เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80 - เล่มที่ 4 ตอนที่ 112 ปรับปรุงตกแต่งร้าน
- Home
- เกิดใหม่ชาตินี้ ขอเป็นเศรษฐีนีในยุค 80
- เล่มที่ 4 ตอนที่ 112 ปรับปรุงตกแต่งร้าน
ปัจจุบันการตกแต่งภายในอาคารยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญ
ถึงหลิวหย่งจะใช้อาชีพช่างก่อสร้างมาบังหน้า และงานที่ทำคือการลักลอบขนของเถื่อน แต่อย่างไรเสียเขาก็เคยเรียนวิชาการก่อสร้างจริงๆ
ฉาบผนัง ปูกระเบื้อง หรือแม้แต่ติดฝ้าเพดาน ล้วนไม่ยากเย็นสำหรับหลิวหย่ง
เซี่ยเสี่ยวหลานวางความไม่เชื่อมั่นในลุงของตนเองไว้ก่อน
หาคนงานอื่นมาสื่อสารยิ่งยุ่งยาก ในเมื่อตอนนี้ใครๆ ต่างก็ไม่มีประสบการณ์การตกแต่งภายใน
หากต้องเปลืองแรงอธิบายกับคนงานเหล่านั้นอีก ไม่สู้บอกกับลุงของเธอเลยเสียดีกว่า
หลิวหย่งมองอย่างงุนงง เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ด้านข้างค่อยๆ อธิบายกับเขา เขาจึงพอเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างไร
รวมไปถึงตะขอแขวนผนัง ราวติดผนัง ไม้แขวนเสื้อและราวแขวนผ้าจะจัดอย่างไร ‘แบบ’ ของเซี่ยเสี่ยวหลานได้แสดงถึงแผนผังของทั้งร้านออกมาอย่างชัดเจน
เนื่องจากเงินทุนจำกัด ความคิดมากมายจึงไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ เช่นภาพในความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลาน
ร้านขายเสื้อผ้าทันสมัยที่ไหนมีประตูไม้กัน หากไม่ติดตั้งกระจกโปร่งใสทั้งหมด
จะทำให้คนสัญจรผ่านไปมาถูกดึงดูดด้วยเสื้อผ้าแบบใหม่ในร้านได้อย่างไร?
ร้านเสื้อผ้าที่มีระดับ หนึ่งปีสี่ฤดูกาลอุณภูมิห้องคงที่เสมอ
ฤดูร้อนลองเสื้อผ้าจะไม่มีเหงื่อไคลเหนียวเหนอะ
ฤดูหนาวก็ไม่กลัวว่าถอดเสื้อนอกออกแล้วจะหนาวจัด
กระจกเต็มตัวและดวงไฟออกแบบเป็นพิเศษเช่นกัน
เวลาลองสวมใส่เสื้อผ้าไม่ว่าสีผิวหรือรูปร่างล้วนดูดีขึ้น อดกลั้นความต้องการในการควักเงินซื้อเสื้อผ้าแทบไม่ไหว
เซี่ยเสี่ยวหลานหาดวงไฟแบบนี้ไม่ได้ และไม่มีนักออกแบบผู้เชี่ยวชาญถึงขนาดนี้
เธอทำได้เพียงจัดการอย่างสุดความสามารถ ภายในเงินทุนตกแต่งที่มีอย่างจำกัด
พยายามตกแต่งออกมาให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ฉันคำนวณคร่าวๆ แล้ว ต่อให้ไม่เปลี่ยนประตูร้านชั่วคราว
ตกแต่งเสร็จอย่างไรก็ต้องใช้เงินหลายพันหยวน
ตอนนี้ในมือหลานยังมีเงินเท่าไร? เพิ่งจ่ายค่าเช่า 2000 หยวนไปนี่
ก่อนหน้านี้เป็นจำนวน 9000 หยวน
เซี่ยเสี่ยวหลานนำเข้าสินค้า 5000 หยวน
เงินหมุนเวียนเหลือแค่ 4000 หยวน
หักค่าเช่าที่ให้เมื่อวาน เดิมทีควรเหลือ 2000 หยวน
ทว่าเธอนำเสื้อผ้ากลับมาได้สามสี่วันแล้ว และขายออกไปได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนเงินจมคือเสื้อนอกขนแพะชายราคา 140 หยวน ต้นทุนรวมกำไรของสินค้าอื่นรวบรวมเงินได้ 4000 กว่าหยวนแล้ว
นั่นก็แปลว่าทุกวันนี้ในมือเซี่ยเสี่ยวหลานยังมีเงินอยู่ 6000 กว่าหยวน
เธอและหลิวหย่งคาดไว้ว่าหากจะตกแต่งให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ เงินจำนวน 6000 หยวนนี้อาจเพียงพอพอดี
หลิวหย่งวางแผนในใจสักพัก ชั้นวางที่โรงงานฝ้ายไม่เอาก็ซ่อมสักหน่อย
วัสดุไม้ไม่เลว ถ้าตอนนี้จ้างช่างไม้ทำตู้เสื้อผ้าสามบานยังต้องใช้มากกว่า 150 หยวน… ตรงส่วนนี้คงสามารถประหยัดเงินได้บ้าง
การออกเรือนในยุคนี้นิยมตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ประตูสามบานเป็นของขวัญแต่งงาน
ทั้งเคลือบสีและฉลุลาย
แถมต้องฝังกระจกหลายแผ่นด้านบนเป็นลวดลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าไร้รสนิยม ทว่าเป็นความนิยมของตอนนี้
เธอจะไม่วางตู้แบบนี้ในร้านแน่
ชั้นแสดงสินค้าบางส่วนที่โรงงานฝ้ายแห่งชาติทิ้งไว้ยังสามารถรื้อออกเป็นของเก่าและนำไปใช้ประโยชน์ได้
มีเงินจำนวนนี้ในมือก็ไม่ขาดแคลนเรื่องการตกแต่งแล้ว ตกแต่งร้านเสร็จสิ้นใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน
ในช่วงเวลานี้เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงขายเสื้อผ้าดั่งเดิม
มีแต่ต้องไม่หยุดใช้เงินสร้างเงิน ถึงจะสะสมความร่ำรวยมากขึ้นได้
เมื่อหน้าร้านตกแต่งเรียบร้อย เงินทุนสำหรับนำเข้าสินค้าจะกลับมาเพียงพออีกครั้ง
สำหรับร้านนี้ ไม่สามารถทำกำไรอย่างเดียวโดยไร้ค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นธุรกิจที่สองครอบครัวร่วมหุ้นลงทุนกัน
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจใช้เงินทุนจำนวนนี้ตามใจชอบได้
ปกติใช้จ่ายเงินจึงพึ่งพาหลิวเฟินทั้งนั้น—ขายกากน้ำมันหนึ่งรอบทุกวัน
กำไรที่ได้สามารถนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของสองแม่ลูกได้พอเสียยิ่งกว่าพอ
เซี่ยเสี่ยวหลานนึกคิด
ขณะนี้เป้าหมายระยะสั้นของเธอคือก่อนปีใหม่จะทำการปันผลหนึ่งครั้ง
หลิวหย่งกับเซี่ยเสี่ยวหลานสนทนาหารือกันอยู่นานสองนาน ประเดิมนำเงิน 2000 หยวนไปซื้อวัสดุอุปกรณ์ก่อน
จากนั้นก็หาช่างก่อสร้างที่รู้จักก่อนหน้านี้มาช่วยงาน ริเริ่มลงมือตกแต่งร้านค้า!
เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับโทรเลขจากโจวเฉิง
…เสี่ยวหลาน เสื้อผ้า พุทรา และใบชาล้วนถึงมือแล้ว
สวมเสื้อขนเป็ดที่เธอซื้อให้ท่ามกลางลมหนาว ไม่ใช่อบอุ่นแค่กายแต่ยังรวมถึงหัวใจด้วย
พุทราหวานมาก พอคิดว่าคือความห่วงใยของเธอ ฉันไม่ยินดีแบ่งปันกับคนอื่นเลย
แต่ใบชาเยอะมากเหลือเกิน เกรงว่าหากโดนความชื้นคุณภาพจะเปลี่ยน ฉันจึงมอบให้คนอื่นไปบ้าง…
ไป๋เจินจูคือน้องสาวไป๋จื้อหย่งเพื่อนร่วมงานของฉันเอง ฉันเคยช่วยเหลือไป๋จื่อหย่ง
ค่อนข้างเชื่อมั่นในคุณธรรมของเขา ธรรมเนียมครอบครัวเช่นนี้
เธอเชื่อใจไป๋เจินจูน้องสาวเขาได้เหมือนกัน ทว่าห้ามขาดจิตใจระวังคน
เธอต้องสังเกตสหายไป๋เจินจูต่อไป… คะนึงหาเธอไม่ว่างเว้น
รอคอยได้พบหน้ากับเธออีกครั้ง
การส่งโทรเลขต้องมีเจ้าหน้าที่เห็น ไม่เหมือนจดหมายส่วนตัวที่ผนึกได้
อาจเพราะเหตุนี้ โจวเฉิงถึงอุตสาหะบอกเก้าเล่าสิบในโทรเลขโดยใช้ถ้อยคำที่เป็นทางการ
ต่อให้ทำแบบนี้ ใครก็ดูออกว่านี่คือโทรเลขที่ส่งให้ยอดดวงใจ ความรู้สึกเร่าร้อนของเขานั้น
ช่างเข้มข้นถึงขนาดล้นออกมาจากบรรทัดระหว่างตัวอักษร
ความเร่าร้อนนี้ส่งมาถึงเซี่ยเสี่ยวหลาน ความรักทำให้จิตใจคนอ่อนเยาว์
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าตอนนี้ตนเองกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ
หลิวหย่งรับผิดชอบการตกแต่ง เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่อาจละเลยได้อย่างสิ้นเชิง
ผลการตกแต่งออกมาอย่างไรยังต้องพิจารณาระหว่างทาง
การตกแต่งต้องใช้เงินหลายพันหยวนหรือแม้แต่เป็นหมื่น เงินนี่จะค่อยๆ จ่ายทีละน้อย
โชคดีที่ไม่จำเป็นต้องนำออกมาทั้งหมดในคราวเดียว ให้เวลาเซี่ยเสี่ยวหลานได้หมุนเวียนเงินอยู่บ้าง
—————————————-
ต้องคิดหนทางขายเสื้อนอกชายขนแพะจำนวนนั้นจนหมดให้ได้
คุณภาพดี ออกแบบก็เด่น ไร้ซึ่งเหตุผลจะกักสินค้าไว้ในมือ
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าตนไม่ได้หาสถานที่ที่เหมาะสม คนมีเงินของเมืองซางตูอยู่ที่ไหนกันนะ? ในหมู่คนทำงานสตรีผู้ร่ำรวยมักทำงานในโรงงานฝ้ายแห่งชาติ
ดังนั้นร้านของเธอจะเปิดที่ถนนเอ้อร์ชี ที่นี่ใกล้โรงงานฝ้ายแห่งชาติหลายแห่ง
จุดที่กำลังซื้อรวมตัวกันอยู่
ส่วนพนักงานบุรุษผู้มั่งคั่ง ต้องเป็นองค์การรถไฟอย่างแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานตัดสินใจเปลี่ยนที่ตั้งแผง
ห้องที่หลิวหย่งเช่าอาศัยก็คือหอพักขององค์การรถไฟ
ซางตูเป็นศูนย์กลางระบบรางรถไฟประจำเขตภาคกลาง องค์การรถไฟเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่มีบุคลากรจำนวนมาก
หอพักพนักงานของหน่วยงานจึงโอ่โถงเช่นกัน เปรียบเทียบกับที่อยู่อาศัยซึ่งไม่เพียงพอของพนักงานหลักหมื่นจากโรงงานฝ้ายแห่งชาติแล้ว
สภาพที่อยู่อาศัยขององค์การรถไฟดูสุขสบายกว่านิดหน่อย… อย่างน้อยห้องของบางคนก็สามารถปล่อยเช่าได้
เซี่ยเสี่ยวหลานเอ่ยว่าจะเปลี่ยนที่ตั้งแผง หลี่เฟิ่งเหมยลังเลอยู่บ้าง
ปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในอาคารเอื้ออาทร
บอกกับคนนอกได้แค่เป็นญาติเจ้าของห้องเดิม เพื่อนบ้านซ้ายขวาก็รู้ว่าครอบครัวเธอทำธุรกิจอิสระ
คนพวกนั้นไม่พูดอะไร แต่ที่จริงล้วนดูแคลนธุรกิจอิสระ ธุรกิจอิสระลำบากทนลมทนฝน
ทว่าพนักงานขององค์การรถไฟเป็นพวกชามข้าวเหล็ก หลี่เฟิ่งเหมยและหลิวหย่งไม่คิดอับอายขายหน้าใคร
เพียงแต่เธอกลัวว่าเด็กคนอื่นในละแวกใกล้เคียงจะดูถูกหลิวจื่อเทา
หลิวจื่อเทาเพิ่งย้ายมาเรียนในเมือง เป็นช่วงอายุสำหรับการอบรมบ่มเพาะสามทัศน์ [1] พอดี เด็กน้อยเรียนรู้ได้รวดเร็วมาก
ตัวหลี่เฟิ่งเหมยเองตัดใจใส่เสื้อขนเป็ดแสนแพงไม่ลง
แต่ปัจจัยพื้นฐานที่มอบให้ลูกชายนั้นไม่เคยขอไปที
เด็กคนนี้พูดจายังเจือสำเนียงถิ่นอันชิ่ง เมื่อเวลาไม่พูดหากมองจากภายนอกก็ไม่มีความแตกต่างใดๆ
กับเด็กในพื้นที่ซางตู
เซี่ยเสี่ยวหลานกลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้
ภายใต้สถานะสาวบ้านนอกของเธอบรรจุจิตวิญญาณผู้บริหารระดับสูงแห่งกิจการขนาดใหญ่ไว้
จะรู้สึกถึงความอ่อนไหวและระแวดระวังเกินควรของคนชนบทที่เพิ่งเข้าเมืองได้อย่างไร?
เป็นเพราะตกกลางคืนเซี่ยเสี่ยวหลานเกริ่นกับมารดาของเธอ หลิวเฟินลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดความคิดในใจออกมา
เซี่ยเสี่ยวหลานถึงได้รู้สึกตัวขึ้นราวกับสายฟ้าฟาดผ่านก็มิปาน
เธอรู้ทั้งรู้ว่าต้องพาหลิวเฟินออกมาพบโลกกว้างบ้าง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจริงๆ
แล้วป้าสะใภ้อย่างหลี่เฟิ่งเหมยก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
จะไม่เอาใจใส่ความกังวลในส่วนลึกของคนเขาเพียงเพราะหลี่เฟิ่งเหมยโผงผางกว่าหลิวเฟินไม่ได้
วันถัดมาเซี่ยเสี่ยวหลานเสนอความคิดของเธอทันที
ป้า ฉันว่าสินค้ารอบนี้ขายได้ช้าไปหน่อย ไม่อย่างนั้นนั้นพวกเราแบ่งแผงเป็นสองที่
ฉันรับผิดชอบไปเสนอขายเสื้อนอกชาย ป้าก็ขายสินค้าที่ยังเหลืออยู่
เซี่ยเสี่ยวหลานกล่าวคำพูดเหล่านี้จบ หลี่เฟิ่งเหมยจึงสบายใจขึ้น
ป้าไม่รู้ว่าตัวเองทำได้หรือไม่ อย่ารังเกียจที่ป้าเงอะงะเลยนะ ป้าจะค่อยๆ
เรียนรู้
เชิงอรรถ
[1]三观 สามทัศน์ คือ ทัศนคติสามด้านของมนุษย์ ได้แก่ ทัศนคติต่อโลก (世界观) ทัศนคติต่อชีวิต (人生观)
และทัศนคติต่อคุณค่า (价值观)