เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 173.2
เล่ม 5 บทที่ 173.2
วันเปิดประชุมสภาขุนนาง
จักรพรรดินีหัวเราะเสียงดัง พลางตบมือไม่หยุดด้วยความอารมณ์ดี เมื่อได้ยินข่าวที่เบเจอร์กับเซรัลซึ่งนั่งหน้าซีดเผือดนำมาแจ้งนาง
“ว่ายังไงนะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
จักรพรรดินีราวีนีดูมีความสุขมากจริงๆ
“องค์จักรพรรดินี?”
เซรัลกับเบเจอร์ต่างก็นึกว่าเรื่องทุกอย่างคงจะจบสิ้นกันแล้ว จึงได้แต่มองราวีนีด้วยความร้อนใจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ลาลาเน่ เด็กคนนั้น เด็กคนนั้นหนีไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
ท่าทางของราวีนีที่หัวเราะไม่หยุดกระทั่งต้องยกมือขึ้นซับน้ำตาที่เล็ดออกมาบริเวณหางตา ทำให้เซรัลยิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
เพราะนางคิดว่าจักรพรรดินีโกรธเคืองเป็นอย่างมากจนกลายเป็นเช่นนั้น เมื่อได้ยินข่าวของลาลาเน่ที่สะบั้นการหมั้นหมายระหว่างเจ้าชาย แล้วลอบหนีตามคนรักไปกลางดึก
“เรื่องนี้เจ้าแจ้งให้ดิวอิจรู้หรือยัง เซรัล”
“จะ…แจ้งให้ทราบก่อนการประชุมสภาขุนนางเริ่มแล้วเพคะ แต่หม่อมฉันตั้งใจมาแจ้งข่าวนี้ให้องค์จักรพรรดินีทราบด้วยตัวเอง เพื่อขออภัย…”
เสียงของเซรัลสั่นเทาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
นางหวาดกลัวเหลือเกิน ด้วยรู้นิสัยอันแสนโหดเหี้ยมของราวีนีมาตั้งแต่เด็กแล้ว
“มะ…หม่อมฉันสั่งให้คนติดตามสืบร่องรอยไปแล้ว ไม่นานก็คงจะหาตัวเจอเพคะ เด็กคนนั้นไม่เคยได้เจอโลกภายนอก อย่างไรก็คงไปได้ไม่ไกล…”
“ได้ ตามนั้นก็แล้วกัน แต่ถ้าหาตัวเจอก็จงซ่อนตัวนางไว้ที่ไหนสักแห่งก่อนก็แล้วกัน เซรัล”
“เพคะ…?”
จักรพรรดินีราวีนียิ้มกว้างไม่สมกับเป็นนางเลยแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนสวรรค์ทรงช่วยเหลือโอรสของข้าเป็นแน่”
รอยยิ้มดั่งผู้ชนะเบ่งบานไปทั่วใบหน้างามของราวีนี
“ในเมื่อลาลาเน่ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องโดยตรงหนีไปแล้ว คราวนี้เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็ไม่เหลือหนทางให้ปลดราชโองการสั่งห้ามอีกต่อไปไม่ใช่หรือ”
“อ๊า…!”
เบเจอร์ตบเข่าเสียงดังฉาดเมื่อตระหนักได้ถึงความหมายที่จักรพรรดินีต้องการจะสื่อในที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตก็คงจะผ่านที่ประชุมขุนนางในวันนี้ได้เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
“ใช่แล้วค่ะ น่าขำที่เรื่องแค่นี้ยังต้องมานั่งร่างให้เป็นกฎหมายกันแบบนี้อยู่อีก แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่คะ”
ราวีนีเอ่ยพูดเสียงเอื่อย
“ยินดีด้วยนะคะ ท่านชายลอมบาร์เดีย รอให้วันนี้ผ่านไป ท่านชายก็จะได้เป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการแล้วละค่ะ”
“โอ๊ะ ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ! ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี!”
“แล้วก็เซรัล ถ้าเจ้าหาตัวลาลาเน่เจอ ก็จงซ่อนนางไว้ให้ดีในที่ที่ไม่มีใครหาตัวเจอได้เหมือนอย่างที่ข้าบอกเมื่อครู่นี้ด้วยล่ะ รอให้เรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยดีเสียก่อน ถึงตอนนั้นจะได้จัดการให้นางได้แต่งกับอาสทาน่าใหม่อีกครั้ง เข้าใจหรือไม่”
“เพคะ องค์จักรพรรดินี”
เซรัลเองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะยิ้มกว้าง
“กฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตน่ะ เพียงแค่รอเวลาสักหน่อยก็จะผ่านมติสภาขุนนางได้แน่ และหากได้รับการเห็นชอบยอมรับจากฝ่าบาทแล้ว ความเห็นของตัวแทนแต่ละเขตแดนมันก็เหมือนแค่พิธีการไร้สาระนั่นแหละ ในเมื่อผู้สืบทอดบัลลังก์ตามกฎหมายก็มีเพียงผู้เดียวอยู่แล้ว เจ้าพวกนั้นมันจะไปทำอะไรได้อีก”
จักรพรรดินีราวีนีเองก็รู้สึกตกใจตัวเองเหมือนกันที่คิดวิธีการอันแสนชาญฉลาดเช่นนี้ออกมาได้
เรียกได้ว่ามันเป็นแผนการที่จะทำให้เรื่องทั้งหลายที่ทำให้นางต้องกลุ้มใจตลอดเวลาที่ผ่านมา และสิ่งต่างๆ ที่กีดขวางหนทางในอนาคตของอาสทาน่าทั้งหมดปลิวหายไปได้ในครั้งเดียว
“แต่องค์จักรพรรดินีเพคะ ฝ่าบาท…”
เซรัลรู้จักนิสัยโลภมากของโยบาเนสดี จึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาทน่ะ…แค่มอบสิ่งที่พระองค์ต้องการให้ก็พอแล้ว”
อาจจะต้องโดนขูดเลือดขูดเนื้อ แต่หากอาสทาน่าได้ขึ้นเป็นรัชทายาทละก็ ย่อมหาทางกอบโกยกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน
“เอาละ ที่เหลือก็แค่เฝ้ารออย่างผ่อนคลายก็เรียบร้อย…”
แต่แล้วในตอนที่ราวีนีเปิดฝากาน้ำชาออก เตรียมจะรินชาให้ตัวเองนั้น
“องค์จักรพรรดินี!”
นางกำนัลคนสนิทประจำตัวจักรพรรดินีวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะหันไปมองกาน้ำชาที่อยู่ในมือของราวีนีด้วยความหวาดกลัว และหลับตาแน่นในขณะที่ตะโกนเสียงดัง
“ระ…ราชโองการสั่งห้ามของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียถูกปลดแล้วเพคะ องค์จักรพรรดินี!”
* * *
ณ ห้องประชุมสภาขุนนางประจำเมืองหลวง
ดิวอิจ อังเกนัส กำลังชักนำการประชุมให้ดำเนินต่อเนื่องไปได้อย่างประสบความสำเร็จตามแผนการที่วางไว้
“ ‘กฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโต’ จะกลายเป็นกฎหมายที่ช่วยสร้างรากฐานการสืบทอดตระกูลของอาณาจักรที่เละเทะไม่เป็นรูปร่างมาเสียนาน”
เริ่มจากความชอบธรรมของกฎดังกล่าว
“ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่หารือกันไปเมื่อครู่ กรณีที่บุตรชายคนโตตามกฎหมายจะสูญเสียสิทธิอันชอบธรรมในการสืบทอดตระกูลมีดังต่อไปนี้ กรณีที่มารดามีสายเลือดชั้นต่ำ กรณีที่ก่อความผิดร้ายแรงอย่างการก่อกบฏ และ…”
แม้กระทั่งเรื่องการสูญเสียสิทธิอันชอบธรรมตามที่ได้มีการหารือกับพวกขุนนางที่เขาเที่ยวไปเกลี้ยกล่อมและผูกมิตรก็เตรียมเอาไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย
แผนการทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบตามที่จักรพรรดินีทรงมีรับสั่ง
ดิวอิจ อังเกนัส กวาดสายตามองเหล่าสมาชิกสภาขุนนางที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยใบหน้าพึงพอใจ
พวกนั้นเป็นกลุ่มคนที่เดิมทีมักจะกระดิกหางวิ่งไล่ตามรูลลัก ลอมบาร์เดีย อยู่ตลอดเวลา
แต่หลังจากมีราชโองการสั่งห้ามเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียไม่ให้เดินทางเข้าเมืองหลวง และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหวนคืนกลับมาเร็วๆ นี้ แรงกายแรงใจของฝ่ายนั้นจึงถูกบั่นทอนลงไปมาก
“หึหึ…”
ดิวอิจ อังเกนัส หัวเราะอย่างมีเลศนัย
ในบรรดาคนเหล่านั้นยังมีอีกหลายคนที่เปลี่ยนทัศนคติอย่างว่องไว และเมื่อวานนี้เขาก็จัดการเกลี้ยกล่อมจนคนพวกนั้นยอมเปลี่ยนข้างหันมาอยู่ฝ่ายอังเกนัสได้สำเร็จ มั่นใจได้ว่าวันนี้จะต้องได้รับเสียงโหวตมากกว่าเดิมเป็นแน่
แน่นอนว่าไม่จ่ายเงินไปแม้แต่เหรียญเดียว
เพราะพวกนั้นเป็นฝ่ายดิ้นรนมาขอพบเขาด้วยตัวเอง เพื่อที่จะได้ดูดีขึ้นในสายตาของอังเกนัสยังไงล่ะ
‘อีกอย่าง กระทั่งลาลาเน่ ลอมบาร์เดีย ยังแอบหนีไปกลางดึกแบบนั้น คราวนี้รูลลักจบสิ้นแล้ว’
นึกถึงบิดาของเขาอย่างเฟรดริก อังเกนัส ที่ได้แต่หดหัวอยู่ในกระดอง หวาดกลัวรูลลัก ลอมบาร์เดีย อยู่เสมอขึ้นมา ดิวอิจ อังเกนัส ก็กำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้น
“ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มลงคะแนนเสียงกันเลยเถอะครับ ท่านประธาน”
ดิวอิจ อังเกนัส เอ่ยปากกับประธานในที่ประชุมที่เอาแต่นั่งถือค้อนเหม่อลอยไม่พูดไม่จา
“…อะแฮ่ม”
ประธานในที่ประชุมเองก็เป็นหนึ่งในพวกลูกสมุนของรูลลัก ลอมบาร์เดีย
ดิวอิจคิดว่า ถ้าหากฎีกาคราวนี้ผ่านฉลุยเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ เขาจะต้องผลักดันตัวเองให้ไปนั่งตำแหน่งนั้นให้ได้
“ถะ…ถ้าอย่างนั้น…”
แต่แล้วในจังหวะที่ประธานในที่ประชุมตั้งใจจะเอ่ยพูดขึ้น เพราะหยาดเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลังด้วยความอึดอัดใจกับสายตาที่ดิวอิจ อังเกนัส มองจ้องมา
โครม-!
ประตูบานใหญ่ของห้องประชุมที่ปิดแน่นมาโดยตลอดก็ถูกเปิดออกทั้งสองบานสุดแรง
“จะ…เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย…!”
บรรดาขุนนางฝ่ายลอมบาร์เดียที่ได้แต่นั่งหมดกำลังใจต่างก็ลุกพรวดจากที่นั่งทันที
“มะ…มาที่นี่ได้ยังไง!”
ดิวอิจ อังเกนัส เองก็ตกใจรีบลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้หงายไปด้านหลังและล้มตึง
เพียงพริบตาภายในห้องประชุมก็ตกอยู่ในความโกลาหล
แต่ต้นเหตุของความวุ่นวายอย่างรูลลัก ลอมบาร์เดีย กลับทำเพียงแค่สาวเท้าก้าวตรงไปยังกลางห้องประชุมโดยไม่พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ
และหันไปมองบรรดาขุนนางที่นั่งกันเต็มสองฝั่งด้วยใบหน้านิ่งขรึม
ยืดไหล่ตรง มือไขว้หลัง มองสบตาคนพวกนั้นทีละคนๆ
หลังจากมองจ้องด้วยนัยน์ตาลุกเป็นไฟ รูลลักจึงเปิดปากพูดขึ้น
“การตัดสินใจเลือกผู้สืบทอดเป็นอำนาจโดยชอบธรรมของชนชั้นสูง”
เสียงทุ้มต่ำดังก้องไปทั่วห้องประชุม
“ในยุคสมัยที่อาณาจักรเพิ่งจะเริ่มก่อตั้งเป็นแว่นแคว้นขึ้นมา เพื่อที่จะได้ป้องกันปัญหาการแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดกันอย่างดุเดือดเกินควร กฎที่ตั้งขึ้นในตอนนั้นอาจจะเป็น ‘ธรรมเนียมให้บุตรคนโตเป็นผู้สืบทอดตระกูล’ ก็จริง แต่!”
รูลลักถลึงตาจ้องเขม็งตรงไปที่ดิวอิจ อังเกนัส ในขณะที่เอ่ยพูดต่อ
“การเลือกตัวผู้สืบทอดที่จะรับช่วงภาระความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ของเจ้าตระกูล และหน้าที่มากมายต่อนั้น เป็นสิทธิ์ขาดของเจ้าตระกูลที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจเข้ามาก้าวก่ายได้!”
จากนั้นก็คำรามด้วยความกราดเกรี้ยวไปทางขุนนางทั้งหลายที่นั่งอยู่รอบกายดิวอิจ อังเกนัส
“ไอ้โง่ที่ไหนกล้าเห็นชอบกับฎีกาที่ละเมิดอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของชนชั้นสูง!”
เสียงตวาดลั่นของรูลลักเจ้าของนัยน์ตาคมดุทอประกายกร้าวด้วยความโมโหจัด ดังก้องสะท้อนไปทั่วห้องประชุม
“กรอด…”
ในวินาทีนั้นเอง ดิวอิจ อังเกนัส ได้แต่หลับตาแน่นด้วยลางสังหรณ์ว่า เห็นทีกฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรชายคนโตคงจะล้มเหลวเสียแล้ว
* * *
“อืม…”
จักรพรรดิโยบาเนสนั่งลูบคางด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย ในขณะที่มองหน้าเธอกับเฟเรส
แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดจะยังรู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“หมายความว่า ทั้งสองคนหมั้นหมายกันแล้วงั้นหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
เธอยิ้มกว้างเอ่ยตอบกลับไป
ในขณะเดียวกันก็พลิกมือเล็กน้อย เพื่อให้อีกฝ่ายมองเห็นแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วนางของเธอได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เพชรเม็ดใสสะท้อนแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างเข้ามาจากด้านนอก มันส่องประกายระยิบระยับเสียจนทำให้ตาพร่า