เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 186.2
เล่ม 5 บทที่ 186.2
ยามบ่ายคล้อย แสงแดดเจิดจ้า
จักรพรรดินีราวีนีได้จัดงานเลี้ยงน้ำชาขึ้นหลังจากที่ไม่ได้จัดมาเสียนาน
หลังจากที่กฎการสืบทอดตระกูลด้วยบุตรคนโตไม่ผ่านมติที่ประชุม จักรพรรดินีก็ใช้ชีวิตเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เงียบๆ มาพักใหญ่ ดังนั้นงานในวันนี้จึงเต็มไปด้วยบรรดาสหายคนสนิททั้งหลายของราวีนี
คนที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นเจ้าตระกูลเซอเชาว์
ไม่ว่าจะมองจากรูปร่างน่าเกรงขามภายนอก หรือประสบการณ์ในฐานะอดีตหัวหน้าอัศวินก็ตาม
เขาเป็นบุคคลที่ดูแล้วไม่เหมาะกับงานเลี้ยงน้ำชาเลยแม้แต่น้อย แต่พอมานั่งยกแก้วชาสีขาวเนียนขึ้นดื่ม กลับดูเหมาะกับเจ้าตัวเสียจริงๆ
จักรพรรดินีจงใจสนทนากับชานตั้น เซอเชาว์ อย่างรักใคร่และสนิทสนมเป็นกันเองอย่างมากต่อหน้าแขกเหรื่อมากมาย คล้ายกับตั้งใจจะให้ทุกคนได้ประจักษ์แจ้งถึงความเป็นมิตรระหว่างพวกเขา
“ที่ผ่านมาร่างกายข้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เลยไม่ได้พบเจ้าตระกูลเซอเชาว์เสียนานเลย หวังว่าจะไม่รู้สึกน้อยใจนะคะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
คำตอบอย่างนอบน้อมของเจ้าตระกูลเซอเชาว์ ทำให้รอยยิ้มของจักรพรรดินียิ่งหวานเยิ้มมากกว่าเดิม
“แดดกำลังดีเชียว พวกเราไปเดินเล่นกันหน่อยดีมั้ยคะ”
จู่ๆ จักรพรรดินีก็เสนอขึ้นมา
“…ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าตระกูลเซอเชาว์พยักหน้าตกลง หากไม่สังเกตให้ดีคงไม่ทันได้รู้สึกว่าเขาเว้นช่วงลังเลไม่ตอบเพียงเสี้ยววิ
สายตาของคนทั้งงานเลี้ยงมองตามทั้งสองคนที่ลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกัน
“ไปเดินเล่นในสวนก็แล้วกันนะคะ”
“เชิญพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าตระกูลเซอเชาว์ผายมือเชื้อเชิญจักรพรรดินีตามธรรมเนียมด้วยมารยาทและความนอบน้อมตามแบบฉบับของอัศวิน
แววตาแฝงประกายความใคร่รู้หลายคู่มองตามหลังพวกเขาไป แต่จักรพรรดินีกลับยิ่งแอบลอบยิ้มราวกับเป็นเรื่องน่าสนุก แล้วปลีกตัวออกจากสถานที่จัดงานเลี้ยงน้ำชา
ผ่านไปไม่นานทั้งคู่ก็กำลังเดินเล่นกันอย่างผ่อนคลายอยู่ในสวนเปลี่ยวไร้ผู้คน
จักรพรรดินีหันไปมองรอบๆ ให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ก่อนจะเอ่ยปากพูด
“ได้ยินว่าปีนี้การเพาะปลูกของเซอเชาว์ให้ผลผลิตที่ดีเยี่ยมมากเลยใช่มั้ยคะ”
นัยน์ตางดงามคู่นั้นยังคงเหม่อมองไปไกลราวกับกำลังดื่มด่ำอยู่กับความผ่อนคลายในการเดินเล่น
“พลเมืองมากมายของอังเกนัสต่างก็ต้องพึ่งผลผลิตจากเซอเชาว์แล้วนะคะ”
จักรพรรดินีราวีนีกล่าวในขณะที่คลี่ริมฝีปากสีแดงสดโค้งเป็นรอยยิ้ม
“รู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ ค่ะ”
นางไม่ได้พูดออกไปเฉยๆ เพื่อชื่นชมอีกฝ่ายแต่อย่างใด
เป็นเพราะทางเซอเชาว์ยอมขายธัญพืชให้ในราคาถูก อัตราการเสียชีวิตของพลเมืองในอังเกนัสจึงลดต่ำลงมาก
เพราะอังเกนัสมีแต่ที่ดินแห้งแล้งไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก ทำให้ทุกปีอังเกนัสต้องเผชิญกับฤดูแล้งมากกว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้
เพื่อรักษาหน้าตาจึงต้องเสียเงินจำนวนมากในการส่งเสบียงออกไปช่วยเหลือชาวเมือง แต่การที่เซอเชาว์ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยการขายธัญพืชราคาถูกให้ จะเรียกว่าพวกเขาเป็นผู้มีพระคุณต่ออังเกนัสในปัจจุบันก็ไม่ผิดนัก
โดยเฉพาะในช่วงเวลาแบบนี้ที่เงินทองของอังเกนัสร่อยหรอไม่ต่างจากผืนดินที่ถูกสูบน้ำออกจนแล้ง ยิ่งมีบุญคุณหนักเข้าไปใหญ่
“ต่อไปก็ขอฝากเจ้าตระกูลเซอเชาว์ด้วยนะคะ”
“…กระหม่อมจะพยายามทำตามพระประสงค์อย่างสุดความสามารถพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
“ดีค่ะ ว่าแต่…”
จู่ๆ จักรพรรดินีก็หยุดเดินอย่างกะทันหัน นางเอื้อนเอ่ยลากเสียงยาวเหมือนลังเลอะไรบางอย่าง
“ช่วงนี้ข้ามีเรื่องกังวลใจอยู่เรื่องหนึ่งน่ะค่ะ เจ้าตระกูลเซอเชาว์”
แถมยังแสร้งแสดงสีหน้าลำบากใจขึ้นมา
แต่ชานตั้น เซอเชาว์ เองก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า นัยน์ตาสีฟ้าของจักรพรรดินีกำลังลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขาอยู่
“กังวลใจเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องอื่นใด…”
จักรพรรดินีมองสบตาชานตั้นตรงๆ ในขณะที่เอ่ยตอบ
“ที่ดินที่อังเกนัสมอบให้ตระกูลเซอเชาว์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อยืมเงินนั่น ขนาดของมันค่อนข้างใหญ่เกินไปหน่อยน่ะค่ะ”
ก็ต้องใหญ่แน่อยู่แล้วสิ
แค่ช่วงระยะเวลาไม่นานที่ผ่านมา ตระกูลอังเกนัสเล่นขอยืมเงินจำนวนมหาศาลจากเซอเชาว์ไปตั้งมากมายเท่าไหร่
พูดง่ายๆ ก็คือ ตอนนี้อังเกนัสพยายามที่จะใช้เงินของเซอเชาว์อุดรอยรั่วจากโครงการพัฒนาเขตตะวันตกที่ฝืนลงทุนลงแรงไปมาก และความล้มเหลวในการยื่นฎีกาเรื่องกฎการสืบทอดตระกูลนั่น
ผลลัพธ์ก็คือที่ดินเกินครึ่งของตระกูลอังเกนัสถูกนำมาใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้สินที่ก่อไว้
หรืออีกแง่ก็คือ ที่ดินเกินครึ่งของอังเกนัสในตอนนี้อยู่ในกำมือของเซอเชาว์นั่นเอง
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
แต่เจ้าตระกูลเซอเชาว์เพียงแค่พยักหน้าตอบรับนิ่งๆ ไม่เผยท่าทีในใจอะไรออกมาให้เห็น
“พอมาลองคิดๆ ดูแล้วข้าก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาน่ะค่ะ ตระกูลเซอเชาว์คงไม่ทำเรื่องแบบนั้นก็จริง แต่ถ้าจู่ๆ เกิดอยากได้เขตแดนอังเกนัสของพวกเราขึ้นมา ข้าก็ทำยังไงได้ล่ะคะ”
นัยน์ตาของจักรพรรดินีคมกริบดุดันขึ้นมา ต่างจากใบหน้าแย้มรอยยิ้มหวานไม่จาง
“แน่นอนว่าข้าเชื่อใจในตัวเจ้าตระกูลเซอเชาว์นะคะ ที่เจ้าตระกูลเคยกล่าวไว้ว่า ‘ไม่สนใจในที่ดินของอังเกนัส’ เมื่อตอนนั้น”
เจ้าตระกูลเซอเชาว์เม้มปากแน่นแทนคำตอบ
จักรพรรดินีจ้องมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายขณะที่เอ่ยต่อไป
“เพื่อที่ต่อไปอังเกนัสกับเซอเชาว์จะได้เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน และเพื่อที่ข้าจะได้เชื่อมั่นในตัวตระกูลเซอเชาว์ได้มากยิ่งขึ้น ข้าคิดว่าพวกเราควรที่จะเชื่อมั่นและเชื่อใจในกันและกันให้มากขึ้นค่ะ”
เชื่อมั่นและเชื่อใจอย่างนั้นหรือ
คำพูดนั้นทำให้แววตาของชานตั้น เซอเชาว์ ที่นิ่งเฉยมาโดยตลอดพลันส่องประกายโหดเหี้ยมขึ้นมา แต่ก็เพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น
จักรพรรดินีไม่อาจสังเกตเห็นได้เลย
“แน่นอนว่า ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อใจเจ้าตระกูลเซอเชาว์นะคะ”
ทว่านัยน์ตาสีฟ้าของจักรพรรดินีกำลังแสดงออกในทางตรงกันข้าม
ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ตอนนี้จักรพรรดินีกำลังเริ่มรู้สึกสงสัยในตระกูลเซอเชาว์
นั่นอาจจะเป็นแค่เพราะตระหนักขึ้นมาได้ว่า ‘พอมาลองคิดดูแล้ว นางได้มอบที่ดินมากเกินไปให้เซอร์เชาว์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน’ หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะมีอะไรมากกว่านั้น ชานตั้นไม่อาจล่วงรู้ได้เลย
“ต้องการให้กระหม่อมทำสิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชานตั้น เซอเชาว์ เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำ