เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 3 บทที่ 123.1
อย่างที่หัวหน้านางกำนัลได้สอนสั่ง ข้ากลับมาหลังจากเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วครับ
เสียงแผ่วเบาของเฟเรสเบามากเสียจนเกือบถูกสายลมกลบจนมิด
ข้าละอายใจจริงๆ ที่ไม่อาจมาส่งท่านเดินทางจากไปได้
ในทุกปีหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้าจะลากสังขารแก่ชราของนางเดินทางมาพบเฟเรสที่อะคาเดมีช่วงประมาณวันเกิดของเขาเป็นประจำ และในวันที่นางมาพบเขาเป็นครั้งสุดท้าย
หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้ากล่าวราวกับคนที่ทราบดีอยู่แล้วว่า วันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้พบหน้ากัน
ตอนที่เดินทางกลับมายังพระราชวัง จะต้องเตรียมการทุกสิ่งให้พร้อมเสียก่อน แล้วค่อยกลับมานะเพคะ เพราะคนพวกนั้นเองก็คงจะเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้วเช่นกัน
นอกจากเรื่องนั้นแล้ว หัวหน้านางกำนัลยังร้องขออะไรอีกหลายเรื่อง นางโค้งศีรษะด้วยความสุภาพเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพูดทิ้งท้าย
ขอให้พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ชาญฉลาดและเปี่ยมไปด้วยความดีนะเพคะ เจ้าชาย
จักรพรรดิโยบาเนสยังมีชีวิตอยู่เป็นปกติดี การพูดเช่นนี้ไม่ต่างอันใดกับประกาศตัวว่าเป็นกบฏ
มันไม่ใช่คำพูดที่หัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้า ผู้รับใช้ราชวงศ์มาตลอดชีวิตของนาง สมควรจะพูดเลยแม้แต่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังกล่าวเช่นนั้น เพราะนั่นเป็นคำพูดที่นางอยากจะบอกเฟเรสให้ได้เป็นครั้งสุดท้าย
เฟเรสลูบแผ่นหินด้วยใบหน้าขมขื่น
เขาพลันนึกถึงคำพูดที่ไม่อาจตอบออกไปได้ในตอนนั้น เพราะมัวแต่ตกตะลึงอยู่ขึ้นมาได้
เฟเรสเองก็เช่นกัน
มีคำที่อยากจะบอกออกไปให้ได้ แต่กลับไม่อาจบอกไปได้เมื่อตอนนั้น
ริมฝีปากขยับอ้าออกอย่างไร้เสียงอยู่หลายครั้ง คำพูดประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของเขาอย่างยากลำบาก
ขอบคุณครับ
ทั้งๆ ที่หญิงชราป่วยเป็นโรคคนนั้นมุ่งมั่นเดินทางผ่านเส้นทางที่แสนไกลแม้แต่คนหนุ่มสาวยังรู้สึกว่ามันยากลำบาก ฝ่าฟันเดินทางมาหาเขาถึงอะคาเดมีตั้งหลายครั้งแท้ๆ
พอลองมองย้อนกลับไป เฟเรสถึงได้ตระหนักได้ว่าเขาไม่เคยบอกความรู้สึกขอบคุณออกไปให้นางได้ยินเลยสักครั้ง
และนั่นก็เป็นความรู้สึกเสียใจที่หลงค้างอยู่ในส่วนลึกของใจ
เฟเรสแนบหน้าผากลงบนป้ายหลุมศพเป็นครั้งสุดท้าย ไม่นานหลังจากนั้นเขาจึงค่อยลุกขึ้นจากพื้น
และหันกลับไปพูดกับริกนีเต้ที่ยืนรออยู่ด้านหลังสั้นๆ
ไปพระราชวังกันเถอะ
* * *
มื้อเย็นมื้อสุดท้ายของวัยสิบเจ็ด เธอตัดสินใจใช้มันร่วมกับท่านพ่อ
ร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันเริ่มเข้าสู่ภาวะมั่นคง ท่านพ่อจึงใช้เวลาช่วงนี้จัดการสะสางงานที่ผ่านมาที่เอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย
ในบรรดานั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ การจัดการเรื่องเขตแดนเชซายู ที่ได้รับมาพร้อมกับเหรียญรางวัลประจำวันชาติของอาณาจักรเมื่อตอนนั้นนั่นเอง
พอเข้าปีนี้ ท่านพ่อก็เดินทางลงไปประจำอยู่ที่เขตแดนเซชายู และได้เดินทางกลับมายังลอมบาร์เดียอีกครั้ง ก็เมื่อตอนที่ใกล้ถึงวันเกิดของเธอ
คงจะเหนื่อยจากการเดินทางระยะไกล ใบหน้าถึงได้ดูซูบผอมลงไปเล็กน้อย แต่ท่านพ่อก็ยังคงหล่อเหลาเหมือนเคย
ไม่สิ อายุอานามก็เข้าสู่ช่วงวัยสี่สิบเข้าไปแล้ว แต่กลับมีแต่จะให้กลิ่นอายเสน่ห์ของชายวัยกลางคนแทน
เธอเหม่อมองท่านพ่อด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ แต่จู่ๆ ท่านพ่อที่นั่งหั่นสเต๊กอยู่ก็พึมพำขึ้นมาอย่างเหม่อลอย
เทียของพ่อจะเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือนี่
อ๊ะ จะร้องไห้อีกหรือเปล่าเนี่ย
นึกอยู่แล้วเชียวว่าจะต้องเป็นแบบนี้ คราวนี้เธอเลยพกผ้าเช็ดหน้าติดตัวมาด้วย
เพื่อห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ท่านพ่อจะใช้ผ้าเช็ดปากขึ้นมาซับน้ำตาแทน
แต่ผิดคาดที่คราวนี้ท่านพ่อกลับนิ่งสงบไม่ร้องไห้ฟูมฟาย
นี่ถึงเวลาที่จะบินออกไปจากอ้อมกอดของพ่อแล้วจริงๆ สินะ
ถึงแม้รอยยิ้มนั่นจะยังดูขมขื่นเหมือนเคยก็เถอะ
เทีย
ท่านพ่อมองเธอด้วยนัยน์ตาอบอุ่นจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอาหาร
ขอบคุณนะที่เติบโตขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง ดีงาม ภายใต้พ่อที่อ่อนด้อยคนนี้
พ่อ…
เพราะข้าด้อยความสามารถ ทั้งยังอ่อนแอมากเกินไป จึงทำให้เจ้าต้องลำบากตั้งแต่เด็ก
ท่านพ่อคงกำลังพูดถึงเรื่องราวทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นก่อนที่ท่านพ่อจะเริ่มทำธุรกิจ
ข้าควรที่จะแข็งแกร่งให้มากขึ้น จะได้ปกป้องเจ้าไว้ได้…
อย่าพูดแบบนั้นสิคะ พ่อ
เธอลุกขึ้นขยับเปลี่ยนไปนั่งข้างท่านพ่อแทน
พ่อในความทรงจำของข้า เป็นคนที่เท่กว่าใครทั้งนั้นเลยค่ะ
…จริงหรือ
จำไม่ได้เหรอคะ ตอนที่พวกเราเข้าวังด้วยกัน ท่านพ่อตำหนิองค์จักรพรรดิเรื่องที่พวกอัศวินตรวจรถม้าของพวกเรา บอกว่า ‘ทำให้ลูกสาวข้าตกใจ’ ไม่ใช่เหรอคะ
อา มีเรื่องแบบนั้นด้วยนี่นะ…
ท่านพ่อเกาหลังศีรษะด้วยความเขินอาย
และยิ่งกว่านั้น พ่อเอาชนะโรคร้ายนั่นก็เพื่อข้าไม่ใช่เหรอคะ คนที่แข็งแกร่งกว่าใครแบบนั้น จะมีที่ไหนได้อีกล่ะคะ
เทีย
ท่านพ่อลูบหลังมือของเธอเบาๆ
ทำไมลูกสาวผู้แสนดีเช่นนี้ ถึงได้มาเกิดเป็นลูกพ่อได้นะ
เห ที่ข้าแสนดีแบบนี้ก็เหมือนกับพ่อยังไงล่ะคะ มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วนี่นา
อะไรนะ ฮ่าฮ่า!
ท่านพ่อระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
เธอเองก็หัวเราะตามท่านไปด้วย
อ๊ะ ใช่แล้ว มีของจะให้เทียด้วยนะ
ท่านพ่อหยิบเอากล่องใบเล็กออกมาจากอกเสื้อ แล้วเปิดของข้างในนั้นให้เธอเห็น
แหวน?
มันเป็นแหวนทองบางๆ ที่ประดับอัญมณีเม็ดกลมสีม่วงเม็ดใหญ่
แซปไฟร์สีม่วงน่ะ
ท่านพ่อหยิบแหวนออกมาจากกล่อง
มันเป็นแหวนที่ข้าสวมให้ชาห์นตอนขอนางแต่งงาน ตอนนั้นนางดีใจมากเลยนะที่ได้รับแหวนวงนี้
นัยน์ตาของท่านพ่อยามมองแหวนที่ส่องประกายระยิบระยับ เปี่ยมไปด้วยความอาลัย
พ่อขอมอบแหวนนี่เป็นของขวัญวันเกิดครบสิบแปดปีของเจ้านะ เทีย
แต่นี่เป็นของที่สำคัญต่อท่านพ่อมากไม่ใช่เหรอคะ
ท่านพ่อไม่ปฏิเสธคำพูดของเธอ
ใช่แล้วละ แต่พ่ออยากให้เทียที่ตอนนี้กำลังจะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว รับแหวนวงนี้เอาไว้โดยตระหนักถึงความหมายของมัน เหมือนอย่างที่มันสำคัญต่อพ่อ
ความหมายอะไรเหรอคะ
ท่านพ่อหยุดครุ่นคิดไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามของเธอ ก่อนจะยิ้มพลางลูบแหวนวงนั้น
คนที่ทุ่มเทความรักให้หมดทั้งใจ
นัยน์ตาสีเขียวอันแสนอบอุ่นของท่านพ่อเหม่อมองใบหน้าของเธอ
ถึงแม้จะรู้สึกเสียดายอะไรหลายๆ เรื่อง แต่พ่อไม่เคยเสียดายช่วงเวลาที่ได้พบกับชาห์นแม่ของเจ้าเลยสักครั้งไม่เคยเสียดายช่วงเวลาที่ได้รักกับนางเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะพวกเราต่างก็มีความสุขกันมากถึงเพียงนั้น
ท่านพ่อวางแหวนลงบนอุ้งมือของเธอในขณะที่พูดต่อ
ดังนั้นสักวันเมื่อเจ้าพร้อม พ่อก็อยากให้แหวนวงนี้ช่วยนำพาคนคนนั้นมาหาเทียเช่นกัน เหมือนอย่างที่วันหนึ่งแม่ได้เดินเข้ามาในชีวิตของพ่อ
ท่านพ่อยามกล่าวเช่นนั้นดูมีความสุขมากจริงๆ และยังดูแปลกตาไม่เหมือนเคยอีกด้วย
เธอกำแหวนวงนั้นไว้ในมือ พยักหน้าตอบรับ
และลองสวมแหวนวงนั้นลงบนนิ้วอย่างระมัดระวัง
อ๊ะ พอดีเลย
เธอสวมแหวนวงนี้ได้พอดี ราวกับมันสั่งทำขึ้นมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ
ขอบคุณนะคะ พ่อ
เธอสวมกอดท่านพ่อแน่น
ท่านพ่อตกใจเล็กน้อย แต่ก็กอดตอบเธอ ทั้งยังช่วยลูบแผ่นหลังเธอเบาๆ เป็นการปลอบโยนอีกด้วย
เรื่องแหวนเธอดีใจมากก็จริง แต่สำหรับเธอแล้วที่จริงของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือท่านพ่อนี่แหละ
เพราะการได้ต้อนรับวันเกิดอายุครบสิบแปดปีพร้อมกับท่านพ่อแบบนี้ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอเลย
มันล้ำค่ามากเสียจนอยากจะโอบกอดเอาไว้ให้แน่นๆ ในทุกช่วงเวลา ไม่อยากปล่อยมือออกไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
* * *