เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 201.1
เล่ม 5 บทที่ 201.1
ตอนที่ 201
“ให้ตายเถอะ นี่มันป่าอะไรวะเนี่ย!”
อาสทาน่าเหลียวมองป่ามืดครึ้มให้บรรยากาศน่าขนลุกขณะที่สบถด้วยความไม่ชอบใจ
“จะกลับออกไปใหม่ก็ไม่ได้ด้วย…”
นัยน์ตาโศกเศร้าเหลียวหลังกลับไปมองเส้นทางที่พวกเขาเพิ่งเดินตรงเข้ามาเมื่อครู่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก
“อะไรกัน ทำไมไม่มีทางเดินไปต่อ”
คำพูดของอาสทาน่าทำให้บรรดาสหายจากตระกูลชั้นสูงที่เดินตามเขามาเหลียวหลังกลับไปมองกันอย่างพร้อมเพรียง
“จะ…จริงด้วย ทำไมไม่มีทางเดินล่ะ…”
“ต้นไม้นั่นดูคุ้นตาชอบกล เหมือนพวกเราจะเดินเข้ามาทางด้านนั้นหรือเปล่า”
“ไม่สิ ข้าว่าด้านนั้น…”
ความเห็นของแต่ละคนแตกออกไปหลายหลาก
แต่ทุกคนก็มองตรงไปที่อาสทาน่าเป็นสายตาเดียว
จะทำยังไงต่อดี
ในเมื่อหัวหน้ากลุ่มคืออาสทาน่า จึงเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาต้องถามความเห็นจากคนเป็นเจ้าชาย
“มองข้าทำไม!”
อาสทาน่ากลับตวาดเสียงดังด้วยความโมโห
“พวกเจ้าต้องหาทางไปต่อให้ได้ แล้วค่อยมาเชิญข้าไปไม่ใช่หรือไง!”
สำหรับอาสทาน่าแล้ว คำว่าหัวหน้ากลุ่มมันมีความหมายแบบนั้น
สะดวกสบายที่สุด ตัวตนที่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น
ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะเจ้าชายลำดับที่หนึ่ง หรือเจ้าชายเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์ ตลอดทั้งชีวิตเขาได้รับการดูแลแบบนั้นมาโดยตลอด ดังนั้นเรื่องพวกนี้มันก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้วเห็นๆ
ในตอนนั้นเอง ก็มีใครคนหนึ่งก้าวออกมาด้านหน้า แล้วเสนอตัวขึ้น
“คงต้องตามหาตัวมอนสเตอร์ให้ได้ก่อน กระหม่อมจะคอยอารักขาพระองค์อยู่ด้านหน้าเองพ่ะย่ะค่ะ”
เป็นเบเลซักที่ชักดาบเล่มยาวออกมาถือไว้นั่นเอง
เห็นว่าคราวนี้ถึงกับเตรียมมีดสั้นเล่มใหม่ติดตัวมาด้วย มิน่าถึงได้ดูมั่นอกมั่นใจนัก
คงคิดที่จะทำตัวให้โดดเด่นเข้าตาอาสทาน่า จะได้กลับเข้ามารวมกลุ่มเป็นสหายคนสนิทอีกครั้งสินะ
“ได้! ข้าเชื่อใจแต่เจ้าเท่านั้นนะ เบเลซัก!”
สำหรับอาสทาน่าแล้วไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ดีต่อเขาทั้งสิ้น
ขอแค่ไม่ต้องเดินนำหน้าสุดของขบวน ตะลุยเป็นด่านหน้าในป่าน่าขนลุกนี่ก็พอ
“ถะ…ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมจะรับหน้าที่อารักขาปิดท้ายกลุ่มเองพ่ะย่ะค่ะ”
พอเบเลซักเสนอตัวขึ้นมา คนอื่นๆ เองก็เริ่มออกหน้ากันบ้าง
“ต่อให้ได้ชื่อว่าป่าวิกลจริตก็เถอะ แต่ยังไงก็อยู่แค่ชายป่า จะไปมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นได้กัน”
“ใช่แล้ว อีกอย่าง พวกเรามีกันตั้งกี่คน!ถึงมอนสเตอร์จะโผล่หัวมาก็จัดการได้อยู่แล้วละน่า!”
เห็นแบบนี้ก็เถอะ อย่างน้อยพวกผู้ชายในตระกูลชั้นสูงทั้งหลายก็ได้เล่าเรียนวิชาดาบกันมาเป็นประจำตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว
ในกรณีที่ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติจริงๆ พวกเขาก็ยังรู้วิธีใช้ดาบเพื่อต่อสู้อยู่บ้าง
ความมั่นใจกลับมาเต็มเปี่ยมอยู่บนใบหน้าที่เคยได้แต่หันไปมองกันและกันด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง
“เช่นนั้นพวกเราเดินไปเรื่อยๆ ในทางตรงดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”
เบเลซักเอ่ยถามอาสทาน่า
เจ้าโง่
อาสทาน่าตอบกลับไปด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“ไม่ พวกเราต้องอยู่แถวชายป่านี้ไปก่อน จะได้ทำความคุ้นเคยกับป่าให้ได้”
ถึงแม้ความจริงแล้วเขาจะแค่กลัวที่ต้องเดินเข้าไปในป่าลึกกว่านี้ก็เถอะ แต่อาสทาน่าก็สร้างเหตุผลขึ้นมารองรับความกลัวของตัวเอง
“โอ้ ว่าแล้วเชียว!”
“สมแล้วที่เป็นเจ้าชายพ่ะย่ะค่ะ!”
คำกล่าวของอาสทาน่าที่บอกว่าจะไม่เข้าไปในป่าลึก ทำให้ใบหน้าของเหล่าสหายทั้งหลายพลันเบิกบานขึ้นมากันทันที
อาสทาน่ายักไหล่ไม่สนใจปฏิกิริยาพวกนั้น แล้วเอ่ยพูดขึ้นโดยแสร้งทำเป็นรอบรู้เหมือนอย่างที่เขาแอบวางแผนเอาไว้
“พวกเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พวกกลุ่มอื่นๆ เองก็คงไม่ต่างอะไรกันนักหรอก”
ต่อให้เป็นไอ้เวรนั่นก็ตาม
อาสทาน่าพึมพำในขณะที่นึกถึงเฟเรสขึ้นมา
“มีแค่สี่คนจะไปทำอะไรได้”
คนที่ติดตามเขามามีตั้งสิบห้าคนเชียวนะ
ไหล่ที่เคยสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวของอาสทาน่าค่อยกลับมายืดขึ้นได้อีกครั้ง
และในจังหวะที่กำลังจะก้าวขาเดิน
ปัง!
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงสนั่นดังขึ้นท่ามกลางป่าเงียบสงัด
“อ๊ากกกก!”
อาสทาน่ากรีดร้องเสียงดังลั่น เขารีบคู้กายลงไปนั่งยองๆ กับพื้น
“ดะ…ดูเหมือนจะมีคนยิงพลุสัญญาณพ่ะย่ะค่ะ!”
เบเลซักชี้นิ้วไปยังพลุไฟสีแดงที่ถูกยิงขึ้นสูงเหนือท้องฟ้าพลางเอ่ยพูดขึ้น
“ขะ…ข้ารู้น่ะ!”
อาสทาน่าตวาดกลับไป พยายามแสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็นอย่างสุดความสามารถ
“ว่าแต่นั่นไม่ใช่ทางที่พวกเราตั้งใจว่าจะไปกันหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เหตุผลในการยิงพลุสัญญาณเก้าในสิบส่วนเป็นเพราะมอนสเตอร์
ดังนั้นหากเป็นคนที่ต้องการจะจับมอนสเตอร์เพื่อคว้าชัยชนะแล้วละก็ ย่อมต้องวิ่งหน้าตั้งตรงไปทางฝั่งนั้นอย่างกระตือรือร้นถึงจะถูกต้อง
แต่อาสทาน่ากลับก้าวถอยห่างไปยังฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่มีการยิงพลุสัญญาณ แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ไปทางนี้เถอะ”
ไม่มีใครโต้แย้งการตัดสินใจนั่นเลยแม้แต่ผู้เดียว
เพราะไม่ว่าใครต่างก็ไม่อยากจะเดินไปในทิศที่ทำให้ต้องมีการยิงพลุสัญญาณขึ้นทั้งนั้น
* * *
ณ บริเวณชายขอบเขตวิลล่าที่บรรจบกับชายป่า
บริเวณนี้เป็นทุ่งหญ้าที่จัดเตรียมเอาไว้ด้วยโต๊ะและมีอาหารเลิศรสเรียงราย นอกจากนี้ยังมีการละเล่นง่ายๆ ที่ไม่ว่าชาย หญิง คนชรา หรือเด็กต่างก็สามารถเข้าร่วมสนุกกันได้อีกหลายกิจกรรม เพื่อให้เหล่าชนชั้นสูงที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งล่าสัตว์ได้ออกมาสนุกร่วมกัน
เสียงดนตรีครื้นเครงถูกบรรเลงอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
กว่าจักรพรรดิโยบาเนสจะตื่นบรรทมลุกออกมานอกห้องนอนก็เลยยามเที่ยงไปแล้ว และในตอนนี้พระองค์ก็กำลังดื่มด่ำกับสุราเมรัยจนเริ่มมึนศีรษะเสียแล้ว
“บุตรสาวของเจ้าเป็นผู้เตรียมการทั้งหมดนี่เลยงั้นหรือ แคลอฮัน”
จู่ๆ โยบาเนสก็เอ่ยถามแคลอฮันที่กำลังช่วยรินเหล้าเพิ่มให้
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ พอได้ข่าวว่าฝ่าบาทจะเสด็จมาร่วมงานด้วย นางก็ยิ่งทุ่มเทมากกว่าเดิม ทำงานอย่างหนักตลอดหลายวันเลยพ่ะย่ะค่ะ”
แคลอฮันยิ้มด้วยความภาคภูมิใจพลางเอ่ยตอบ
“อืม น่าอิจฉา น่าอิจฉา”
โยบาเนสหยิบแก้วเหล้าไปแตะค้างไว้ที่ริมฝีปาก
“ไม่ใช่เพราะเป็นหลานสาวของกระหม่อมหรอกพ่ะย่ะค่ะ แต่เทียของพวกเราเป็นเด็กที่ค่อนข้างพิเศษมาก”
รูลลักเองก็พูดเสริมขึ้นจากด้านข้าง
“เฮ้อ”
สุดท้ายโยบาเนสก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
รูลลักที่เฝ้ามองภาพนั้นอยู่นิ่งๆ ได้โอกาสยกยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“มีเรื่องกลุ้มใจหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“…ทั้งๆ ที่รู้ก็ยังโอ้อวดหลานสาวอีกหรือครับ”
โยบาเนสตำหนิ
“กระหม่อมขอตัวสักครู่พ่ะย่ะค่ะ”
แคลอฮันปลีกตัวออกไปอย่างรู้งาน
องค์จักรพรรดิกรอกเหล้าที่เหลือเข้าปาก พระองค์เหม่อมองไปไกลในขณะที่เปิดปากพูดขึ้นอีกครั้ง
“ข้ายังแข็งแรงเป็นปกติดีแท้ๆ แต่ทำไมพวกนั้นถึงได้เอาแต่พูดเรื่องผู้สืบทอดกันอยู่ได้ นั่นไม่ต่างอันใดกับหวังให้ข้าตายเลยไม่ใช่หรือครับ”
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่องค์จักรพรรดิจะไม่ชอบใจการพูดคุยเรื่องผู้สืบทอดขนาดนี้
เดิมทีอำนาจก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถแบ่งปันกันได้อยู่แล้ว ต่อให้เป็นสายเลือดของตัวเองก็ตาม
“ดูเหมือนพวกอังเกนัสจะกระวนกระวายใจมากเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ ดูจากที่พวกนั้นเป็นห่วงฝ่าบาทมากขนาดนี้”
“เป็นห่วงงั้นหรือครับ!”
เมื่อปากเปิดออกแล้วครั้งหนึ่ง ก็พรั่งพรูทุกสิ่งที่เก็บกดไว้ในใจออกมาจนหมดสิ้น โยบาเนสรินเหล้าลงในแก้วของรูลลักที่พร่องลงไปบ้างแล้ว ใบหน้าของพระองค์บิดเบี้ยวไม่น่ามอง
“ไล่ต้อนกันราวกับหวังให้ข้าตายมันเสียตอนนี้”
หากรอบๆ ไม่มีสายตามากมายจับจ้องอยู่ละก็ ป่านนี้คงจะยกเหล้าขึ้นดื่มจากขวดไปแล้ว
รูลลักเองก็ส่ายหน้าเช่นกัน
‘ดูเหมือนจักรพรรดินีคงจะร้อนใจมากทีเดียว’
จักรพรรดินีราวีนีไม่ได้ไล่ต้อนโยบาเนสจนทำให้คนเป็นจักรพรรดิสั่งสมความไม่พอใจเอาไว้เสียมากมายแบบนั้นหรอก
แต่มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เหยื่อผู้ถูกไล่ต้อนจะรู้สึกแบบนี้
รู้สึกได้ถึงความจริงที่ว่ามีอะไรบางอย่างในป่ากำลังจ้องจะตะครุบตน เพราะฉะนั้นจึงออกวิ่งไปยังทิศทางที่ไม่สมควร
โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่รออยู่ทางด้านนั้นอาจจะเป็นเหวลึกก็เป็นได้