เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 184.2
เล่ม 5 บทที่ 184.2
วันต่อมา ณ คฤหาสน์ตระกูลอังเกนัส
“ลองตรวจทานดูอีกครั้งนะครับ”
เครย์ลีบันส่งหนังสือสัญญาฉบับใหม่ให้ดิวอิจ อังเกนัส
“ถ้าอย่างนั้นขอข้าอ่านสักครู่ก็แล้วกัน”
หนังสือสัญญาที่เจ้าตระกูลอังเกนัสเก็บไว้ กับหนังสือสัญญาที่เครย์ลีบันนำมาใหม่ถูกวางข้างกันอยู่บนโต๊ะ
และหลังจากอ่านอย่างละเอียดทีละแผ่น ก็พยักหน้าลงด้วยความพอใจ
ตอนที่เครย์ลีบัน เพลเลส เสนอให้เขียนสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมา แล้วเขาเผลอตอบตกลงไปนั่น ตัวเขาก็ได้แต่รู้สึกเสียใจขึ้นมาทีหลังอยู่เหมือนกัน
กระวนกระวายใจมากเหลือเกินว่าหรืออีกฝ่ายจะวางแผนการอะไรเอาไว้หรือเปล่า
แต่หนังสือสัญญาฉบับใหม่กลับเหมือนกับฉบับเก่าทุกประการ ไม่ได้มีอะไรแตกต่างอย่างที่เขานึกกังวล
ดิวอิจ อังเกนัส เหลือบมองเครย์ลีบัน
“อะแฮ่ม”
เพราะเขาดันแสดงออกไปให้อีกฝ่ายเห็นว่า ตนนั้นสงสัยในตัวเจ้าของร้านค้าเพลเลสเสียได้
“ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วหรือยังครับ”
แต่เครย์ลีบันก็ไม่ได้มีท่าทีโมโหอะไรอย่างที่เขาคิด เพียงแค่นั่งเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ทั้งยังยิ้มอย่างสบายใจอีกด้วย
บนใบหน้านั่นไม่มีความไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย
แถมยังชี้นิ้วไปยังตัวหนังสือตัวโตท้ายเอกสาร แล้วช่วยอธิบายให้ฟังอย่างเป็นมิตรด้วยซ้ำ
“ตรงนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดครับ ‘หากอังเกนัสไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นได้ ร้านค้าเพลเลสจะกลายเป็นเจ้าของเขตแดนเฮนโฟเรคที่ได้นำมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน’ ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วนะครับ”
“เรียบร้อย”
“เช่นนั้นกรุณาอ่านหมายเหตุด้านล่างนี่ด้วยนะครับ”
เครย์ลีบันชี้ไปยังคำอธิบายเพิ่มเติมที่ลิสต์อยู่ต่อท้ายเรื่อง ‘กรณีที่ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้น’
“เป็นคนละเอียดมากจริงๆ”
เจ้าตระกูลอังเกนัสพูดพลางหัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่า
“ยังไงตอนนี้สถานการณ์ก็แค่ลำบากเล็กน้อยเพียงระยะหนึ่งเท่านั้น อย่างไรที่ดินของอังเกนัสที่เอามาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันก็ไม่มีวันหลุดลอยไปได้อยู่แล้วละ”
“…นั่นสินะครับ”
เครย์ลีบันเว้นช่วงไปพักใหญ่ กว่าจะหัวเราะเออออไปตามเจ้าตระกูลอังเกนัส
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นแค่ประทับตราก็เสร็จแล้วใช่มั้ย”
“ครับ เรียบร้อยครับ”
ขั้นตอนหลังจากนั้นง่ายดายมาก
แค่เจ้าตระกูลอังเกนัสประทับตราสัญลักษณ์ตระกูลลงไปบนเอกสารย้ำๆ เหมือนอย่างที่เคยทำที่วังจักรพรรดินีเมื่อวันก่อน ก็เสร็จเรียบร้อย
“เยี่ยมมาก”
ดิวอิจ อังเกนัส รู้สึกภาคภูมิใจราวกับได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่ในฐานะเจ้าตระกูล
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้มาเสียนานเลยทีเดียว
แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันสังเกตเห็นอะไรที่ดูแปลกเล็กน้อยบนเอกสารสัญญา จึงเอ่ยถามเครย์ลีบัน
“จะว่าไปชื่อผู้ทำสัญญาไม่ใช่ ‘ร้านค้าเพลเลส’ แต่เป็น ‘เจ้าของร้านค้าเพลเลส’ หรือเนี่ย”
คำถามของเจ้าตระกูลอังเกนัสทำให้มือของเครย์ลีบันที่กำลังเก็บสัญญาอยู่ชะงักไปครู่หนึ่ง
“…ครับ ถูกต้องแล้วครับ”
ทว่าดิวอิจ อังเกนัส ที่มัวแต่มองตราประทับตระกูลอังเกนัสที่เจ้าตัวเป็นคนประทับตราลงไป กลับไม่ทันได้สังเกตเห็น
“ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เหมือนกับตราประทับของเจ้าตระกูลนั่นแหละครับ สำหรับข้าแล้วร้านค้าเพลเลสก็เป็นเหมือนตระกูลของข้า”
“โฮ่ว ก็จริง แบบนั้นน่าจะเชื่อถือได้มากกว่า”
“ขอบคุณที่เข้าใจครับ”
เครย์ลีบันจงใจชวนเจ้าตระกูลอังเกนัสพูดคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยกันต่อ
“หวังว่ายามลำบาก ข้าจะเป็นประโยชน์ให้กับอังเกนัสได้บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ”
“แค่มีประโยชน์เท่านั้นเองหรือ!ฮ่าฮ่า!”
แล้วค่อยๆ หยิบเอกสารสัญญาฉบับเก่าที่วางอยู่หน้าเจ้าตระกูลอังเกนัสขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้เตาผิง
“ถ้าต้องการข้าสามารถให้ยืมเงินก้อนใหญ่กว่านี้ได้อยู่แล้ว บอกข้าได้ทุกเมื่อเลยนะครับ”
“จะ…จริงหรือ”
“ครับ เดิมทีการค้าก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือครับ หนี้เองก็ถือเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งเหมือนกัน อ๊ะ แล้วก็ฉบับนี้ข้าเผาทิ้งเลยนะครับ”
เครย์ลียันยื่นสัญญาฉบับเก่าจ่อเข้าไปใกล้เปลวไฟที่ร้อนระอุลุกโชนท่วมฟืนในเตาผิง
“หืม อา เอาสิ ว่าแต่เงินทุนที่ว่านั่นจะได้สักประมาณเท่าใด…”
เจ้าตระกูลอังเกนัสโบกไม้โบกมือไม่สนใจอะไร ตอนนี้หูของเขาจดจ่ออยู่กับคำว่าจะให้ยืมเงินก้อนใหญ่ไปแล้ว
ขณะเดียวกันเอกสารสัญญาฉบับเก่าก็ร่วงหล่นลงบนกองไฟสีแดง
เครย์ลีบันเมินเสียงของดิวอิจ อังเกนัส ผ่านทะลุหูไปโดยไม่คิดแยแส
สายตาเย็นชาจับจ้องอยู่บนกระดาษที่มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านสีขาว
ความแตกต่างระหว่างสัญญาที่เขียนต่อหน้าจักรพรรดินี และสัญญาที่ร่างขึ้นใหม่มีเพียงจุดเดียวเท่านั้น
เครย์ลีบัน เพลเลส ได้ประทับตราส่วนตัวลงไป แทนที่จะใช้ตราประทับของเจ้าของร้านค้าเพลเลส
แต่ต่อหน้าจักรพรรดินีผู้มีไหวพริบดีเยี่ยมนั้น เขาจำเป็นต้องระมัดระวังตัวอยู่มาก
ถ้าหากฝ่ายนั้นเกิดฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่า เครย์ลีบันอาจจะไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงของร้านค้าเพลเลสก็เป็นได้ คงได้เกิดปัญหาน่าปวดหัวตามมาเป็นพรวนแน่
เวลาแบบนี้ความจริงที่ว่า ดิวอิจ อังเกนัส เป็นบุคคลที่เทียบชั้นจักรพรรดินีไม่ได้แม้แต่เสี้ยว ช่างทำให้เขาโล่งใจได้มากจริงๆ
“เพราะฉะนั้นที่ข้าอยากจะถามก็คือ…เจ้าพอจะให้ข้ายืมเงินเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เพื่อตระกูลได้หรือไม่”
เครย์ลีบันมองเจ้าตระกูลอังเกนัสที่มีใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อยด้วยความโลภอยากได้เงินทอง ก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร