เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 222.2
“ไม่ได้กลับมาเสียนานเลย”
เครนีย์ยิ้มกว้าง ในขณะที่มองทิวทัศน์ของลอมบาร์เดียที่แสนคิดถึง
เด็กหนุ่มสูดเอาอากาศของลอมบาร์เดียเข้าไปเต็มปอด
“ต้องรีบกลับไปอวดท่านพี่เทียแล้ว!”
หลังจากที่เครนีย์เดินทางไปยังอะคาเดมี เด็กหนุ่มก็พัฒนาขึ้นมากราวกับปลากระดี่ได้น้ำ
เป็นเพราะเขาได้อ่านหนังสือดีๆ ทั้งหลายแหล่ที่พี่สาวลูกพี่ลูกน้องช่วยแนะนำให้ตอนเด็กๆ หรือเปล่านะ หรือเป็นเพราะเดิมทีเขาเองก็หัวดีอยู่แล้ว ถึงได้ไม่เคยพลาดอันดับท็อปของชั้นเรียนเลยสักครั้ง
“ถ้าคราวนี้บอกว่าเหลืออีกแค่ปีครึ่งละก็ ท่านพี่จะต้องดีใจแน่!”
ตอนนี้เหลือไม่ถึง 2 ปี เขาก็จะเรียนจบแล้ว
หลักสูตรที่ปกติต้องใช้เวลาถึง 6 ปี เขาจบมันได้ภายในเวลาแค่ 4 ปีเท่านั้น
เครนีย์ยิ้มหน้าบานอย่างมีความสุขจนแก้มเปล่งปลั่ง
ตึง!
“อึ๊ก!”
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ รถม้าก็หยุดอย่างกะทันหัน ทำให้เครนีย์ล้มลงไปเข่ากระแทกกับที่นั่งรถม้า
“มีเรื่องอะไรกันครับ”
“ขะ…ขออภัยครับ! พอดีด้านหน้ามีพวกอัศวินขวางทางอยู่!”
“อัศวิน”
เครนีย์เอียงคอด้วยความงุนงง เขายื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่น
พวกอัศวินจากกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์กำลังมองเครนีย์ด้วยใบหน้าดุดัน
“นี่มัน…เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เครนีย์มองไปยังประตูคฤหาสน์ด้วยความตกใจ
“ทำไมทหารของราชวงศ์ถึงได้ล้อมอยู่รอบคฤหาสน์กันล่ะ”
โล่งอกที่พวกอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ค่อยๆ ล่าถอยไปอย่างช้าๆ รถม้าจึงสามารถผ่านเข้าไปตรงหน้าเขตประตูคฤหาสน์ได้
“ขอตรวจค้นหน่อยนะครับ”
ในตอนนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับประตูรถม้าที่เครนีย์นั่งมาถูกเปิดออกกว้าง
เครนีย์ที่กำลังตกอยู่ในความตึงเครียดเงยหน้าขึ้นมองอัศวินที่เป็นคนเปิดประตูทันที
“…พี่คิลลีวู”
“อะไรกัน เครนีย์หรอกเหรอ”
คิลลีวูสวมชุดอัศวินลอมบาร์เดีย ชายหนุ่มแสยะยิ้มมองเครนีย์
“หืม เครนีย์งั้นเหรอ”
ใบหน้าของเมโลนเองก็โผล่แทรกเข้ามาในรถม้าด้วยเช่นกัน
“มาเพราะปิดเทอมแล้วสินะ”
เมโลนเอ่ยถาม
“มีเรื่องอะไรเหรอ ทำไมหน้าคฤหาสน์…”
“เข้าไปถามเทียเองเถอะ นางคงอธิบายให้เจ้าฟังได้ดีกว่า แต่ไม่ได้มีเรื่องใหญ่โตอะไร เพราะงั้นไม่ต้องกังวลนะ”
คิลลีวูกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะปิดประตูรถม้าให้ แล้วส่งสัญญาณมือไปทางพลทหารลอมบาร์เดีย
ประตูคฤหาสน์ที่เคยปิดแน่นจึงเปิดออกอย่างช้าๆ รถม้าที่เครนีย์นั่งโดยสารมาจึงเริ่มวิ่งไปบนถนนในคฤหาสน์
อีกด้านหนึ่ง รูลลักกำลังมองรถม้าคันหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาในคฤหาสน์
“ท่านพ่อ”
แคลอฮันเดินเข้ามาหารูลลักจากด้านหลัง
“จะปล่อยให้เป็นแบบนี้หรือครับ”
“ถ้าไม่ปล่อยล่ะ”
แคลอฮันขมวดคิ้วแน่น เมื่อได้ยินคำถามของรูลลัก
“ไม่ต้องช่วยเทียคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี่หรือครับ”
ชานาเนสเองก็เดินเข้ามาช่วยพูดอย่างระมัดระวัง
“ประจันหน้ากันแบบนั้นมาหลายวันแล้วนะคะ ท่านพ่อ”
“ที่เจ้าเป็นห่วงใช่ความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์กับลอมบาร์เดียจริงหรือ แคลอฮัน”
รูลลักหันไปถามแคลอฮัน
“พูดความตั้งใจจริงของเจ้ามาดีกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่อ้อมค้อมแล้วนะครับ”
แคลอฮันเปิดปากพูดด้วยใจที่หนักอึ้ง
“เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียยังคงเป็นท่านพ่อนะครับ ไม่ใช่เทีย หากปล่อยให้ประจันหน้ากันแบบนี้ต่อไป มีแต่จะเพิ่มความกดดันให้เทียมากกว่านะครับ”
“ที่แคลอฮันพูดมาถูกต้องแล้วค่ะ ท่านพ่อ ข้าว่าส่งสารไปหาฝ่าบาทน่าจะดีกว่านะคะ”
ชานาเนสเองก็ช่วยแคลอฮันพูด แต่รูลลักกลับเพียงแค่ส่ายหน้าด้วยใบหน้าจริงจังเท่านั้น
“ท่านพ่อ!”
แคลอฮันกับชานาเนสพยายามช่วยกันโน้มน้าว แต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของรูลลักได้
“เจ้าพูดผิดแล้ว เรื่องนี้เป็นการต่อสู้ของเทีย แคลอฮัน”
ว่าแบบนั้นแล้วก็จ้องมองไปยังพวกกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ที่ยืนล้อมอยู่รอบเขตคฤหาสน์
“ตอนนี้โยบาเนสกำลังตั้งใจที่จะกดข่มอำนาจก่อนที่เทียจะขึ้นเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย จงใจที่จะทำให้เทียยอมนอบน้อมเชื่อฟัง”
เขาอยากจะยื่นมือออกไปช่วยมันเสียประเดี๋ยวนี้จะแย่ แต่รูลลักเองก็ต้องอดกลั้นเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง
“ต่อไปเทียจะต้องข้ามผ่านเรื่องที่ยากลำบากกว่านี้อีกมากนัก”
“แต่…”
“ถ้าแค่จักรพรรดิโง่เขลาอย่างโยบาเนสยังเอาชนะไม่ได้ แล้วต่อไปจะเป็นผู้นำของลอมบาร์เดียได้ยังไงกันล่ะ”
รูลลักกล่าวเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็เก็บซ่อนสีหน้ากังวลเอาไว้
แต่ถึงอย่างไรก็ยังหลุดถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพึมพำเสียงแผ่วกับตัวเอง
“เรื่องแค่นี้ เทียจะต้องเอาชนะด้วยกำลังของตัวเองให้ได้”
* * *
ผ่านไปได้หลายวันแล้วหลังจากที่ฝ่ายราชวงศ์กับฝ่ายลอมบาร์เดียประจันหน้ากันอยู่หน้าคฤหาสน์
ที่ผ่านมาทางฝ่ายจักรพรรดินีได้บุกรื้อค้นทั้งร้านค้าเพลเลสและคฤหาสน์ของเครย์ลีบันจนเละเทะไปหมด
ตามที่เบ็ตแจ้งข่าวมา กระจกในคฤหาสน์ถูกพังจนแตกยับ สวนหย่อมก็พังราบจนดูไม่ได้ พวกสินค้าที่เก็บไว้ในโกดังของร้านค้าเองก็ถูกทำลายจนเสียหาย ทำให้ไม่อาจนำไปขายได้อีก
ต่อให้พยายามค้นแค่ไหน อย่างไรก็ไม่อาจหาสิ่งที่ต้องการได้อยู่ดี ดังนั้นพวกนั้นจึงแค่ทำลายข้าวของเพื่อระบายอารมณ์เท่านั้นแหละ
แต่ลอมบาร์เดียยังคงเก็บตัวเงียบ ประตูคฤหาสน์ถูกปิดนิ่งไม่เปิดออกต้อนรับใครทั้งสิ้น
และในที่สุดวันประชุมใหญ่ก็มาถึงจนได้
“ไปก่อนนะคะ”
“ระวังตัวด้วยล่ะ เทีย”
ท่านพ่อเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“ไม่นานก็กลับมาแล้วค่ะ รอข้านะคะพ่อ เดี๋ยวจะได้ทานมื้อเย็นด้วยกัน”
คำพูดของเธอทำให้รอยยิ้มจางแต่งแต้มขึ้นบนใบหน้าของท่านพ่อ
“ออกเดินทางกันเถอะค่ะ”
“ครับ ท่านรักษาการเจ้าตระกูล”
สารถีรถม้ามือฉมังผู้ขับรถม้าของเจ้าตระกูลมาหลายสิบปีเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเปี่ยมไปด้วยอารมณ์หลากหลาย
รถม้าออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังประตูเหล็กที่ยังคงปิดแน่น
แอ๊ด
เสียงพลทหารเปิดประตูรั้วออกหลังจากสังเกตเห็นรถม้าที่เธอนั่งมาดังขึ้น
และก็อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด
“ขอเสียมารยาทสักครู่นะครับ”
ประตูรถม้าถูกเปิดออกพรวด โดยไม่แม้แต่จะรอคำตอบจากเธอ
“บ้าไปแล้วสินะ”
เธอจ้องหน้าอีเดน ครูส มือขวาของจักรพรรดินี
“ไอ้เวรพวกนี้!”
อัศวินลอมบาร์เดียด้านหลังสบถเสียงดังด้วยความโกรธ
แต่เธอแจ้งพวกเขาเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าไม่ต้องเข้ามายุ่ง ดังนั้นจึงไม่มีการต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นอย่างที่ควรเป็น
เธอเอ่ยพูดไปทางอีเดน ครูส แทน
“เปิดประตูรถม้าของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแบบนี้ คงจะไม่มีตามองแล้วกระมัง เซอร์ครูส”
คำตำหนิของเธอทำให้อีเดน ครูส ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย
ดูท่าคงจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี เพราะได้ยินคำตำหนิแบบนี้จากเธอที่ยังเด็กนั่นแหละ แต่อย่างไรสิ่งที่สำคัญกว่าอายุก็คือ ระดับชั้นอยู่ดี
ถ้าไม่ชอบใจก็ขึ้นมาเป็นเจ้าตระกูลให้ได้สิ!
พอเธอจ้องหน้าเขาเขม็งด้วยนัยน์ตาเย็นชา อีเดน ครูส ก็มองสำรวจภายในรถม้าโดยไม่เอ่ยตอบอะไร
“เครย์ลีบัน เพลเลส ไม่ได้อยู่ในรถม้าคันนี้ ไม่ต้องมองขนาดนั้นก็น่าจะรู้มิใช่หรือไง”
“…เป็นคำสั่งของราชวงศ์ที่สั่งให้ตรวจรถม้าทุกคันที่ออกมาจากลอมบาร์เดียครับ”
“คำสั่งขององค์จักรพรรดินีต่างหาก”
เธอกระตุกยิ้มมุมปาก
“จักรพรรดินีสั่งให้ขัดขวางเอาไว้ ไม่ให้เครย์ลีบัน เพลเลส ออกไปจากคฤหาสน์ได้สินะ”
ทันทีที่อ้างถึงจักรพรรดินี บรรยากาศรอบตัวอีเดน ครูส ก็พลันดุดันขึ้นทันที
แต่ของแค่นั้นทำอะไรเธอไม่ได้หรอก
เธอมองจ้องนัยน์ตาสีเทาของอีเดน ครูส อย่างแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม ในขณะที่เอ่ยพูดขึ้น
“ทำไม คิดจะขวางทางข้าผู้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียด้วยหรือไง”