เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 3 ตอนที่ 77 สองแม่ลูกย้ายไปอาศัยที่ซางตู
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 3 ตอนที่ 77 สองแม่ลูกย้ายไปอาศัยที่ซางตู
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้รักใคร่ผืนแผ่นดินนัก
สร้างบ้านในชนบทก็ไม่มีความสำคัญใด
เธอไม่คิดทิ้งหลิวเฟินไว้ในชนบท
ความตั้งใจเดิมก็คือไปถึงไหนพาไปนั่น สองแม่ลูกพึ่งพาอาศัยกัน สร้างบ้านหลังใหญ่สักหลังที่ชนบทให้หลิวเฟิน
ตัวเซี่ยเสี่ยวหลานเองมีอิสระอยู่ข้างนอก? นี่ไม่ใช่เจตนารมณ์แรกที่เธอพาหลิวเฟินหลุดพ้นจากตระกูลเซี่ย
แม่คิดว่าในชนบทอยู่ได้ดี?
การถามย้อนกลับของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้หลิวเฟินสับสน
อาศัยในชนบทดีหรือไม่
คำถามนี้หลิวเฟินไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่วัยเยาว์เธอก็อาศัยในชนบทมาโดยตลอด
ออกเรือนก็เพียงแค่เปลี่ยนจากหมู่บ้านชีจิ่งเป็นหมู่บ้านต้าเหอ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน
สิ่งที่หลิวเฟินเชี่ยวชาญมากที่สุดไม่ใช่การทำธุรกิจแน่นอน
และไม่ใช่การทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น แต่เป็นการทำงานเกษตร
ผืนดินทำให้หลิวเฟินดำรงอยู่อยู่ได้ด้วยความสบายใจ
หากวันไหนนโยบายของประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่อนุญาตการทำธุรกิจอิสระแล้ว
ขอเพียงยังมีที่ดิน ชีวิตย่อมลำบาก แต่จะไม่อดตายทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่สินะ?
สรุปแล้วต่อให้ช่วงนี้ทำเงินได้บ้าง
หลิวเฟินยังคงไม่มีความมั่นใจในการเผชิญหน้ากับอนาคตอยู่ดี
ทว่าเธอก็ไม่ใช่คนที่จะปฏิเสธเซี่ยเสี่ยวหลาน
หลิวเฟินทำได้แค่ใช้หลี่เฟิ่งเหมยเป็นข้ออ้าง
ถ้าพวกเราย้ายไปในเมือง
ป้าสะใภ้กับน้องชายของลูกจะทำอย่างไร?
เซี่ยเสี่ยวหลานได้เคยวิเคราะห์ปัญหานี้
แต่เธอเชื่อว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่รั้งไม่ให้ทั้งสองคนย้ายบ้าน
หลิวหย่งคิดว่าคนในหมู่บ้านจะดูแลเธอและหลิวเฟิน เซี่ยเสี่ยวหลานยอมรับในจุดนี้
ทว่าไม่ช้าก็เร็วเธอจะยืนหยัดด้วยตนเอง ไม่อาจใช้ชีวิตโดยพึ่งพาลุงไปทั้งชาติได้ใช่ไหม?
พวกเราไปเมืองมณฑลเพื่อทำธุรกิจ
ไม่ใช่จะย้ายภูมิลำเนาเสียหน่อย ตอนนี้ในหมู่บ้านยังไม่แบ่งไร่นาให้พวกเรา
พอมีที่ดินอยู่อาศัยสำหรับสร้างบ้าน พวกเราก็อาจเก็บเงินได้จากในเมืองแล้ว
กลับหมู่บ้านมาปลูกบ้านได้พอดี
ไม่จากบ้านเกิดแล้วจะหาเงินได้อย่างไร?
ยุคสมัยตรงหน้านี้
ต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจเทคโนโลยีเกษตรกรรม
แต่ราคารับซื้อของผลิตภัณฑ์เกษตรที่ถูกกดจนต่ำมากเหลือเกิน
ก็ทำให้เธอไม่มีความคิดจะเพาะปลูกในชนบทเพื่อหลุดพ้นความยากจนและสร้างความมั่งคั่ง
นับประสาอะไรกับเธอไม่รู้ว่าทำไร่ทำนาอย่างไรสักนิดเดียว!
อีกอย่างไปแค่เมืองซางตู
ไกลจากหมู่บ้านชีจิ่งเท่าไรเอง?
หนึ่งวันสามารถเดินทางไปกลับ
เป็นสถานที่ซึ่งสำเนียงของผู้คนไม่แปรเปลี่ยน
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าหลิวเฟินปรับตัวให้คุ้นชินได้
หลายวันมานี้มิใช่หลิวเฟินก็เดินทางไปส่งปลาไหลและขนกากน้ำมันที่ซางตูหรือ?
แล้วเรื่องลูกเรียนหนังสือทำอย่างไรเล่า?
ซางตูมีรถรับส่งถึงเขตอันชิ่ง
จะไปโรงเรียนฉันก็นั่งรถกลับมา เดินทางสะดวกกว่าถนนดินจากหมู่บ้านถึงตัวเมืองอีก
หลิวเฟินพูดไม่ออก
ลูกไปคุยกับป้าสะใภ้เถอะ
แม่ไม่มีหน้าเอ่ยปาก
หลิวเฟินหาเหตุผลในการคัดค้านไม่ได้
รู้สึกหม่นหมองอยู่บ้าง เซี่ยเสี่ยวหลานเปลี่ยนน้ำเสียงในทันที ถ้าแม่ไม่อยากย้ายไปจริงฉันก็ไม่บังคับ
แต่ฉันเช่าบ้านที่ซางตูไว้เรียบร้อยแล้ว คนเขาก็จะไม่คืนเงิน ฉันอยู่ซางตูคนเดียว
ก็ไม่มีคนทำอาหารเก็บห้องให้ฉัน…
หลิวเฟินร้อนรน
แม่ไปกับลูกด้วย!
เธอรักเซี่ยเสี่ยวหลานมากมายขนาดไหน
แค่คิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะหิวโหยและหนาวเหน็บ เช่าบ้านตัวคนเดียวไม่แน่ว่าผู้อื่นอาจรังแกเธอ
จึงไม่สนอะไรแล้วและต้องไปด้วยกันให้ได้
สงสารใจพ่อแม่ในใต้หล้า [1] !
หลี่เฟิ่งเหมยได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเช่าบ้านในซางตูแล้วกลับไม่ตกใจนัก
เซี่ยเสี่ยวหลานปณิธานแรงกล้า ตอนนี้ได้พบโอกาสที่ดีอีกด้วย หาช่องทางทำมาหากินเจอ
จะหมกตัวอยู่ในชนบททำอะไรกัน?
ลุงวานให้ป้าดูแลหลาน
ป้าก็รู้สึกว่าหลานน่ะคนเห็นคนรักใคร่ มีแม่หลานอยู่ซางตูด้วยกัน
เรื่องการใช้ชีวิตป้าไม่ต้องกังวล
แต่หลานต้องรับรองว่าห้ามลืมเรื่องสำคัญในการเรียนหนังสือ! !
เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางไปหยางเฉิงหนึ่งรอบทำเงินในครั้งเดียวได้ถึงพันกว่าหยวน
ทำงานหลังจบการศึกษามหาวิทยาลัย
รายได้ต่อหนึ่งเดือนก็เท่านี้ ต่างกันตรงการดำรงชีวิตกับการงานมีหน้ามีตาและมั่นคง
หลี่เฟิ่งเหมยกลัวเซี่ยเสี่ยวหลานถูกเงินซึ่งได้จากการค้าเสื้อผ้าทำให้สับสนชั่วครั้งคราว
เกิดคิดว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่มีความหมายขึ้นมา เธอจะอธิบายกับหลิวหย่งอย่างไรกัน
ป้า ฉันรู้จักแยกแยะนะ
หลี่เฟิ่งเหมยจิ้มศีรษะของเธอ
หลานขี่จักรยานไปด้วย ป้าขี่ไม่เป็นด้วย
ทิ้งไว้บ้านก็ขึ้นสนิมเสียเปล่า คนในหมู่บ้านมายืมยิ่งปฏิเสธไม่ค่อยได้
รถคันใหม่ที่หลิวหย่งซื้อ
โดนใช้งานขนสินค้าทุกวี่วัน โลดแล่นไปมาจากซางตูถึงชนบท คุณภาพของจักรยานนั้นดีมาก
แต่สีเคลือบภายนอกจะไม่มีรอยถลอกสักหน่อยได้ที่ไหน มันสร้างกำลังสำคัญเพื่อศักยภาพด้านเงินทุนของเซี่ยเสี่ยวหลานในช่วงแรก
เซี่ยเสี่ยวหลานคงไม่ทิ้งจักรยานที่ถูกใช้จนเก่าไว้แล้วจากไป
เธอวางแผนไปหยางเฉิงอีกหนึ่งรอบก็จะซื้อจักรยานคันใหม่
คันเก่านี้เธอและหลิวหย่งเอาไว้ใช้ส่วนตัว หลี่เฟิ่งเหมยเอาใจใส่ทีเดียว พอถึงวันที่เทาเทาไม่ไปโรงเรียน
สี่คนจึงไปซางตูกันทั้งหมด
หลิวจื่อเทามาถึงตัวเมืองของมณฑลเป็นครั้งแรก
ได้เห็นอาคารหลายหลังที่โอ่อ่าน่าประทับใจถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้าง
วันนี้พวกเธอย้ายเสื้อผ้ามาด้วยเลย
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินไปซื้อเครื่องนอน
เซี่ยเสี่ยวหลานก็พาเทาเทาทำงานอย่างอื่น ห้องจำนวนสองห้อง
เธอและหลิวเฟินจึงมีห้องเป็นของตนเอง เตียงไม่จำเป็นต้องซื้อดีเยี่ยม
เงินในมือยังต้องนำมาซื้อสินค้า ใช้อิฐแดงแทนมุมเตียง
ด้านบนวางบานประตูเก่าหนึ่งแผ่นไว้ ปูที่นอนหนาก็เป็นเตียงนอนหนึ่งหลัง
โต๊ะและตู้เสื้อผ้าเป็นของเก่าที่บ้านพักรับรองประจำเมืองโละทิ้ง
มอบเงินเล็กน้อยเป็นสัญลักษณ์ หูหย่งไฉก็รับหน้าที่อนุญาตให้เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกตามใจชอบ
วิ่งวุ่นกลับไปกลับมาหลายรอบ
ห้องสองห้องค่อยๆ เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว
หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวเฟินปูเตียงเช็ดโต๊ะ
ทั้งสองคนจัดแจงทำความสะอาดห้อง
รู้สึกว่าเคหสถานที่ใช้ของเก่าประกอบเข้าด้วยกันนั้นไม่เลวเลย
ที่สำคัญคือจ่ายเงินไม่เท่าไร!
เสี่ยวหลานไม่ได้พาเธอไปอยู่บ้านตึกสูง
ห้องนี้ก็ต่างกันไม่มากหรอก!
คนเมืองทำอะไรล้วนต้องจ่ายเงิน
แต่ทำอะไรล้วนสะดวกสบายเช่นกัน
สำรวจห้องสุขาบ้านอวี๋นั่น
หลี่เฟิ่งเหมยพิจารณาว่าครอบครัวตนก็เก็บเงินย้ายเข้าเมืองบ้างดีหรือไม่
เธอหวังไว้เป็นตัวเมืองของเขต
ทว่าเป้าหมายที่เซี่ยเสี่ยวหลานตั้งให้เธอช่างทะเยอทะยานเหลือเกิน
โรงเรียนประจำเมืองในมณฑลดีกว่าในเขต
ถ้าเทาเทาได้เรียนในเมืองมณฑล ความแตกต่างกับเด็กในชนบทก็เพิ่มมากขึ้นแล้ว
หลี่เฟิ่งเหมยสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เทาเทาเป็นภูมิลำเนาชนบท เรียนในเมืองมณฑลได้?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องพวกนี้
เธอแค่คิดวิถีทางออกมาเท่านั้น ไม่มีทะเบียนบ้านก็เข้าเรียนไม่ได้ อีกไม่กี่ปีรัฐเหมือนจะผ่อนผันปัญหา
‘ชนบทย้ายเป็นไม่ชนบท’
ถึงเวลาต้องการทำทะเบียนบ้านในเมืองคงไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะถึงตอนนั้น เทาเทาสามารถ
‘เรียนชั่วคราว’
ในโรงเรียนประจำเมืองมณฑล เมื่อพื้นฐานดี อนาคตเด็กคนนี้ได้เรียนที่ไหนก็ไม่หวั่น
แอ๊ด—
ย่าอวี๋ลากไม้กวาดกลับมาแล้ว
คุณกลับมาแล้วหรือ
วันนี้ป้าสะใภ้ฉันมาช่วยย้ายบ้าน คุณก็ยังไม่ได้กินข้าวสินะ
พวกเราห่อเกี๊ยวมานิดหน่อย
เกี๊ยวเล็กๆ
น้อยๆ ไม่มีราคาค่างวดอะไร ย่าอวี๋ท่าทางเย็นชา
ตอนเช่าห้องเธอบอกว่าอยู่สองคน
ย่าอวี๋ไม่กลัวการแบ่งห้องให้หญิงชนบทสองคนเช่าอาศัย
แต่ถ้าเข้ามาอยู่เพิ่มอีกหนึ่งหญิงและเด็กน้อย
ภายหลังยังมีผู้ชายจะเข้ามาอยู่ใช่หรือไม่? เธอเป็นหญิงชราตัวคนเดียว คนอื่นเป็นครอบครัวเดียวกัน
ย่าอวี๋แค่กลัวว่าตนเองเชิญหมาป่าเข้าบ้าน
หลี่เฟิ่งเหมยก็ดูออกว่าย่าอวี๋มีปฏิสัมพันธ์ด้วยยาก
เธอรีบร้อนอธิบาย
คุณน้าคะ
ที่บ้านฉันยังเลี้ยงหมูอยู่ ไม่กล้าค้างคืนในเมืองหรอก
ย่าอวี๋ไม่รับเกี๊ยวที่พวกเซี่ยเสี่ยวหลานทำ
ตนเองก่อไฟทำอาหารเองไปแล้ว หลี่เฟิ่งเหม่ยไม่ได้ตั้งใจค้างคืนในซางตูจริงๆ
ที่บ้านไม่มีใครสักคน โดนขโมยขโจรเยี่ยมเยือนจะทำอย่างไร อุตส่าห์ตั้งใจปรนนิบัติหมูสองตัวกว่าครึ่งปี
ดูท่าจะพร้อมเชือดแล้ว หากโดนคนขโมยไปหลี่เฟิ่งเหมยต้องปวดใจตายแน่นอน
เวลานี้เพิ่งบ่ายสามโมง คืนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวเฟินจะอาศัยอยู่ที่บ้านอวี๋แล้ว
จึงเดินมาส่งหลี่เฟิ่งเหมยไปยังสถานีรถ เทาเทาอาลัยอาวรณ์ในเมืองมาก
ทุกสิ่งอย่างที่นี่ล้วนแปลกใหม่สำหรับเขาเหลือเกิน ไม่เหมือนชนบทที่มีแต่ความแร้นแค้น
อีกหน่อยพี่สาวเขาจะรับลูกมาเรียนหนังสือที่ซางตู ตอนนี้ลูกยอมกลับบ้านดีๆ
ก่อน ตอนเรียนไม่อนุญาตให้เหม่อลอย พวกนักเรียนของซางตูสุดยอดมาก ลูกจะต่างกับพวกเขามากไม่ได้นะ
เชิงอรรถ
[1]可怜天下父母心 สงสารใจพ่อแม่ในใต้หล้า มากจากบทกลอนอวยพรมารดาของซูสีไทเฮาเมื่อครั้งที่ไปร่วมงานฉลองวันเกิดด้วยตนเองไม่ได้
หมายถึง ความรักของพ่อแม่ล้วนเพื่อลูกของตนเอง
แม้บางครั้งลูกอาจไม่เข้าใจในความหวังดี แต่พ่อแม่ยังคงยินดีทำเพื่อลูกตลอดไป