่เขา กำไรในนี้มหาศาล
โจวเฉิงมิใช่ไร้พี่น้องสกุลเดียวกัน พี่น้องแท้ๆ ไม่มีก็จริง แต่ยังมีลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดามารดาอีกไม่ใช่หรือ? โจวเฉิงดูแลเขาเป็นเพราะว่าสงสารเขาต่างหาก
ในฐานะที่เป็นน้อง ผมพูดผิดไปแล้ว ผมขอโทษพี่อย่างจริงจังจริงใจเลยนะ
อย่าปฏิเสธที่จะพาผมไปเที่ยวเล่นด้วยเด็ดขาด… ถ้าพี่เฉิงจื่อยอมไปกับผม
ผมต้องขอบคุณพี่เป็นพันเป็นหมื่นครั้งเลย!
พอแล้ว ฉันรับรู้ความตั้งใจของนาย
โจวเฉิงไม่ปฏิเสธว่าตนเองตกหลุมรักเซี่ยเสี่ยวหลานตั้งแต่แรกพบ
บุรุษตามไขว่คว้าหัวใจสตรี ต้องสร้างสรรค์โอกาสพบพานให้มากเข้าไว้อยู่เสมอ
แต่การเลื่อนเวลาไม่กลับไปจะกระทบต่ออนาคตของตนเอง โจวเฉิงรู้ดีอย่างถ่องแท้
การลงโทษฐานผิดวินัยก่อนหน้านี้ของเขาทางหน่วยงานได้แถลงคำชี้แจงใหม่แล้ว
ไม่ใช่เพราะบ้านโจวช่วยทั้งหมด เบื้องบนมีหัวหน้าใหญ่ที่โปรดปรานโจวเฉิงมาก
จึงยินดีใส่ใจกับเรื่องของเขา
แต่เขาชอบใครสักคนเป็นครั้งแรก ควบคุมความคิดของตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำ
และโจวเฉิงก็ไม่ต้องการควบคุมมันด้วย
อย่างมากฉันคงทำอีกสักสองรอบ โดยไม่ให้กระทบกับเวลาของงานหลัก
โจวเฉิงคำนวณพร้อมอธิบายต่อคังเหว่ย
เขาไม่ใช่นิสัยประเภทจะอธิบายอะไรกับใคร
ทว่าคังเหว่ยเป็นผู้รู้รายละเอียด
โจวเฉิงเห็นเขามีความเครียดอันหนักหน่วงถึงได้พูดไป
ตามความคิดของโจวเฉิง เขาคิดว่าผู้ชายคนหนึ่งมีหรือไร้อนาคตได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
อนาคตที่ดีนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งของชีวิต
หรือเรื่องใดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น แต่ในครอบครัวคาดหวังกับเขาไว้สูง
โจวเฉิงอายุได้สิบกว่าปีถูกส่งไปแบกปืน คำบังคับบัญชานั่นมิใช่แค่คิดว่าจะหลุดพ้นก็พ้นได้ง่ายดายขนาดนั้น
ฉวยโอกาสที่ยังมีเวลา อยู่ข้างกายภรรยาในอนาคตของเขาให้มากหน่อยแล้วกัน
โจวเฉิงจัดเก็บสัมภาระ ให้คังเหว่ยเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้จะออกเดินทาง
คังเหว่ยใจหนึ่งเบิกบานทว่าอีกใจหนึ่งกลับกังวลเหลือเกิน
เบิกบานเพราะเขาจะได้ตามโจวเฉิงไปหาเงินอีกครั้ง กังวลเพราะหากหลังบ้านโจวรู้เข้า
แม้พวกเขาจะจัดการโจวเฉิงไม่ได้ แต่เขาจะต้องหันมาถลกหนังของคังเหว่ยออกแทนแน่นอน
ตระกูลโจวธรณีประตูสูง [1] จะยอมรับเซี่ยเสี่ยวหลานได้อย่างไร?
พอคังเหว่ยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ พบว่ามีความเป็นไปได้น้อยเหลือเกิน
แม้ไม่กล่าวถึงการสมรสเพื่อปรองดองกัน
แต่คนตระกูลเซี่ยต้องมีมาตรฐานสำหรับคู่ชีวิตของโจวเฉิงอยู่แน่นอน
ไม่ว่าจะมองสถานะของเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างไร ล้วนไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการเลือกสะใภ้ของตระกูลโจว
ทว่าหากเปรียบเป็นสถานการณ์ของครอบครัวเขาเองก็คงไม่ต่างกันมาก
บิดานั้นเสียชีวิตไปแล้ว คุณปู่คุณย่าทนความรั้นของเขาไม่ไหว มารดาเขาอาจจะคัดค้าน
แต่คังเหว่ยมั่นใจว่าสามารถจัดการให้ลงตัวได้
หยุดเลย คิดอะไรกันนะ หน้าตาสวยเพียงใดก็คิดเกินเลยไม่ได้
นั่นคือว่าที่พี่สะใภ้ของเขาเชียวนะ
คังเหว่ยช่างน่าขัน
ตนเองคิดว่าตระกูลโจวไม่อาจยอมรับเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกโจวเฉิงล้างสมองให้ยอมรับในตัวเซี่ยเสี่ยวหลานไปเสียแล้ว—อย่างไรเสียเรื่องที่โจวเฉิงอยากทำ เรื่องไหนๆ ล้วนสำเร็จเสร็จสิ้น
คังเหว่ยจึงเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างไม่ลืมหูลืมตา
โจวเฉิงนำของที่จะให้เซี่ยเสี่ยวหลานยัดลงใต้เตียง ธุระที่ฉันวานนายสืบ ได้เบาะแสแล้วหรือยัง? !
โจวเฉิงวานคังเหว่ยตรวจสอบเซี่ยจื่ออวี้
นักศึกษามหาวิทยาลัยจากเขตอันชิ่งมณฑลอวี้หนาน เซี่ยจื่ออวี้สินะ
เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ในปักกิ่ง วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง
คังเหว่ยเหยียดริมฝีปาก นึกว่าสอบติดจิงต้า [2] แล้วเสียอีก!
แทบจะเยินยอเซี่ยจื่ออวี้จนลอยขึ้นฟ้ากันหมดแล้ว
และคังเหว่ยไม่เห็นด้วยว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ตัวเขาเองไม่ได้อยากเรียนมหาวิทยาลัย
แต่ถ้าอยากเรียนหนังสือจริง
ก็ไม่อาจจัดแจงให้เขาเรียนเพียงวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งแน่
จะว่าอย่างไรก็เป็นถึงลูกชายของวีรบุรุษผู้เสียสละชีพ ต่อให้สถานะตระกูลคังไม่ดีอีกเท่าไร
คังเหว่ยก็ยังควรได้รับสิทธิพิเศษมากเสียหน่อย
คู่หมายของเซี่ยจื่ออวี้นั่นก็อยู่ที่วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง…
พวกเรารู้จักด้วย เขาคือหวังเจี้ยนหัว
ชื่อประเภทเจี้ยนกั๋วรึเจี้ยนหัวนั้นธรรมดาดาษดื่นเสียเหลือเกิน
ยิ่งแซ่หวังยิ่งมีคนใช้กันมากมายเต็มไปหมด
แรกเริ่มเดิมทีชื่อหวังเจี้ยนหัวนี้ไม่ดึงดูดความสนใจของคังเหว่ยเลยแม้แต่น้อย
แต่เขาจะไปสืบเรื่องเซี่ยจื่ออวี้
ย่อมต้องสืบถึงว่าที่พี่เขยผู้ที่เซี่ยเสี่ยวหลานเคยเปลือยกายยั่วยวนตอนกลางวันแสกๆ
ตามคำบอกเล่าด้วยเช่นกัน
เมื่อตรวจสอบเสร็จก็พบว่าน่าสนใจขึ้นมา กลับเป็นหวังเจี้ยนหัวคนที่เขารู้จักขึ้นมาเสียได้
โลกช่างแคบจริงๆ
หลายปีก่อนตระกูลโจว ตระกูลคัง และตระกูลหวังสถานะไม่แตกต่างกันมากนัก
ตอนนี้ตระกูลโจวมีภาษีดีที่สุด ตระกูลคังจะแย่ลงมาหน่อย
ส่วนตระกูลหวังถูกเตะออกจากแวดวงไปนานมากแล้ว หวังเจี้ยนหัวโตกว่าพวกเขาเล็กน้อย
ตอนเด็กทุกคนไม่ได้เข้ากันดีนัก หลังจากตระกูลหวังร่อแร่
คังเหว่ยได้ยินมาว่าหวังเจี้ยนหัวก็โดนย้ายไปใช้แรงงานที่อื่นแล้ว
จึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
คิดไม่ถึงว่าจะได้ข่าวคราวของหวังเจี้ยนหัวอีกครั้งในสถานการณ์แบบนี้
หวังเจี้ยนหัว?
หลังจากตระกูลหวังเกิดเรื่องขึ้นก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย
โจวเฉิงเกือบลืมแล้วว่าหวังเจี้ยนหัวมีหน้าตาเป็นอย่างไรแล้วด้วยซ้ำ
อย่างไรเสียก็คงหล่อเหลาเทียบเขาไม่ได้
ในชั่วพริบตาเดียวโจวเฉิงก็ไม่ได้ให้ความสนใจอันใดกับเรื่องนี้อีก
หวังเจี้ยนหัวในความทรงจำนั้นทะนงไม่เบา เวลามองคนอื่นเหมือนดวงตาอยู่เหนือศีรษะ
ลงชนบทไปตรากตรำตั้งหลายปี จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่นะ?
โจวเฉิงเชื่อมั่นในตนเองมาก ถ้านำตัวเขาและหวังเจี้ยนหัวมาวางไว้ด้วยกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานต้องเลือกเขาอย่างแน่นอน
สืบได้ทั้งสองคนก็ยิ่งดี แต่ยังไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขา
ใครเคยรังแกภรรยาของเขาเอาไว้ โจวเฉิงไม่มีวันลืม
แต่จะจัดการสองคนนี้อย่างไร โจวเฉิงจะทิ้งไว้ถามความคิดเห็นของเซี่ยเสี่ยวหลานก่อน
เซี่ยจื่ออวี้กับจางเสเพลนั้นไม่เหมือนกัน จางเสเพลนั่นเป็นเพียงพวกเหลือขอ
แต่เซี่ยจื่ออวี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยวหลาน โจวเฉิงแค่รู้สึกว่าเรื่องราวระหว่างนี้ไม่ค่อยปกตินัก
เซี่ยจื่ออวี้ทำอะไรไปบ้างก็ไม่มีข้อมูลรับรู้อย่างชัดเจน
เช่นนั้นก็ค่อยๆ ตรวจสอบไป อย่าได้คิดหนีแม้แต่คนเดียว
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่รู้ว่าเธอมีคนหนุนหลังแล้ว
แต่แม้จะรู้ เธอก็ไม่ขอพึ่งพาโจวเฉิงแน่นอน ‘อาศัยภูเขา เขาถล่ม พึ่งพิงคน คนหนีหาย’ ใครจะให้พึ่งพาได้ทั้งชาติกัน? ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นย่อมถูกต้องที่สุด
ส่งผลผลิตให้แก่รัฐเรียบร้อย เหล่าเกษตรกรไม่ใช่ว่าจะได้พักผ่อนเสียทีเดียว
อีกสักพักก็จะต้องหว่านเมล็ดข้าวสาลีและผักกาดก้านขาว หน้าดินจึงต้องราบเรียบ
งานที่หลี่เฟิ่งเหมยต้องทำยังรออยู่อีกมากมาย และเธอไม่ยอมให้เซี่ยเสี่ยวหลานช่วยเหลือด้วย
เธอบอกว่ามือของเซี่ยเสี่ยวหลานมีไว้ถือปากกา ไม่ได้มีไว้ถือจอบคอยพลิกหน้าดิน
ธุรกิจของหลานน่ะ มีแค่หลานกับแม่ทำกันอยู่สองคน จะทำไหวหรือ?
หลี่เฟิ่งเหยไม่เพียงแต่ไม่ยอมให้เซี่ยเสี่ยวหลานช่วยงาน
เธอยังกังวลถึงธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานด้วย
ตอนนี้เป็นหลิวเฟินที่ไปส่งสินค้าในซางตู
ตอนกลางวันเซี่ยเสี่ยวหลานรับซื้อสินค้าทุกหนแห่ง ตอนเย็นถึงมีเวลาทบทวนบทเรียน
เวลาที่หลิวเฟินไม่ส่งสินค้า ก็เป็นหลิวเฟินไปรับซื้อสินค้าแทน ทำเช่นนี้เซี่ยเสี่ยวหลานจึงสามารถอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านได้ทั้งวัน
ดังนั้นแท้จริงแล้วผู้ที่เหนื่อยที่สุดคือหลิวเฟินต่างหาก
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าในเวลานี้อัตราการใช้งานเครื่องจักรทางการเกษตรมีระดับที่ต่ำมาก
ก่อนหว่านเมล็ดข้าวสาลีและผักกาดก้านขาวต้องกลับที่ดินทั้งผืนนา บางคนอาศัยใช้จอบ
บางคนใช้วัวลากคันไถไถนา บ้านหลิวไม่มีวัว หลี่เฟิ่งเหมยยังต้องเชิญคนอื่นมาช่วยไถนาด้วย
วัวที่ผู้อื่นเลี้ยง ไม่ได้เลี้ยงโดยไม่เสียเงิน ปกติต้องใช้เวลาใช้เงินเพื่อเลี้ยงดูไปตั้งเท่าไรกัน? ไถนาหนึ่งหมู่ไม่ว่าเท่าไรก็มีราคา แม้เสียดายเงินส่วนนี้แต่ก็ต้องจ่ายอยู่ดี
ในบ้านขาดแรงงานที่แข็งแกร่งไปหนึ่งคน
งานเกษตรจึงตกอยู่กับหลี่เฟิ่งเหมยเพียงคนเดียว เดิมทีหลิวเฟินก็เป็นมือฉมังด้านงานเกษตร
อีกอย่างที่ดินของหลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ถูกแบ่งอย่างเรียบร้อย
หลิวเฟินสามารถช่วยงานได้… ทว่าทุกวันนี้หลิวเฟินยุ่งกว่าทำงานเกษตรเสียอีก
หลี่เฟิ่งเหมยจะวานให้น้องสาวสามีลงไร่นาได้อย่างไรกัน?
หลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่อยู่บ้านเปล่าๆ ปลี้ๆ
เซี่ยเสี่ยวหลานได้ใช้จ่ายเงินในชีวิตประจำวันทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
ที่จริงสองแม่ลูกแค่มีที่พักแรมอยู่กับบ้านหลิว ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะอาศัยหลี่เฟิ่งเหมยและสามีให้เลี้ยงดูปูเสื่อ
เซี่ยเสี่ยวหลานกังวลว่าในมือของป้าสะใภ้จะไม่มีเงิน
ก่อนหน้านี้หลิวหย่งให้เงินเธอ 50 หยวนไว้เป็นต้นทุน ในบ้านจะไม่กักตุนสินค้าปลาไหลไว้เยอะขนาดนั้นแล้ว
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงนำเงินออกมาคืน
ตอนยืม ยืม 50 หยวน
ตอนคืนเธอเตรียมต้าถวนเจี๋ยไว้ 10 ใบ
หลานทำอะไร?! รีบเก็บกลับไปเลย! เงินนี้ลุงของหลานเคยบอกแล้วว่านั่นเป็นเบี้ยเลี้ยงให้กับหลาน
ถ้าทำแบบนี้ ป้าจะโกรธแล้วนะ!
เป็นตายหลี่เฟิ่งเหมยก็ไม่ยอมรับเงินก้อนนี้
50 หยวนนั้นถือเป็นเงินไม่น้อยเลย แต่ก็ไม่ถือว่ามากเช่นกัน
อย่าว่าแต่ 50 หยวน ต่อให้เป็นเงิน 5000 หยวน หรือต่อให้หลิวหย่งผู้เป็นลุงคนนี้สามารถหาเงินมาได้มากมายหรือน้อยไปกว่านี้
แต่หลี่เฟิ่งเหมยก็ไม่อาจรับคืนได้อีก สามีภรรยาเหมือนคนคนเดียวกัน
เมื่อหลิวหย่งตัดสินใจแล้ว หลี่เฟิ่งเหมยจึงไร้ข้อกังขาแน่นอน
ถึงอย่างไรหากเป็นเงิน 5000 หยวนจริง หลี่เฟิ่งเหมยย่อมเสียดายแน่ แต่ก็มิใช่การเสียดายต่อหน้าเซี่ยเสี่ยวหลาน
ป้าสะใภ้ไม่รับเงิน เซี่ยเสี่ยวหลานคิดไปคิดมาก็ยิ้มกว้าง
ป้าไม่รับก็ได้ ในช่วงเวลานี้ฉันจะทำธุรกิจอื่น เงินส่วนนี้เท่ากับลุงเป็นผู้ร่วมลงทุนแล้ว
เชิงอรรถ
[1]门槛高 ธรณีประตูสูง
หมายถึง มีมาตรฐานต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งสูง
[2] จิงต้า ผู้แต่งหมายความเปรียบเทียบกับ
北京大学 มหาลัยแห่งชาติปักกิ่งที่มีชื่อเสียง
มีมาตรฐานสูงกว่าวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่ง ที่เซี่ยจื่ออวี้สอบเข้าได้