เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 4 ตอนที่ 108 เรื่องเช่าอาคารมีความคืบหน้า
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 4 ตอนที่ 108 เรื่องเช่าอาคารมีความคืบหน้า
โรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามกำลังอยู่ในระยะโชติช่วงสูงสุด มีคนงานจำนวนหลักหมื่น
และได้รับกำไรต่อปีราวสองถึงสามสิบล้าน ถือเป็นหน่วยงานขนาดใหญ่ที่ส่งออกและทำเงินสกุลต่างชาติท่ามกลางรัฐวิสาหกิจของซางตู
โรงงานแบบนี้ แค่ลองนึกก็รู้แล้วว่ารองผู้อำนวยการจะมีงานล้นมือมากขนาดไหน
ทุกวันหยวนหงกังยุ่งจนเท้าแทบไม่แตะพื้น คนงานในโรงงานเข้าสามกะเสมอ เขาผู้ซึ่งเป็นรองผู้อำนวยการโรงงานจึงไม่ควรว่างเกินไป
แม้ช่วงนี้บิดาบังเกิดเกล้าของเขาล้มขาหัก นอกจากที่หยวนหงกังไปโรงพยาบาลหนึ่งหน
หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนที่บ้านแค่ครั้งเดียว และนี่คือครั้งที่สอง
คราวก่อนเขาได้พบหลิวหย่งแล้ว เขาไม่ถึงกับชื่นชอบการกระทำของหลิวหย่ง
แต่คนเขาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ อีกทั้งหยวนหงกังผู้เป็นลูกชายไม่สามารถแสดงความกตัญญูปรนนิบัติบิดาชราที่บาดเจ็บได้
จึงไม่อาจออกปากไล่หลิวหย่งไปได้สินะ?
หลิวหย่งช่วยจัดการในเรื่องที่ลูกชายอย่างเขาทำไม่ได้
หยวนหงกังกลัวว่าอนาคตเขาจะขอร้องบางสิ่งที่น่าลำบากใจ ดังนั้นเมื่อเจอหลิวหย่งก็รู้สึกละอายใจอยู่บ้างที่คิดเช่นนั้น
และคนระดับหัวหน้าของหน่วยงานในตอนนี้ ส่วนมากเป็นคนใสซื่อมือสะอาด คิดมองการณ์ไกลเพื่อโรงงานด้วยความจริงใจ
ไม่มีความคิดยุ่งเหยิงอลหม่านมากมายขนาดนั้น
หากเป็นยุคอนาคต รัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่เช่นโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามนี้
บิดาของรองผู้อำนวยการหยวนล้มขาหัก ยังต้องกังวลว่าจะหาคนมาดูแลไม่ได้อีกหรือ? เกรงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกให้ความสำคัญยังชิงหน้าที่นี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ปัจจุบันไม่มีใครคิดได้ถึงขั้นนี้จริงๆ อีกทั้งรองผู้อำนวยการต้องรับผิดชอบธุระการแบ่งสรรที่อยู่อาศัยให้แก่พนักงานในโรงงาน
จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ทุกคนพึงพอใจ ด้วยเหตุนี้เขามักโดนคนงานในโรงงานด่าทอเสียเลือดสุนัขราดหัว [1]
เขาเป็นคนมีใบหน้าซูบผอมแต่ลักษณะกลม เหล่าคนงานจึงเรียกเขาลับหลังว่า ‘หยวนหัวโต’
หยวนหงกังไม่รู้หรือ?
เขารู้ดีอยู่แก่ใจ!
ทว่าจะตำหนิอะไรได้
คนงานบางคนเข้าทำงานตั้งแต่โรงงานฝ้ายที่สามก่อตั้งในยุค 50 ความอาวุโสมีมากกว่าเขา
เมื่อเขาเจอพวกรังควานไม่จบสิ้นก็ทำได้เพียงอดกลั้นและเดินเลี่ยงไป คนงานพวกนั้นเป็นพวกเอาเรื่องพอสมควร
ไม่หวาดกลัวว่าทางโรงงานจะไล่พวกเขาออกแม้แต่น้อย โรงงานฝ้ายที่สามผลประกอบการดี
เหล่าคนงานสามารถเดินอกผายไหล่ผึ่งผ่านหน้าหยวนหงกังได้ เพราะเรื่องสำคัญอย่างการผลิต
ตรงกันข้ามกับหยวนหงกังที่ยังต้องคอยโอ๋พวกเขาอีกด้วย
ในมือครอบครองอำนาจไว้แท้ๆ กลับไม่ได้สำแดง ทั้งต้องยุ่งกับการงาน ต้องรองรับความขัดแย้งระหว่างภรรยาและมารดา
บิดาบาดเจ็บยังปรนนิบัติรับใช้ไม่ได้เลย…
รองผู้อำนวยการหยวนที่ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
พอเผชิญหน้ากับหลิวหย่งผู้เป็นมิตร กระตือรือร้นเอาใจสุดชีวิต เขาจะทำอย่างไรได้?
เขาสู้บิดาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลิวหย่งประจบประแจงก็ควรจะชื่นมื่นยินดี
แต่รองผู้อำนวยการหยวนกลับรู้สึกหวาดหวั่นน่ะสิ!
กว่าจะหาเวลากลับบ้านสักรอบได้ ให้ตาย
ชายชราไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายซ้ำและเขาก็ไม่ทันอีกแล้ว
หญิงชราห่อเกี๊ยวไส้หมูไว้ให้เขา หยวนหงกังรับประทานด้วยความรักของมารดาเต็มปาก
ตะเกียบยังไม่ได้หยุด หญิงชราก็มีรับสั่งแล้ว
เกี๊ยวอร่อยล่ะสิ? แป้งของวันนี้น่ะเสี่ยวหลิวเป็นคนนวดให้
แรงมือเขาเยอะกว่าแม่ที่ไม่ได้เรื่องคนนี้… ลูกกินเกี๊ยวที่เสี่ยวหลิวนวด
คนเขาแสดงความกตัญญูดูแลพ่อแทนลูก ทำไมถึงสบายใจเฉิบไม่พูดอะไรเลยแบบนี้?!
เสี่ยวหลิวที่หญิงชรากล่าวถึงโบกไม้โบกมือหยอยๆ อยู่ด้านข้าง
พึมพำว่าทำไปตามสมควรเท่านั้น
หญิงชราไม่สบอารมณ์กับหยวนหงกัง ลูกจะรังแกคนซื่อตรงอย่างเสี่ยวหลิวไม่ได้นะ!
หากคนไม่รู้เรื่องราวภายในมาเห็นฉากนี้เข้า
คงนึกว่าหยวนหงกังเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยง และ ‘เสี่ยวหลิว’ คือบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของหญิงชรา
สหายหลิวหย่ง คุณนั่งลงพูดเถอะ พวกเราสองคนคุยกันให้เข้าใจสักหน่อย
หยวนหงกังคิดว่ายิ่งผ่านไปยิ่งติดค้างน้ำใจมากขึ้น เขาจะใช้สิ่งใดตอบแทน? หลิวหย่งมีธุระอะไรก็รีบพูดเสีย ถ้าไม่เป็นภัยต่อผลประโยชน์ของโรงงาน
เขาช่วยได้ก็ช่วยแล้วกัน
หยวนหงกังได้ยินว่าหลิวหย่งมาจากชนบท ยังนึกว่าเป็นธุระจัดแจงลูกชายหลานชายเข้าทำงานโรงงานอะไรเทือกนั้น
ผลประกอบการของโรงงานดี คนงานกลุ่มแรกเมื่อครั้งก่อตั้งโรงงานก็อายุมาก
ขนาดลูกหลานในครอบครัวที่โตแล้วอยากเข้าทำงานที่โรงงานยังต้องต่อแถวรอ
โรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามไม่ขาดแคลนคนงานแน่นอน
ในโรงงานมีบางคนอายุเพิ่งสี่สิบกว่า
เพื่อสละโควตาเข้าทำงานให้ลูกหลานที่จะรับช่วงต่อ
ยังต้องจัดการเกษียณอายุงานล่วงหน้าด้วย!
หนึ่งคนหนึ่งตำแหน่งเท่านั้น หากหลิวหย่งต้องการขอให้เขาช่วยพาเข้าทำงานในโรงงาน
หยวนหงกังคิดว่าคงสำเร็จยาก แต่ก็ต้องพยายามลองแก้ไข
พนักงานที่จ้างใหม่ล้วนเป็นพี่น้องลูกหลานของคนเก่าคนแก่ในโรงงาน
มิเช่นนั้นก็มีทะเบียนบ้านเมือง ทะเบียนบ้านชนบทช่างจัดการยากเหลือเกิน…
โดยเฉพาะทุกพฤติกรรมของเขา
มักถูกพวกคนงานของโรงงานที่โวยวายจะแบ่งบ้านเหล่านั้นจับจ้องอย่างเหนียวแน่นยิ่งนัก
ผู้อำนวยการหยวน เรื่องเป็นมาอย่างนี้ครับ
คุณเห็นแล้วสินะว่าผมเข้าเมืองมาหาลู่ทางดำรงชีวิต ไม่มีฝีมือไม่มีทะเบียนบ้าน
การงานหาได้ยาก เลยคิดอยากทำธุรกิจส่วนตัว อากาศเย็นลงแล้ว
ตั้งแผงลอยบนถนนยิ่งไม่สะดวก จึงอยากขยับขยายขนาดธุรกิจด้วย ญาติที่บ้านจะได้มีงานทำ
จึงอยากเปิดหน้าร้านสักแห่ง… ได้ข่าวว่าหน้าร้านว่างสามคูหาเลขที่ 45 ถนนเอ้อร์ชีเป็นอาคารในครอบครองของโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สาม จึงอยากขอให้คุณช่วยเหลือสักหน่อย
ให้การพิจารณาว่าทางโรงงานเห็นด้วยกับการปล่อยให้พวกเราเช่าเปิดร้านหรือไม่
อาคารหลังเล็กที่ถนนเอ้อร์ชีนั่น?
ติดอยู่ในความคิดหยวนหงกังชัดเจนทีเดียว
อาคารหลังนี้แย่งกันไปแย่งกันมา ว่างเปล่าได้ปีกว่าแล้ว
เดิมทีโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามเปิดร้านแสดงสินค้าที่นั่น
คือการนำผลิตภัณฑ์สิ่งทอซึ่งโรงงานผลิตเองวางจำหน่ายที่นั่น จริงๆ
แล้วเป็นความอุตสาหะเอาหน้าที่โรงงานก่อนทำไว้ ทว่าโรงงานฝ้ายแห่งที่สามผลิตสินค้าได้เท่าไรตลาดก็รับได้เท่านั้น
ทั้งยังต้องส่งออกอีก จะว่างมาทำธุรกิจค้าปลีกจำนวนเล็กน้อยที่ไหนกัน
ต่อมาได้ประกาศว่าอาคารหลังนั้นเป็นของส่วนบุคคลอีกครั้ง
รัฐตั้งใจคืนให้เจ้าของเดิม อาคารหลังเล็กตระหง่านโดดเดี่ยวอยู่ที่นั่น
อยากแบ่งสรรก็ต้องตีกันหัวร้างข้างแตก ทุกคนล้วนคิดว่านั่นเป็นอาคารเล็กหลังเดี่ยว
ไม่ยอมถอยให้ใครแม้แต่ก้าวเดียว เล่นเสียในโรงงานวุ่นวาย จึงว่างเว้นอาคารหลังนั้นไว้ชั่วคราวเสียดื้อๆ…
นี่ก็ปีกว่าแล้ว หากหลิวหย่งไม่กล่าวถึง หยวนหงกังเองคงลืมไป
หยวนหงกังเคยได้ยินเรื่องคนทั่วไปเช่าอาคารทำธุรกิจกับหน่วยงาน
ธุรกิจอิสระที่เติบโตว่องไวพวกนั้นได้เปิดกิจการแล้ว
หยวนหงกังกำลังครุ่นคิดว่าเรื่องนี้สามารถจัดการสำเร็จได้หรือไม่
พลางสอบถามไปตามเรื่องตามราว คุณเตรียมทำธุรกิจอะไร?
ขายเสื้อผ้าครับ
หลิวหย่งไม่ปิดบัง หยวนหงกังนึกคิดในใจ ขายเสื้อผ้าในซางตูเนี่ยนะ?
โรงงานเสื้อผ้าน้อยใหญ่ตั้งอยู่ทุกทั่วหัวระแหง
สิ่งที่เมืองนี้ไม่คลาดแคลนเลยคือเสื้อผ้า แต่หากต้องการทำธุรกิจให้เจริญย่อมมีการแข่งขันมาก
ตอนแรกเขาอยากตักเตือนหลิวหย่งสักสองสามคำ ทว่ากลัวหลิวหย่งเข้าใจผิด
จึงเงียบงันไปโดยปริยาย
หญิงชราเร้าเขา เรื่องนี้จัดการไม่ได้? อย่างไรเสียว่างเปล่าอยู่เฉยๆ โรงงานก็ไม่อนุญาตคนงานไปอาศัย ลูกเป็นผู้ดูแลงานตรงนี้
ตัดสินใจปล่อยให้เสี่ยวหลิวเช่าก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ!
หยวนหงกังส่ายหน้า แม่
เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นเหมือนแม่ว่า ผมสามารถตัดสินใจแทนโรงงานได้จริง
แต่กรรมสิทธิ์ของอาคารนี้ยังมีข้อพิพาท… อาคารนี้ต้องกลับคืนสู่ใคร
ตอนนี้ยังถกเถียงกันไม่ชัดเจน
หยวนหงกังกระอักกระอ่วน หลิวหย่งก็ดูออกว่าธุระนี้จัดการได้ยาก
อย่างไรเสียเขาก็ทราบว่าหยวนหงกังยอมรับจะช่วยเหลือแล้ว
หลิวหย่งไม่เข้าใจเรื่องความขัดแย้งในกรรมสิทธิ์ของอาคาร
เขารู้แค่อาคารในเมืองล้วนเป็นของประเทศ ดั่งหน่วยงานเช่นโรงงานฝ้ายแห่งชาตินี้
เมื่อโรงงานฝ้ายตัดสินให้ใครเปิดร้าน ก็ให้คนนั้นเปิดร้าน
หนทางในการมาพบรองผู้อำนวยการโรงงานหยวนโดยตรงคือสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม
รองผู้อำนวยการหยวนเห็นชอบแล้ว ธุระอื่นย่อมจัดการง่ายดายไปด้วย
ด้านหลิวหย่งถือว่าได้ลงทะเบียนต่อหน้าผู้บริหารของโรงงานที่สามเรียบร้อย
—————————————-
หน้าร้านติดกันสามคูหา
เรื่องเช่าแค่คูหาเดียวนี่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยครุ่นคิดตั้งแต่ต้น
เกิดคนอื่นเห็นธุรกิจขายเสื้อผ้ารุ่งเรืองแล้วเปิดสักคูหาข้างเธอ นั่นถึงเรียกว่าร้อนรุ่มจนทนแทบไม่ไหว
จะเช่าก็ต้องเช่าทั้งสามคูหาเสียเลย
พอบิดาชราของหยวนหงกังกลับมาจากตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล
หลิวหย่งได้แบกเขาขึ้นตึกอีก หยวนหงกังยุ่งมากจริงๆ
มารับประทานเกี๊ยวหนึ่งจานพลางสนทนากับหลิวหย่งหนึ่งชั่วโมงก็จากไปแล้ว
เมื่อหลิวหย่งพบเซี่ยเสี่ยวหลานอีกครั้ง ก็แจ้งเธอว่าธุระเช่าอาคารมีความเป็นไปได้สักห้าส่วนแล้ว
ผู้อำนวยการหยวนว่าง่ายทีเดียว
ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ที่ทำความรู้จักยากแบบนั้น หน้าร้านสามคูหาเลขที่ 45 ถนนเอ้อร์ชีนั่น พวกเราน่าจะเช่าได้แน่นอน
ขณะที่หลิวหย่งกล่าวเช่นนี้ หลี่เฟิ่งเหมยไปรับลูกชายที่โรงเรียนอยู่
เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินจัดสินค้าใต้ชายคา ฝนปนหิมะหยุดแล้ว
ย่าอวี๋ก็นำไม้กวาดอันโตของเธอออกจากบ้านไป หลิวเฟินจัดระเบียบเสื้อผ้า
พลางชะเง้อไปทางหน้าประตูเป็นครั้งคราว
ย่าอวี๋ถือไม้กวาดต้วมเตี้ยมกลับมา หลิวเฟินช่วยเธอทำความสะอาดถนนอีกแล้ว
หลายวันมานี้งานของย่าอวี๋สบายขึ้นมาก
ได้ยินหลิวหย่งพูดถึงเลขที่ 45 ถนนเอ้อร์ชี ย่าอวี๋ชะงักฝีเท้า
—บนโลกนี้ไม่มีใครทำดีโดยไร้เหตุไร้ผล ที่แท้นี่ก็คือเหตุผลนั่นเอง
เชิงอรรถ
[1]狗血淋头 เลือดสุนัขราดหัว
มาจากความเชื่อว่าหากราดเลือดของสุนัขลงบนศีรษะของปีศาจ จะทำให้ปีศาจสูญเสียพลังไป
ต่อมาหมายถึง การโดนดุด่าอย่างรุนแรง