เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 230.2
เล่ม 6 บทที่ 230.2
“เจ้าว่าอันใด”
จักรพรรดินีถามแพทย์หลวงเสียงสั่น
“ฝ่าบาททรง…พ้นวิกฤตแล้วงั้นหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ เป็นเช่นนั้น”
แพทย์หลวงก้มหน้านิ่งเมื่อเห็นบรรยากาศนอกห้องดูไม่ปกติ ในตอนนั้นเองประตูห้องบรรทมที่ปิดแน่นก็พลันเปิดออก ก่อนที่เฟเรสจะปรากฏตัวออกมาให้เห็น
“เจ้าชายลำดับที่สอง”
“…ดูเหมือนข่าวจะถูกส่งไปที่วังจักรพรรดินีด้วยสินะพ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงของเฟเรสแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
“…แต่เจ้าชายกลับมาถึงก่อนแล้วนะคะ”
“กระหม่อมเป็นผู้พบฝ่าบาทนอนหมดสติพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสตอบกลับไปเสียงเรียบ
“ได้ยังไง…”
ในจังหวะที่จักรพรรดินีราวีนีเปิดปาก ตั้งใจจะสอบถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ประตูห้องบรรทมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง พลทหารสองนายจับกุมตัวบุคคลหนึ่งเดินออกมา
หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์
“กระหม่อมจะพาตัวไปที่กองกำลังอัศวินพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าให้ใครเข้าใกล้นางจนกว่าข้าจะไปถึง”
“พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”
หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์ถูกพลทหารจับแขนทั้งสองข้างลากตัวไป นางหันมามองจักรพรรดินี
‘นังโง่!’
จักรพรรดินีกัดริมฝีปากแน่น นี่แสดงว่าหัวหน้านางกำนัลโอทัวร์จะต้องเผยพิรุธโง่ๆ จนคนจับได้ไม่มีผิดแน่
มีคนจำนวนน้อยมากที่รู้จักพิษแมงมุมทีที อาการของผู้ถูกพิษเองก็คล้ายกับการตายอย่างเฉียบพลันทั่วไป มันจึงเป็นพิษร้ายที่ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกจับได้เลยสักนิด
แต่มันมีอะไรบางอย่างแปลกๆ
ทั้งๆ ที่นึกว่าจะถูกลากตัวไปทันที แต่เฟเรสกลับทำเพียงแค่จ้องหน้าจักรพรรดินีราวีนีนิ่ง
ในวินาทีที่ตระหนักขึ้นมาได้ จักรพรรดินีก็ลอบยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
‘ไม่มีหลักฐานนี่เอง!’
และจู่ๆ ก็พลันตระหนักขึ้นมาได้อีกอย่าง
“หลีกทางด้วย เจ้าชาย”
ว่าเฟเรสเอาแต่ยืนอารักขาเฝ้าอยู่หน้าประตูไม่ยอมห่าง
“ข้าจะต้องเข้าไปดูอาการของฝ่าบาทด้วยตัวเอง”
จักรพรรดินีกำหมัดแน่นด้วยความปีติยินดี
“…ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิสวรรคตแล้วสินะ!
เจ้าชายลำดับที่สองคงคิดที่จะหาทางปกปิดเรื่องที่จักรพรรดิสวรรคตแล้วเป็นแน่!
“ข้าคือจักรพรรดินีของอาณาจักรแห่งนี้!”
ถึงแม้จะรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่บ้างที่หัวหน้านางกำนัลโอทัวร์โดนลากตัวไป แต่อย่างไรนางก็ไม่ใช่คนที่จะยอมเปิดปากสารภาพออกมาง่ายๆ
ต่อให้อยากแค่ไหน ก็ต้องคิดถึงครอบครัวของตัวเองที่อยู่ในกำมืออังเกนัส ดังนั้นหัวหน้านางกำนัลโอทัวร์ไม่มีทางทรยศจักรพรรดินีแน่
เสียงของราวีนีจึงเริ่มหวีดแหลมและดังขึ้นเรื่อยๆ
“ฝ่าบาททรงปลอดภัยดีพ่ะย่ะค่ะ แต่มีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดเข้าไปได้ทั้งสิ้น”
“เหอะ!”
รับสั่งอันใดกัน! จักรพรรดิที่ตายไปแล้วนั่นจะอ้าปากพูดอะไรได้!
จักรพรรดินีพ่นลมหายใจเสียงดังหึอย่างแรงโดยไม่รู้ตัว
“ฝ่าบาทกำลังพักผ่อนอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้นข้าจึงมีสิทธิ์ที่จะตรวจสอบด้วยตัวเอง!”
สุดท้ายเสียงตวาดลั่นก็ดังก้องไปทั่วโถงทางเดิน
เฟเรสจ้องหน้าราวีนีนิ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เหตุใดจึงดึงดันเช่นนี้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าไงนะ…”
“ฝ่าบาทกำลังไม่สบาย และบอกว่าไม่อยากพบหน้าใคร แต่มีเหตุผลใดกันพระองค์ถึงได้พยายามดึงดันถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ดึงดันงั้นหรือ!”
“ไม่เชื่อในคำกล่าวของกระหม่อมที่บอกว่าฝ่าบาททรงปลอดภัยดี หรืออยากจะดูให้แน่ใจว่าไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้กันแน่พ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสมองจักรพรรดินีอย่างเย็นชา
“ในความคิดของกระหม่อมคงจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า แต่อยากรู้เหตุผลเสียจริง”
“…หลีกไป”
จักรพรรดินีขยับกายเดินเข้าไปใกล้หนึ่งก้าวแทนคำตอบ
ตึก
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสเคลื่อนกายไปด้านข้างขวางหน้าจักรพรรดินีเอาไว้
“ถอยไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
แต่แล้วในจังหวะที่เขายกมือขึ้นคว้าไหล่ของจักรพรรดินีเพื่อห้ามปราม
“ไอ้โสโครกนี่ กล้าดียังไงเอามือมาแตะข้า!”
เพียะ!
จักรพรรดินีตบหน้าเฟเรสอย่างแรง
“คิดว่าเจ้าขวางทาง แล้วข้าจะยอมถอยให้หรือไง”
จักรพรรดินีตะโกนเรียกมหาดเล็ก
“ไปแจ้งให้ฝ่าบาททราบเดี๋ยวนี้!”
มหาดเล็กลังเลไปชั่วครู่เมื่อได้รับคำสั่งจากจักรพรรดินี แต่สุดท้ายก็รีบวิ่งออกจากโถงทางเดินหนีหายออกไป
และไม่นานหลังจากนั้น
“เจ้าชายทรงหลีกทางด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“กล้าดียังไงถึงขัดรับสั่งฝ่าบาท ตั้งสติหน่อย!”
เหล่าอัศวินของแต่ละฝ่ายที่วิ่งเข้ามาตามเสียงเรียกของจักรพรรดินีและเฟเรส ต่างก็ส่งเสียงคำรามใส่กัน
คนที่เพิ่งได้รับการติดต่อช้าเกินไปหน่อยก็ยังมาร่วมกับพวกตัวเอง ทำให้ทางเดินหน้าห้องบรรทมแน่นเอี้ยดไม่เหลือที่ให้ขยับเท้าแม้แต่ปลายเล็บ
“รู้จักอายบ้างมั้ยในฐานะอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์เนี่ย!”
“ใครควรจะเป็นฝ่ายพูดคำนั้นกันแน่!”
ความตึงเครียดไหลเวียนไปทั่วท่ามกลางกองกำลังอัศวินที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย พวกเขาทำท่าราวกับพร้อมที่จะชักดาบฟาดฟันกันได้ทุกเมื่อ
“หลีกไป เจ้าชายลำดับที่สอง!”
จักรพรรดินีตะโกนเสียงดังอีกครั้ง
รอยยิ้มแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า
เสียงดังวุ่นวายถึงขนาดนี้ ภายในห้องบรรทมกลับไม่มีปฏิกิริยาใดเลย
หากจักรพรรดิยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่มีทางนิ่งเฉยแบบนี้เด็ดขาด
จักรพรรดินีมั่นใจในชัยชนะครั้งนี้
อำนาจของของจักรพรรดิกำลังลอยอยู่ตรงหน้านางแล้ว เพียงแค่เอื้อมมือออกไปก็จะสามารถไขว่คว้ามันมาได้
ในตอนนั้นเอง
เสียงตำหนิดังลั่นพร้อมกับเหล่าอัศวินที่แหวกทางออกเป็นสองฝั่ง
“จักรพรรดินี! เจ้าชาย! ทั้งคู่ตั้งสติหน่อยเถอะ!”
ปลายโถงทางเดิน รูลลัก ลอมบาร์เดีย ยืนตระหง่านมือไขว้หลังมองมาทางพวกเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยโทสะกราดเกรี้ยว