เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 3 ตอนที่ 63 โทรเลขฉบับหนาราวจดหมาย
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 3 ตอนที่ 63 โทรเลขฉบับหนาราวจดหมาย
สวย…
บุรุษไปรษณีย์ไม่กล้ามองนานกว่านี้ ด้วยจรรยาบรรณเดิมของอาชีพ เขาจึงให้คำแนะนำเปี่ยมน้ำใจกับเธอ
หากไม่ใช่เรื่องด่วนคอขาดบาดตาย สามารถเขียนจดหมายส่งได้ ที่ทำการไปรษณีย์ก็จะส่งให้ถึงชนบท
เซี่ยเสี่ยวหลานรับ ‘จดหมายโทรเลข’ ไว้ บุรุษไปรษณีย์คิดว่าส่งโทรเลขเป็นการสิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ และเขาว่าเธอสะสวยก็จริงแต่กลับฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย ในขณะที่เซี่ยเสี่ยวหลานได้แต่เดาว่าใครเป็นคนส่งโทรเลขให้เธอกัน พฤติกรรมเศรษฐีท้องถิ่นเผด็จการเช่นนี้คิดดูแล้วมีเพียงแค่โจวเฉิงเท่านั้น เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ทันอ่านก็กล่าวถึงเรื่องจดหมายแนะนำแทน
เฉินวั่งต๋าได้ยินว่าเธอจะไปหยางเฉิง สีหน้าจึงขึงขังเข้มงวดขึ้นมาเล็กน้อย
หญิงสาวออกไปไกลบ้านคนเดียว ระหว่างเดินทางอาจพบสถานการณ์ที่หลากหลาย เธอต้องระแวดระวังตัวหน่อยนะ
ปู่เฉินวางใจเถอะ ฉันจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
เซี่ยเสี่ยวหลานตอบรับอย่างว่านอนสอนง่าย แม้เฉินวั่งต๋าจะไม่เห็นด้วย แต่เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ใช่บุตรหลานในครอบครัวเขา เขาได้เพียงตักเตือนอีกฝ่าย แต่ไม่สามารถติดสินใจแทนเซี่ยเสี่ยวหลานได้ และเพราะเธอสนิทสนมกับตระกูลเฉิน การขอจดหมายแนะนำจึงไม่มีอะไรยุ่งยาก เรื่องที่เซี่ยเสี่ยวหลานจะไปข้างนอกไม่ดังเท่าเรื่องที่เธอได้รับจดหมายโทรเลขด้วยซ้ำ
อย่างไรคนตระกูลเฉินก็รับรู้แล้ว
สะใภ้ใหญ่เฉินกล่าวกับสามีตนด้วยความกลุ้มอกกลุ้มใจ
ความสัมพันธ์ระหว่างญาติสนิทมิตรสหายก็ซับซ้อน [1] ทีเดียวนะ ลูกชายเราซื่อสัตย์จริงใจ จะกำราบเด็กคนนี้อยู่หรือ?
ความคิดจิตใจของคนเป็นแม่สามีในทั่วหล้าล้วนไม่ต่างกันมาก ลูกชายหาภรรยาที่ธรรมดารู้สึกไม่คู่ควร พอหาภรรยาที่ก๋ากั่นก็รู้สึกไม่เหมาะสม เฉินเหล่าต้าไม่มีความคิดยุ่งเหยิงมากขนาดนั้น บ้านหลิวหย่งไม่ใช่บอกกับคนทั้งหมู่บ้านไว้แล้วหรือ? รอให้หลานสาวสอบติดมหาวิทยาลัยก่อนค่อยพิจารณาเรื่องคบหาคู่หมาย
สะใภ้ใหญ่เฉินค้อนสามีไปหนึ่งที
เดิมทีเธอก็คิดไว้ หากเซี่ยเสี่ยวหลานสอบติดมหาวิทยาลัย เช่นนั้นค่อยคู่ควรกับเฉินชิ่ง
ทว่าตอนนี้มิใช่เซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับคนอื่นอยู่อีกหรือ เมื่อมีคู่ต่อสู้ช่วงชิงเธอ คุณค่าของเซี่ยเสี่ยวหลานก็ประจักษณ์แก่สายตาว่าล้ำค่ายิ่งนัก
คุณว่าน่าจะเป็นใครที่ส่งโทรเลขให้เธอ? บ้านใครกันนะถึงจะมีเงินขนาดไหนก็ไม่ควรทำแบบนี้อยู่ดี!
สะใภ้ใหญ่เฉินตัวอยู่ที่บ้านแต่ใจโบยบินไปถึงบ้านหลิวแล้ว แทบอยากจะแย่งโทรเลขที่เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับมาอ่านเองเสีย
สวัสดีเสี่ยวหลาน ฉันเอง หลังจากกันครั้งก่อน แม้อยากมาอันชิ่งเยี่ยมเยียนเธอโดยเร็ว ทว่ากลับมีเรื่องจุกจิกที่ปักกิ่งรั้งตัวไว้ ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน ไม่รู้เธอมีความรู้สึกแบบเดียวกันหรือไม่ ตอนเธอได้เห็นจดหมายฉบับนี้ ฉันคงอยู่ระหว่างเดินทางจากปักกิ่งไปเขตอันชิ่ง คาดว่าถึงในอีกสามวันให้หลัง ฉันยังคงจะอยู่ที่บ้านพักเดิม หวังว่าจะได้พบหน้าเธอ… โจวเฉิงผู้คิดถึงเธอ
จดหมายโทรเลขฉบับนี้ของโจวเฉิงบันทึกความนึกคิดของเขาที่ไหลหลั่งพรั่งพรู
เขาเขียนไว้ถึงหนึ่งพันกว่าตัวอักษร
นอกจากนัดพบกับเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว เนื้อหาอื่นล้วนมีแต่คำว่าคิดถึงเซี่ยเสี่ยวหลานเพียงใด เฝ้าคอย ‘คำหวาน’ ในอนาคตของทั้งสองอย่างไร เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกปวดเหงือก ทว่าไม่ถึงกับรำคาญ เธอนึกว่าตนกับโจวเฉิงพานพบกันเพราะมีวาสนาเท่านั้น หลังคนคนนี้จากอันชิ่งไปก็ไร้ความเคลื่อนไหว คิดไม่ถึงว่าตอนหวนกลับมาจะกระโตกกระตากได้ขนาดนี้—โจวเฉิงฉลาดออกขนาดนั้น ถ้าอีกสามวันได้พบหน้า ส่งโทรเลขประโยคเดียวก็บรรยายได้ครอบคลุมแล้ว ประโคมเขียน ‘จดหมายโทรเลข’ ตั้งหนึ่งฉบับ คนในหมู่บ้านชีจิ่งจะอดทนไม่ซุบซิบนินทากันได้หรือ?!
‘ประกาศตนเป็นเจ้าของ’
ในสมองของเซี่ยเสี่ยวหลานมีประโยคนี้ผุดออกมา
แล้วบอกว่าเป็นเพื่อนกันก่อน?
โจวเฉิงคนนั้นช่างปากไม่ตรงกับใจเสียจริง
เซี่ยเสี่ยวหลานขำขันและรู้สึกว่าแปลกประหลาด!
ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่เธอไม่เกลียดจดหมายโทรเลขที่มีเนื้อหาโฉ่งฉ่างฉบับนี้ เพราะถึงอย่างไรคนในหมู่บ้านชีจิ่งก็ทำได้มากที่สุดแค่ซุบซิบกันเท่านั้น อย่าไรเสียพวกเขาก็ไม่รู้จักโจวเฉิง ความคาดเดาต่างๆ ต้องแพร่ไปถึงหูคนตระกูลเฉินอยู่ดี เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความรู้สึกฉันหนุ่มสาวต่อเฉินชิ่งแม้แต่น้อย ตระกูลเฉินช่วยเหลือพวกเธอแม่ลูกไว้มากมาย เธอไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเกิดรอยร้าว
โทรเลขยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด หากไม่มีจดหมายแนะนำฉบับนี้ แค่ซื้อตั๋วรถไฟสักใบยังลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการกินดื่มพักเที่ยวอยู่ต่างถิ่น เวลานี้ผู้คนยังไม่มีบัตรประชาชน จดหมายแนะนำเป็นสิ่งเดียวที่สามารถยืนยันข้อมูลส่วนบุคคลได้ บนนั้นเขียนข้อมูลพื้นฐานของผู้ถือจดหมาย รวมถึงสถานที่ปลายทางที่จะไปเยือนโดยประมาณเอาไว้
เซี่ยเสี่ยวหลานมีทะเบียนบ้านอยู่ในมณฑลอวี้หนาน เมืองเฟิ่งเสียน เขตอันชิ่ง หมู่บ้านชีจิ่ง เดินทางเพื่อ ‘เยี่ยมเยียนครอบครัว’… ในหมู่บ้านชีจิ่งไม่มีแม้แต่ธุรกิจท้องถิ่นสักอย่าง คงไม่อาจบอกว่าเธอจะไปเพื่อทำการค้าขายส่งเสื้อผ้า อีกอย่างเธอก็ไม่ใช่ตัวแทนจัดซื้อสินค้าของหมู่บ้านด้วย
ป้าจ้ะ ได้จดหมายแนะนำมาแล้ว
หลี่เฟิ่งเหมยรู้หนังสือ เธออ่านจดหมายแนะนำอย่างละเอียด จากนั้นก็ยัดใส่อ้อมอกเซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนเดิม
เด็กอย่างหลานนี่ช่างดื้อรั้นเสียจริง!
หลี่เฟิ่งเหมยถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าไปซื้อตั๋วรถไฟเมื่อไร เซี่ยเสี่ยวหลานมีท่าทางอึกอักอยู่ทีเดียว อีกสักสองวันดีกว่า
เรื่องโจวเฉิงและคังเหว่ยช่วยเธอมีเพียงเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่งที่รู้แจ้งเห็นจริง หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินไม่รับรู้ถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ น้ำใจที่พาเธอกลับมาเพราะเท้าแพลงใช้เกี๊ยวหมูไชเท้าดองทดแทนได้ แต่น้ำใจที่ช่วยชีวิตเธอจากอันธพาลย่อมไม่อาจจะจบด้วยเกี๊ยวมื้อเดียวได้
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีความตั้งใจให้โจวเฉิงพัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกขั้น จึงไม่เล่ารายละเอียดกับหลี่เฟิ่งเหมยชั่วคราว
วันที่โจวเฉิงน่าจะเดินทางมาถึงนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานจัดเก็บเสบียงที่ครอบครัวเตรียมให้ไว้เรียบร้อยก็เดินทางเข้าตัวเมือง หมายมั่นจะพบโจวเฉิงก่อนแล้วค่อยไปซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟเพื่อไปยังซางตู เมื่อเดินทางนอกบ้าน ทุกคนล้วนเคยชินกับการนำสัมภาระของตนเองติดไปให้ครบครันที่สุด กระติกน้ำสีเขียวทหารและไข่ไก่ต้ม ขนมปังย่างสอดไส้ผักดอง และยังมีซี่โครงหมักซอสด้วย
อาหารบนรถไฟไม่อร่อยแถมยังแพงด้วย แต่อาหารที่ขายบนแผงของชานชาลากลับมีราคาถูก ทว่าสภาพสุขอนามัยและความปลอดภัยยังน่าเป็นห่วงมาก เซี่ยเสี่ยวหลานนำเสบียงมาเองจึงสบายใจไม่น้อย เนื่องจากไม่รู้ว่าต้องเสียเวลากี่วัน พอต้องผ่านตัวเมืองเซี่ยเสี่ยวหลานจึงไปเยือนโรงเรียนก่อน
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินบอกว่าจะไปส่งเธอขึ้นรถไฟ แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ยอม
หลังเธอผ่านการทดสอบเข้าเรียนของเซี่ยนอีจงและได้รับอนุญาตให้ทบทวนที่บ้าน นี่ก็ถือเป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้มาเยือนโรงเรียน ก่อนหน้านี้เซี่ยฉางเจิงกับภรรยาและเซี่ยหงเซี๋ยล้วนอยู่ในหมู่บ้านต้าเหอ ‘ร้านจางจี้อาหารว่าง’ จึงมีจางหม่านฝูและเจียงเหลียนเซียงเป็นผู้ดูแล สองสามีภรรยายุ่งเสียจนเท้าไม่ทันแตะพื้น [2] กำลังที่มีอยู่จำกัดใช้กับการจ้องจะทุจริตโกงเงินจากร้านอาหารว่างอย่างไรดี มีเวลาว่างไปใส่ใจวิถีชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลานที่ไหนกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานผลุบโผล่ที่เซี่ยนอีจงกี่หน ตระกูลเซี่ยไม่รู้ตัวเลยสักนิดเดียว
ทว่าเธอไปเซี่ยนอีจงครั้งนี้กลับถูกเซี่ยหงเซี๋ยเห็นเข้าเสียแล้ว
เซี่ยหงเซี๋ยช่วยงานที่ร้านอาหารว่าง ดวงตาเกือบติดแหมะกับประตูของเซี่ยอีจงแล้ว นักเรียนชายผู้มีความหวังสอบติดมหาวิทยาลัยเหล่านั้น ทั้งหมดคือเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้ของเซี่ยหงเซี๋ย ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานปรากฏตัวบริเวณประตูเซี่ยนอีจง เซี่ยหงเซี๋ยจึงเห็นเธอเป็นคนแรก
มันมาทำอะไรที่นี่กัน?
เซี่ยหงเซี๋ยมองคนที่เดินผ่านหน้าประตูร้านอาหารว่างไป ในแววตามีความสงสัยปนอิจฉา
คนตระกูลเซี่ยนึกว่าพอหลิวเฟินกับเซี่ยต้าจวินหย่ากัน สองแม่ลูกต้องใช้ชีวิตอย่างขัดสนเป็นแน่ ในสมมติฐานของเซี่ยหงเซี๋ย ทุกวันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานผู้น่ารำคาญอาจไม่ถึงกับกินแกลบกินหญ้า แต่คงใช้ชีวิตลำบากโดยพึ่งใบบุญคนอื่น ในไร่นามีงานที่ทำเท่าไรก็ไม่หมด ชื่อเสียงก็เสียหายป่นปี้ ต้องอยู่อย่างเอน็จอนาถกว่าตอนอยู่ที่บ้านเซี่ยถึงจะถูก… ทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานที่ปรากฏต่อหน้าเธอในเวลานี้ กลับสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน หน้าตาสดใส ดูมีชีวิตชีวา ทำไมถึงมาเยือนเซี่ยนอีจงอย่างมีสง่าราศีได้กัน?!
สถานที่เช่นนี้หญิงสาวรองเท้าผุพังผู้ฉาวโฉ่คนหนึ่งอยากมาเยือนก็มาได้หรือ!
เซี่ยหงเซี๋ยตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานตน คิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้ยั่วยวนว่าที่นักศึกษา [3] ของเซี่ยนอีจง น่าไม่อายเหลือเกิน หลอกล่อคู่หมายของพี่จื่ออวี้ไม่ได้ เลยหาเป้าหมายใหม่อีกแล้วหรือ?
ความปลอดภัยหน้าประตูของเซี่ยนอีจงเข้มงวดมาก
เซี่ยหงเซี๋ยอยากปะปนเข้าไปหลายรอบ ไม่ว่ากี่ครั้งก็ถูกยามจับได้ทุกครั้ง คนเขารู้ว่าเธอทำงานอยู่ที่ร้านอาหารรว่าง ไม่อนุญาตให้คนเข้าเขตโรงเรียนมั่วซั่ว
กลับกันพอเป็นเซี่ยเสี่ยวหลาน ยามหน้าประตูกลับไม่ขวางเธอไว้ด้วยซ้ำ!
ทำไมเธอถึงสามารถเข้าออกเซี่ยนอีจงได้อย่างอิสระเล่า?!
ในจิตใจของเซี่ยหงเซี๋ยกำลังสุมด้วยเพลิงโทสะแผดเผา ความริษยาทำให้เธอทรมานไปทั้งกาย
ป้าสะใภ้ ฉันขอออกไปข้างนอกสักครู่!
พ
เชิงอรรถ
[1] เหมือนว่าพวกความสัมพันธ์ทางสังคมซับซ้อนคือคนที่เป็นมิตรกับคนทุกรูปแบบ
เวลาใช้กับผู้หญิงจะให้อารมณ์ว่า เจ้าชู้ ทรงเสน่ห์
[2]脚不沾地 เท้าไม่แตะพื้น หมายถึง เดินเร็วมาก แต่ในที่นี้คือเดินไปเดินมาด้วยความเร็วเพราะยุ่งกับการดูแลร้าน
[3]准大学生 ว่าที่นักศึกษา คือ นักเรียนที่ได้รับการตอบรับเข้าเรียนจากมหาวิยาลัยแล้ว