เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 3 บทที่ 90.1
สร้อยคอ?
มีใครทำสร้อยคอของชานาเนสหายอย่างนั้นเหรอ
หัวหน้าข้ารับใช้หญิงซึ่งไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้ในตอนนี้ นางทำงานรับใช้ในคฤหาสน์ลอมบาร์เดียมาได้หลายสิบปีแล้ว
นิสัยค่อนข้างเข้มแข็ง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่น่าจะมีสีหน้าซีดเผือดขนาดนั้นเลยแท้ๆ
“หะ…หากลองสอบถามพวกเด็กๆ ที่เข้าไปทำความสะอาดห้องนอนเมื่อเช้าวันนี้…”
“ช่างเถอะ”
ชานาเนสพูดขึ้นทั้งๆ ที่ยังคงยืนหันหลังให้พวกนาง
น้ำเสียงราบเรียบไม่สูงไม่ต่ำ ราวกับมันเป็นเรื่องของคนอื่นแต่เสียงแผ่วเบานั่นก็ยังทำให้หัวหน้าข้ารับใช้ผวาเฮือกจนตัวเกร็ง
“ไม่ค่ะ ท่านชานาเนส ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ข้าก็จะหาตัวคนร้าย…”
“เนลลี่”
ชานาเนสเรียกชื่อของหัวหน้าข้ารับใช้
“สร้อยคอน่ะ ข้าคงเป็นคนทำหายเอง”
“…คะ”
“พอมาลองคิดดูแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าสวมสร้อยคอเส้นนั้นออกไปข้างนอก สงสัยคงเผลอทำหายข้างนอกนั่นแน่ๆ เลย”
โกหก
ชานาเนสเก็บรักษาสร้อยคอเส้นนั้นที่เป็นของดูต่างหน้ามารดาของนางไว้อย่างหวงแหน
หากไม่ใช่วันพิเศษ นางย่อมไม่มีทางสวมสร้อยเส้นนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ทั้งนั้น
หัวหน้าข้ารับใช้จึงไม่อาจนึกคำพูดที่สมควรพูดออกไปได้
“ตะ…แต่ว่า…”
“เพราะฉะนั้นอย่าทำให้ทุกคนต้องลำบากเลย”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะถูกปล่อยผ่านไปง่ายๆ
หากเป็นตระกูลชั้นสูงที่มีข้าวของล้ำค่าราคาแพงหูฉี่ที่เหล่าสามัญชนทั่วไปไม่อาจแม้แต่จะหาชมได้ ประดับอยู่ทั่วคฤหาสน์เหมือนอย่างตระกูลลอมบาร์เดีย พวกเขาจะต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างเข้มงวด
หากเกิดเหตุการณ์ที่ลูกจ้างกล้าแตะต้องข้าวของของนายจ้างแล้วละก็ พวกเขาจะรื้อค้นที่พักอาศัยของพวกคนงานในทันที
แต่หากทำเช่นนั้นแล้วยังหาของชิ้นนั้นไม่พบ พวกเขาก็จะลากตัวข้ารับใช้ที่น่าสงสัยออกมาสอบสวนให้สารภาพความจริง เป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำไปหากจะเกิดการทรมานเพื่อเค้นให้สารภาพ
บางทีหัวหน้าข้ารับใช้เองก็คงจะประเมินสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ นางถึงได้มีสีหน้าซีดเผือดขนาดนั้น
“เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”
ชานาเนสถามเสียงเข้ม นางยังคงไม่ยอมเปิดเผยใบหน้าให้อีกฝ่ายเห็นเหมือนเคย
“คะ…ค่ะ ท่านชานาเนส”
“ขะ…ขอบพระคุณค่ะ…! ”
ข้ารับใช้อีกคนที่เหมือนจะเป็นคนเข้าไปทำความสะอาดห้อง ตัวสั่นเทาเสียจนแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่
“ออกไปได้”
หัวหน้าข้ารับใช้กับบรรดาลูกจ้างคนอื่นๆ พากันออกไปนอกห้องเมื่อได้ยินคำสั่งของชานาเนส
ฟีเรนเทียเองก็คิดอยู่ว่าควรจะออกไปด้วยดีมั้ยแต่ไม่รู้ทำไม เธอรู้สึกว่าการจะปล่อยชานาเนสทิ้งไว้คนเดียวในตอนนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
เสียงแกรกดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกปิดลง
ในวินาทีนั้นเอง
ร่างกายของชานาเนสที่ยืนตรงมาโดยตลอด ก็ทรุดตัวล้มฟุบลงไปในทันที
“…ฮึก!”
ภาพด้านหลังของชานาเนสที่ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น ยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไห้ ช่างดูตัวเล็กเหลือเกิน
“ทะ…”
เครนีย์มองภาพตรงหน้า เด็กน้อยทำท่าจะเดินเข้าไปใกล้ แต่เธอส่ายหน้า ไม่ยอมปล่อยมือเขา
“ท่านแม่…”
เพราะคิลลีวูกับเมโลนที่แอบดูสถานการณ์อยู่ในห้องได้เดินเข้าไปหาชานาเนสก่อนแล้ว
สองแฝดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจับไหล่ของชานาเนสอย่างระมัดระวัง
ชานาเนสพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองเมื่อเห็นบุตรชาย แต่มันไม่ง่ายเลย
“ฮึก…”
เครนีย์ที่ยังเล็กเพียงแค่เห็นภาพของชานาเนสกับพวกแฝด ก็เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา
“พวกเราไว้ค่อยมาเล่นกันครั้งหน้าเถอะนะ”
เธอบีบมือของเครนีย์เบาๆ พูดเสียงแผ่ว
“อื้อ”
แล้วหันหลังหมุนตัวกลับ
“ท่านปู่…?”
ท่านปู่กำลังมองชานาเนสด้วยนัยน์ตาเศร้าหมอง
ท่านเหม่อมองภาพด้านหลังของชานาเนสที่ทรุดอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังหมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ
ถึงแม้ท่านจะไม่ได้พูดอะไร แต่เธอรู้สึกได้ว่าท่านกำลังบอกให้เธอเดินตามออกไป
เธอจับมือเครนีย์เอาไว้ เริ่มเดินออกมายังสวนด้านนอกพร้อมกับท่านปู่ไปตามทางเดิมๆ เหมือนออกมาเดินเล่นในสวนอย่างที่เคยทำเป็นนิสัยอยู่ทุกวัน
จังหวะก้าวเดินของท่านปู่ช้ากว่าที่เคย เพื่อที่เครนีย์จะได้เดินตามพวกเราได้ทัน
เครนีย์เองก็ดูเหมือนจะรู้สึกถึงอารมณ์ของท่านปู่ เขาจึงเดินเงียบๆ ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
และในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงป่าไม้เขียวชอุ่ม
มันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำระหว่างท่านปู่กับท่านย่า
ท่านปู่หยุดเดิน ก่อนจะยกมือขึ้นแตะต้นไม้ต้นที่ใหญ่ที่สุดอย่างอ่อนโยน พลางพูดว่า
“รู้หรือไม่ว่าทำไมชานาเนสถึงได้เศร้าเพียงนั้น ทั้งๆ ที่ทำสร้อยคอหายแค่เส้นเดียว”
“ได้ยินว่ามันเป็นของดูต่างหน้าของท่านย่าค่ะ”
เธอตอบอย่างระมัดระวัง
“เพราะมันเป็นของล้ำค่า หากของล้ำค่าเช่นนั้นหายไป ข้าเองก็คงจะเสียใจมากเหมือนกันค่ะ”
ท่านปู่ลูบต้นสนด้วยความอาวรณ์ ท่านหันหน้ากลับมามองเธอพลางส่งยิ้มให้ และลูบผมของเธอ
สัมผัสจากมือของท่านช่างไร้เรี่ยวแรง
“ใช่แล้วละเทียเข้าใจความรู้สึกของชานาเนสแบบนี้ เทียของปู่ช่างมีจิตใจงดงามจริงๆ”
ท่านปู่พูดพึมพำเสียงแผ่วกับตัวเอง
“ชานาเนสสนิทสนมใกล้ชิดกับนาตาเลียมากเป็นพิเศษ เพราะนางเป็นลูกคนแรก ทั้งยังเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในบรรดาพี่น้องสี่คนสร้อยคอเส้นนั้นเป็นสิ่งที่นาตาเลียมอบให้ชานาเนสด้วยตัวเอง ก่อนที่นางลาลับจากโลกนี้ไป”
สร้อยคอเส้นนั้นเป็นของที่พิเศษกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก
ของดูต่างหน้าเช่นนั้นหายไป จะรู้สึกถึงความสูญเสียขนาดไหนกัน
“หากเป็นของล้ำค่าเช่นนั้น สมควรที่จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อตามหามันให้เจอ”
“ป้าชานาเนสเป็นคนรักสงบน่ะสิคะ”
“…ว่ายังไงนะ”
“ก็แค่ ดูเหมือนจะเป็นคนแบบนั้นน่ะค่ะ ข้าว่า…”
เธอฉีกยิ้มจางๆ ให้ท่านปู่ที่มองเธอด้วยนัยน์ตาแปลกใจ
มันเป็นข้อสรุปของเธอ เมื่อนึกถึงเหตุผลว่าทำไมชานาเนสถึงต้องสูญเสียอะไรมากมายในตอนที่หย่าร้าง
ชานาเนสไม่อยากให้ความสงบสุขของลอมบาร์เดียสูญเสียไปเพียงเพราะปัญหาของตัวเอง
นางไม่ได้คิดฝันเลยว่าเวสตินจะมีผู้หญิงคนอื่น นางยอมที่จะแบกรับทุกอย่างเอาไว้เองเพื่อสองแฝดกับตระกูลลอมบาร์เดียเป็นการเลือกที่แสนใจดีเหมือนคนโง่ สมกับเป็นชานาเนสมากจริงๆ
ฟีเรนเทียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงชายแขนเสื้อของท่านปู่อย่างระมัดระวังในขณะที่ถามขึ้น
“คือว่า ท่านปู่คะ”
“หืม? ”
“ยังมีของที่ท่านย่าเหลือเอาไว้อีกมั้ยคะของที่เก็บติดตัวไว้ได้ตลอดเวลาเหมือนอย่างสร้อยคอน่ะค่ะ”
“อืม ยังมีแหวนของนาตาเลียเหลืออยู่อีกหลายวงเหมือนกัน”
“ถ้างั้นเอาให้ป้าชานาเนสเป็นไงคะถึงแม้จะเทียบกับสร้อยคอไม่ได้ แต่ก็คงจะพอเติมเต็มช่องว่างที่หายไปได้บ้าง”
“โอ้ เป็นความคิดที่ดี! ใช่แล้ว ต้องทำเช่นนั้น!”
ใบหน้าของท่านปู่จากที่มีเพียงความขมขื่นจึงค่อยสดใสขึ้นมาบ้าง
“เด็กดีๆ ! ช่างฉลาดเสียจริง!”
ท่านปู่สวมกอดเธอแน่นจนเคราหยาบแทบจะแนบใบหน้าของเธออยู่แล้ว
เครนีย์เงยหน้ามองท่านปู่ที่กำลังหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยความประหลาดใจ เขาส่งเสียงร้อง ‘เห’ ราวกับเพิ่งเคยเห็นท่านหัวเราะเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทั้งยังยื่นหน้าตัวเองเข้าไปใกล้เพื่อขอให้ท่านลูบหัวเขาบ้าง
“ใช่แล้วๆ ต้องรีบไปค้นกล่องอัญมณีของนาตาเลียเสียหน่อย”
ท่านปู่เอาแต่หัวเราะด้วยความพอใจ ในขณะที่ลูบศีรษะทุยของเครนีย์ไปด้วย