เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 193.2
เล่ม 5 บทที่ 193.2
ผิดไปจากที่นางคิดเสียที่ไหน
พอเข้ามาใกล้เขตสวนประจำวังจักรพรรดิ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นเป็นอันดับแรก
“ฮ่าฮ่า! แคลอฮัน ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าจะเป็นสหายที่ปากหวานได้ขนาดนี้!”
“ความเจริญรุ่งเรืองของเชซายูเกิดขึ้นได้ก็เพราะน้ำพระทัยของฝ่าบาทแท้ๆ เหตุใดจึงกลายเป็นกระหม่อมปากหวานได้เล่าพ่ะย่ะค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
กระทั่งเรื่องนี้เองก็ยังเหมือนวันนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
ทำตัวราวกับไม่เคยเมินเฉยต่อกัน เหมือนกับว่าแท้จริงแล้วสนิทสนมดั่งพี่น้องคลานตามกันมา
แคลอฮันกับจักรพรรดิโยบาเนสกำลังสนทนากันอย่างครื้นเครงเลยทีเดียว
จักรพรรดินีกัดฟันแน่น
แคลอฮันไม่ใช่รูลลัก
หลังจากหยุดยืนอยู่บริเวณหัวมุมทางเดิน แล้วปลอบใจตัวเองซ้ำๆ อยู่แบบนั้นหลายต่อหลายครั้ง ราวีนีจึงค่อยก้าวเท้าเดินเข้าไปในสวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี
“ฝ่าบาท ทรงอยู่ที่นี่เอง ได้ข่าวว่ามีแขกน่ายินดีมาเยือน หม่อมฉันเลยรีบมาเพคะ”
“โอ้ จักรพรรดินีมาแล้วหรือ”
จักรพรรดิโยบาเนสกล่าวด้วยใบหน้าที่รอยยิ้มจางหายลงไปเล็กน้อย
พระองค์ไม่ได้รู้สึกยินดีกับการปรากฏตัวของจักรพรรดินีเลยสักนิด
แคลอฮันเองก็หยัดกายลุกขึ้นจากที่นั่งทันที
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะคะ ยินดีที่ได้พบหน้าค่ะ ท่านชายแคลอฮัน”
จักรพรรดินียื่นมือข้างหนึ่งออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เพื่อที่จะได้รับการทักทายตอบกลับมาอย่างมีมารยาทตามธรรมเนียมชาววังจากแคลอฮัน
แต่แคลอฮันกลับไม่จับมือข้างนั้น
นัยน์ตาเย็นชาต่างจากใบหน้าที่ยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอย่างสิ้นเชิงจับจ้องหลังมือขาวเนียนของจักรพรรดินีราวีนีเพียงครู่ ก่อนจะพูดยิ้มๆ เท่านั้น
“พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พบกันเสียนาน องค์จักรพรรดินี”
นั่นเป็นการหยามหมิ่นเกียรติกันอย่างร้ายแรง
ไร้ซึ่งมารยาทที่พึงปฏิบัติต่อคนเป็นถึงจักรพรรดินี
แต่แคลอฮันก็ยังคงยืนนิ่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง
ท่าทางบ่งบอกว่า อยากจะโกรธก็เชิญเลย เขาไม่แคร์หรอก
แพขนตายาวของจักรพรรดินีราวีนีสั่นระริกด้วยโทสะ แต่จักรพรรดิเองก็ไม่ได้เข้าข้างนางแต่อย่างใด
โยบาเนสกล่าวพลางตบแขนแคลอฮันเบาๆ อย่างเป็นมิตร
“แคลอฮัน ไหนเจ้าว่างานยุ่ง ต้องกลับแล้วไม่ใช่หรือ”
ก่อนจะได้ตอบอะไรออกไป แคลอฮันลอบสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นเขาจึงแสร้งยกยิ้มพูดประโยคที่เตรียมมาออกไป ทำท่าราวกับมันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆ
“พ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ต้องดูแลงานทั้งทางเชซายู ทั้งทางลอมบาร์เดียควบคู่กันไปด้วย กระหม่อมเลยยุ่งมากเสียจนเวลาในแต่ละวันไม่พอเลยละพ่ะย่ะค่ะ”
โยบาเนสมีปฏิกิริยากับคำพูดของเขาอย่างที่คาดการณ์เอาไว้
“เชซายูก็จริงอยู่หรอก แต่นี่ต้องดูแลลอมบาร์เดียด้วยรึ”
“กระหม่อมเองถึงเวลาต้องโผล่หน้าค่าตาไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตระกูลลอมบาร์เดียได้เห็นบ้างแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ความหมายคำพูดของแคลอฮันนั้นชัดเจนอยู่ในตัว
โยบาเนสถามกลับด้วยความตกใจ
“หืม เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียตัดสินใจเรื่องผู้สืบทอดแล้วอย่างนั้นหรือเนี่ย”
“ยังไม่ได้มีการประกาศอะไรออกมาอย่างเป็นทางการหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
แคลอฮันส่ายหน้าปฏิเสธ
ลอมบาร์เดียจะไม่ประกาศเรื่องผู้สืบทอด จนกว่าจะมีการปรึกษาหารือและตัดสินใจเรื่องทุกอย่างออกมาเป็นที่เรียบร้อย
แต่เรื่องที่ว่านั่น ทั้งจักรพรรดิและจักรพรรดินีต่างก็ไม่มีใครทราบอย่างแน่นอน แคลอฮันจึงตั้งใจที่จะใช้ช่องว่างนี้ให้เป็นประโยชน์
จนกว่าเทียจะขึ้นดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดอย่างเต็มตัว ถึงแม้จะรั้งเอาไว้ได้เพียงแค่ครู่เดียวก็เถอะ แต่เขาตั้งใจที่จะใช้ตัวเองเป็นโล่ให้แก่บุตรสาว
“ถึงยังไงก็เป็นความจริงที่ว่า หากไม่ใช่กระหม่อมแล้วก็ไม่มีผู้สืบทอดที่เหมาะสมอีกแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
โยบาเนสพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของแคลอฮัน
“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า เบเจอร์เองก็โดนขับไล่ออกจากตระกูลไปแล้ว”
สายตาของโยบาเนสยามกล่าวเช่นนั้นเหลือบมองไปทางจักรพรรดินีราวีนี
เรื่องที่จักรพรรดินีถือข้างเบเจอร์ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของตระกูล เป็นเรื่องที่ไม่ว่าใครต่างก็ทราบกันดีทั้งนั้น
“เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
แคลอฮันกล่าวลาโยบาเนสอย่างนอบน้อม
แล้วหันไปหยุดยืนตรงหน้าจักรพรรดินี
“กระหม่อมได้รับสารที่พระองค์ส่งมาเป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
“หรือคะ เห็นไม่มีสารตอบกลับมาเลย กำลังเป็นห่วงพอดีเชียวว่าส่งผิดไปที่ไหนหรือเปล่า”
จักรพรรดินีฝืนยิ้มทั้งๆ ที่ใบหน้างดงามบึ้งตึงไม่น่ามอง
“อย่างที่กล่าวไปเมื่อครู่ ระยะหลังมานี่กระหม่อมเองก็งานยุ่งมากพ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมจะตอบสารขององค์จักรพรรดินีให้ได้อย่างแน่นอน ต่อไปหากมีเรื่องใดสงสัย ก็เรียกตัวกระหม่อมได้ทุกเมื่อพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นหมายความว่า…”
“หมายความว่าอย่าได้ยุ่งกับบุตรสาวของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
แคลอฮันกระตุกยิ้มมุมปาก
นั่นคือคำเตือนต่อเรื่องที่เกิดขึ้นบนทุ่งหญ้าลอมบาร์เดีย
หลังจากหมดธุระแล้ว แคลอฮันก็โค้งศีรษะกล่าวลาจักรพรรดินีราวีนี แล้วเดินผ่านนางไปอย่างไม่สนใจไยดี
“อ๊ะ แคลอฮัน ข้าเองก็ต้องออกนอกวังอยู่เหมือนกัน ไปด้วยกันสิ!”
จักรพรรดิโยบาเนสก็วิ่งตามหลังแคลอฮันไปติดๆ
จักรพรรดินีราวีนีจึงถูกทิ้งให้อยู่ในสวนประจำวังจักรพรรดิเพียงลำพัง นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับกายไปไหนพักใหญ่
* * *
เข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
เทศกาลแข่งล่าสัตว์ที่ทางตระกูลลอมบาร์เดียเป็นเจ้าภาพเองก็ใกล้จะมาถึงแล้วเช่นกัน
สามสหายเพื่อนของเฟเรสที่เข้ามาพำนักอยู่ในวังโฟอิรัคเองก็กำลังสนทนากันอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับงานเทศกาลแข่งล่าสัตว์ด้วยความคาดหวัง
“เห็นว่างานเทศกาลแข่งล่าสัตว์ของลอมบาร์เดียครั้งนี้น่ะ จัดยิ่งใหญ่อลังการจนที่อื่นเทียบไม่ติดเลยนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็จะได้พบคุณหนูลอมบาร์เดียที่เจอหน้าครั้งก่อนด้วยเหรอ”
“ว้าว คุณหนูท่านนั้นน่ะสุดยอดไปเลย…ข้าเพิ่งเคยเห็นคนน่ากลัวกว่าเจ้าชายเป็นครั้งแรก”
คำถามของเทดโร่วทำเอาสติลลีย์ตัวสั่นเทาไม่หยุด
เพราะนึกถึงใบหน้าเย็นชายามออกคำสั่งพวกเขาว่า ‘ออกไปให้หมด’ ขึ้นมาได้พอดี
“แต่ก็นะ ก็ต้องคนระดับนั้นแหละ ถึงทำให้เจ้าชายของพวกเรากลายเป็นหมาป่าตัวน้อยว่าง่ายไปเลย…”
“อะแฮ่ม”
เทดโร่วถองสีข้างสติลลีย์
ขณะเดียวกันก็แอบมองให้แน่ใจว่า เฟเรสที่อยู่ข้างๆ จะแทงดาบคมกริบของเจ้าตัวใส่พวกเขาหรือเปล่า
แต่ขนาดได้ยินคำว่า ‘หมาป่าตัวน้อย’ ชัดเต็มสองหูชัดๆ เฟเรสก็ดูท่าจะไม่สนใจอะไรนัก
สายตานิ่งสงบยังคงเอาแต่จับจ้องอยู่ที่ดาบประจำตัวเพียงสิ่งเดียว
เพราะรู้ดีว่าพฤติกรรมนั่นเป็นนิสัยของเฟเรสเวลาอารมณ์ดีน่ะสิ สติลลีย์ถึงได้ค่อยวางใจได้ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นหัวข้ออื่นที่น่าจะดึงดูดความสนใจของเฟเรสได้บ้าง
“เรื่องพี่น้องคนละแม่ของเจ้าชายน่ะ เห็นว่าในเทศกาลแข่งล่าสัตว์คราวนี้ตั้งใจพาพวกลูกสมุนมือดีไปร่วมงานเกินสิบคนเลยนะ”
“อะไรนะ สิบคน?”
ริกนีเต้ถามกลับด้วยความตกใจ
“ใช่สิ เพราะอย่างนั้นเลยเที่ยวไปโอ้อวดมันทุกงานเลี้ยงเลยว่า เทศกาลแข่งล่าสัตว์ลอมบาร์เดียคราวนี้เจ้าตัวจะต้องเอาชนะเจ้าชายของพวกเราได้แน่ คิดยังไงกับคำพูดของเจ้านั่นเหรอ เจ้าชาย”
สติลลีย์ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเอ่ยถามเฟเรส
เฟเรสเองก็ตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกทันที
“รอให้ถึงช่วงวันท้ายๆ ของเทศกาลแข่งล่าสัตว์ก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นคงไม่มีใครอยากรู้แล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะ จะไปสนใจทำไม”
“อ่า ก็จริง”
สามสหายจากอะคาเดมีหัวเราะคิกคักในขณะที่แอบลอบแลกเปลี่ยนสายตากัน
ชิ้ง กริ๊ก
เฟเรสเสียบดาบกลับเข้าฝัง ก่อนจะลุกจากที่นั่ง
“ไปกันเถอะ”
เฟเรสเป็นฝ่ายเดินนำออกไปก่อน ส่วนสามสหายก็เดินตามหลังเขาไปทันที
สถานที่ปลายทางของวันนี้ก็คือที่จัดเทศกาลแข่งล่าสัตว์ประจำตระกูลลอมบาร์เดียในปีนี้นั่นเอง
‘ป่าวิกลจริต’ เขตพื้นที่ที่มีมอนสเตอร์ดุร้ายปรากฏกายขึ้นอยู่เป็นประจำ