เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 5 บทที่ 213.2
เล่ม 5 บทที่ 213.2
จิ๊จิ๊
เฟเรสเดาะลิ้นเสียงดัง
ในตอนนั้นเอง รถม้าก็กระตุกหนึ่งรอบ
“ถึงพระราชวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสเอ่ยพูดพร้อมกับความเร็วของรถม้าที่ค่อยๆ ลดระดับลง
“แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะรู้สึกขอบคุณที่กระหม่อมเร่งรัดทุกสิ่งให้รวดเร็วขึ้นแบบนี้ เพราะอย่างน้อยทุกอย่างก็จะจบเร็วขึ้นนี่นะ”
รถม้าจอดนิ่งสนิท
ทว่ากลับไม่มีมหาดเล็กวิ่งเอาแท่นรองเหยียบมาวางเตรียมให้ เพราะพวกเขาไม่อาจเข้ามาใกล้รถม้าได้ เนื่องจากแรงกดดันจากอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ที่ยืนอารักขาอยู่รอบๆ รถม้า
ช่วยไม่ได้สินะ
เฟเรสพึมพำสั้นๆ ในขณะที่หยัดกายลุกขึ้นยืน
“เพราะฉะนั้นก็อย่าได้ทรงขอความเมตตาใดๆ จากกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
มือของเฟเรสเอื้อมไปจับที่เปิดประตูรถม้า
“ตั้งแต่ต้นแล้ว เจ้ากับข้า มันต้องมีใครคนใดคนหนึ่งหายไปถึงจะจบศึกครั้งนี้ได้”
และช่วยเปิดประตูรถม้าให้จักรพรรดินีอย่างสุภาพขณะที่เอ่ยขึ้นว่า
“ลงไปสิพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีทางให้ถอยหลังกลับอีกแล้ว องค์จักรพรรดินี”
ประตูถูกดันออกกว้างไม่มีจังหวะทันให้ได้เอื้อมมือออกไปหยุดมันไว้ ทั้งบรรดาอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ ทั้งบรรดามหาดเล็กประจำวังที่ยืนอยู่ห่างๆ ต่างก็ได้เป็นพยานเห็นฉากนี้กันทั้งสิ้น
ภาพจักรพรรดินีกำลังคุกเข่าลงตรงหน้าเฟเรส
นัยน์ตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
“ถ้าพระองค์ยังไม่ลง อย่างนั้นกระหม่อมลงก่อนก็แล้วกัน เชิญเสด็จกลับดีๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสกล่าว ก่อนจะก้าวลงจากรถม้าทันที แล้วหันไปออกคำสั่งมหาดเล็ก
“องค์จักรพรรดินีทรงต้องการแท่นรองเหยียบ รีบไปจัดเตรียมมาเถอะ”
เฟเรสทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น แล้วหมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปยังวังโฟอิรัคทันที
สามสหายที่ออกมายืนรออยู่ก่อนแล้ว รีบเดินประกบตามหลังไปด้วยอย่างรวดเร็ว
ทว่าใบหน้าของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความงุนงง
“เจ้าชาย?”
เพราะจู่ๆ ใบหน้าของเฟเรสกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชา
ทำให้จักรพรรดินีถึงกับยอมคุกเข่าให้ได้แล้วแท้ๆ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้กันล่ะ
เฟเรสซึ่งเดินนำอยู่หน้ากลุ่มเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ริกนีเต้”
“อื้อ เจ้าชาย”
“คอยจับตามองอาสทาน่าให้เข้มงวดยิ่งกว่าเดิม”
“เสด็จพี่จอมโง่นั่น ทำไมล่ะ”
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าหนักหน่วงยามเดินไปบนถนนหินประจำพระราชวังดังขึ้น พร้อมกับเสียงเฟเรสที่เอ่ยตอบคำถามของริกนีเต้กลับไป
“ขนาดยอมคุกเข่า แต่กลับไม่ขอร้องเรื่องอาสทาน่าเลยสักคำ”
เฟเรสไม่เคยเชื่อในละครของจักรพรรดินีเลยแม้แต่วินาทีเดียว เพราะเขาเห็นจักรพรรดินีมานานเกินกว่าจะทำใจเชื่อได้ลง
และยังทราบดีอีกอย่าง
จักรพรรดินีไม่มีวันยอมแพ้ในตัวอาสทาน่าอย่างเด็ดขาด
ราวีนีเป็นพวกหลงใหลในอำนาจ และหากไม่มีอาสทาน่า นางก็จะไม่สามารถคว้าสิ่งเหล่านั้นไว้ในกำมือได้อีกต่อไป
ก็เพียงแค่อยากจะยื้อเวลา แสร้งทำให้เฟเรสตายใจจนเผลอประมาทเท่านั้นเอง
“อีกไม่นานจักรพรรดินีต้องลงมือเคลื่อนไหวแน่”
ในบรรดาเรื่องทั้งหลายแหล่ที่จักรพรรดินีพูดในรถม้าพวกนั้น มีเพียงเรื่องเดียวที่เป็นความจริง
ความจริงที่ว่า นางหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแล้ว เพราะไม่อาจทราบได้เลยว่าบทสรุปในการประชุมใหญ่คราวหน้าจะเป็นเช่นไร
* * *
ณ ห้องประชุมคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย
ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากตอบคำถามท่านปู่ออกมาง่ายๆ
“ดูเหมือนทุกคนจะมีเรื่องให้ต้องคิดอีกมากสินะ”
ท่านปู่กล่าวพลางพยักหน้า
“ได้ หากแค่คิดจะแต่งตั้งรักษาการเจ้าตระกูล ข้าคงไม่เรียกพวกเจ้ามารวมตัวกันแบบนี้หรอก ลำบากทุกคนแล้ว”
คำกล่าวของท่านปู่ทำให้บรรดาเจ้าตระกูลส่งเสียงฮือฮากันอย่างเซ็งแซ่อีกครั้ง
“พูดถึง…ผู้สืบทอดหรือครับ”
ทุกคนกลั้นหายใจรอคำตอบจากท่านปู่
เธอเองก็ด้วย
ได้แต่มองปากของท่านปู่ด้วยใจกระสับกระส่าย ราวกับนักเรียนที่เฝ้ารอลุ้นผลสอบ
ตึ้กตั้ก ตึ้กตั้ก
หัวใจเต้นดังจนเหมือนจะกระดอนหลุดออกมาจากปาก
“ใช่แล้ว”
ว่าแล้วเชียว!
มือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ใต้โต๊ะ
ไม่ใช่แค่รักษาการเจ้าตระกูลธรรมดาทั่วไป แต่เป็นผู้สืบทอดที่จะรับตำแหน่งเจ้าตระกูลเป็นคนถัดไป
อ๊า รู้สึกดีจัง!
คำพูดที่ได้ยินด้วยสองหูของตัวเองจากปากของท่านปู่ มันช่างหวานหูจนแทบจะทำให้เธอเป็นลมหมดสติด้วยความดีใจ
‘เรียบร้อย! ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!’
อยากจะลุกขึ้นร้องตะโกนเสียงดัง แต่เธอก็พยายามกลั้นเสียงหวีดร้องด้วยความดีใจเอาไว้ แล้วยกยิ้มอยู่เงียบๆ ได้สำเร็จ
“เทีย”
ท่านปู่เอ่ยเรียกเธอ
“ดูเหมือนทุกคนจะอึดอัดใจไม่น้อย”
“ก็สมควรอยู่ค่ะ”
เธอพยักหน้าพลางหันไปมองหน้าพวกเขา
เธอพูดจากใจจริง เพราะหากเป็นเธอก็คงรู้สึกกังวลเหมือนกัน
ข้ามผ่านบรรดาบุตรชายบุตรสาวของเจ้าตระกูล แล้วกลับมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลคนถัดไปให้หลานสาวแทน แถมหลานสาวที่ว่าคนนั้นยังเป็นเธอที่ยังเด็กมากอีกด้วย
“ทุกท่านต่างก็รักในตระกูลลอมบาร์เดียกันเป็นอย่างยิ่ง ข้าเข้าใจค่ะ”
เพราะเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นได้ หากเลือกเจ้าตระกูลผิดคนพวกนั้น เธอเองก็เข้าใจมันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
“ใช่แล้ว ถ้าอย่างนั้นปู่คนนี้ขอถามคำถามไม่กี่ข้อก็แล้วกัน เจ้าจงตอบตามจริง”
“ค่ะ ท่านปู่”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าคิดว่าลอมบาร์เดียควรจะเคลื่อนไหวอย่างไร”
“ลอมบาร์เดีย…”
เธอตั้งใจจะเอ่ยตอบไปทันที แต่ก็ต้องปิดปากแน่นอีกครั้ง
เพราะนึกถึงชีวิตก่อนที่อึดอัดใจมากเสียจนทำเอาเธออยากจะตะโกนกรีดร้องคำพูดประโยคที่เธอกำลังตั้งใจจะพูดออกไปอยู่นี่ขึ้นมา
“อะแฮ่ม”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึก แสร้งทำเป็นกระแอมไอ เพราะหากไม่ทำแบบนั้นละก็ คงได้หลุดพ่นความโกรธทั้งหลายแหล่ที่เก็บกดมาเนิ่นนานออกไปแน่
“หนทางที่ลอมบาร์เดียต้องเลือกเดินในตอนนี้มันง่ายและชัดเจนมากค่ะ”
เพราะในชีวิตก่อนแค่ทำเรื่องง่ายๆ แบบนี้ยังทำไม่ได้ ตระกูลลอมบาร์เดียถึงได้ถูกลงกลอนปิดตายแบบนั้น
แค่เพราะทำเรื่องง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้ ตระกูลลอมบาร์เดียที่แสนยิ่งใหญ่ของเธอถึงได้ถูกลบจนเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
เธอมองสบตาท่านปู่กับบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาที่มองหน้าเธออยู่ ในขณะที่เอ่ยพูดออกไป
“เจ้าชายลำดับที่สองจะได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท ดังนั้นพวกเราสมควรที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีงามที่มีต่อเจ้าชายลำดับที่สองเฟเรสเอาไว้ และดื่มด่ำกับผลประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคตค่ะ แค่นั้นค่ะ”
แต่ในชีวิตใหม่นี้ เรื่องพวกนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
เพราะเธอย้อนเวลากลับมาเพื่อวินาทีนี้นี่แหละ
โปรดติดตามต่อเล่ม 6