เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 234.1
เล่ม 6 บทที่ 234.1
ตอนที่ 234
เฟเรสเดินออกมาส่งเทียกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียถึงหน้าวังจักรพรรดิ
“เจ้าชายลำดับที่สอง”
รูลลักที่กำลังจะก้าวขึ้นรถม้าหันมาเรียกเฟเรส
“ข้าอนุญาตเพราะเป็นรับสั่งของฝ่าบาท แต่อย่าได้คิดที่จะใช้งานเทียของข้าหนักเกินไป”
เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียแม้จะมีสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังเป็นห่วงในตัวหลานสาว
“ไม่ว่าอังเกนัสจะมีเงินหรือไม่มีก็ช่าง เรื่องส่วนใหญ่เจ้าชายควรจะเป็นคนจัดการเอง”
ความรักอันล้นหลามของรูลลักที่มีต่อหลานสาวนั้น ตัวเขาเองก็ทราบดีอยู่แล้ว ดังนั้นเฟเรสจึงพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย
“ท่านปู่! แต่เงินนั่นมันจำนวนตั้งเท่าไหร่เชียวนะคะ!”
เทียบ่นหงุงหงิงด้วยเสียงไม่พอใจจากด้านข้าง
“ทั้งเครย์ลีบัน ทั้งร้านค้าเพลเลสต่างก็ต้องได้รับเงินชดเชยนะคะ”
“เอาไปจากลอมบาร์เดียได้เท่าที่เจ้าต้องการเลย แค่นั้นก็พอแล้วมิใช่หรือ ปู่ไม่อาจทนเห็นหลานสาวต้องเข้าไปจัดการดูแลเรื่องที่พวกราชวงศ์ก่อไว้หรอกนะ”
“ลืมไปแล้วหรือคะว่าร้านค้าเพลเลสเป็นของข้าน่ะค่ะ จะให้ข้าเอาเงินบ้านเราไปโปะรอยโหว่ในกิจการของข้าเหรอคะ แบบนั้นมันก็ยิ่งขาดทุนน่ะสิคะ!”
“มะ…มันก็จริงอยู่ แต่ว่า…”
รูลลักผู้ยิ่งใหญ่ได้แต่อึกอัก ไม่อาจโต้เถียงเทียได้เลยสักคำ
“ต่อให้ต้องทุบคฤหาสน์อังเกนัสเอาก้อนอิฐมาขาย ข้าก็จะเอาเงินทั้งหมดคืนมาให้ได้ค่ะ”
เทียพูดพลางกำหมัดแน่น แถมยังพึมพำต่อท้ายด้วยความหงุดหงิดว่า ‘แต่ไม่รู้จะมีใครยอมซื้อหรือเปล่าเนี่ยสิ’
รูลลักไม่อาจโต้แย้งอะไรหลานสาวได้อีก จึงหันไปจ้องหน้าเฟเรสแทน
“จัดการให้ดีก็แล้วกัน เจ้าชายลำดับที่สอง”
“ครับ ทราบแล้วครับ”
เทียทุบไหล่เฟเรสที่ตอบรับอย่างไม่ลังเล
‘ทราบเซิบอะไรกันเล่า!’
แม้จะไม่ได้เอ่ยออกเสียง แต่คำที่หญิงสาวพูดผ่านสายตานั้นมันดังชัดอยู่ในหูของเขา
เฟเรสยกยิ้มจาง ผายมือช่วยพยุงเทียให้ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้าได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น
“พักบ้างเถอะ”
เทียพูดกับเฟเรสผ่านช่องว่างประตูที่กำลังถูกปิดลง
“อย่าฝืนตัวเอง”
เสียงพร่ำบ่นอันแสนอบอุ่นและเปี่ยมด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
แกรก
ประตูรถม้าปิดลง รถม้าตระกูลลอมบาร์เดียออกเดินทางจากพระราชวัง
เฟเรสยืนนิ่งเหม่อมองภาพด้านหลังของรถม้าอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงขยับกายเดินอย่างยุ่งวุ่นวาย
เริ่มจากตรวจเช็กให้แน่ใจว่าจักรพรรดินีถูกคุมขังไว้ในคุกใต้ดินเรียบร้อยแล้ว จดรายชื่ออัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของจักรพรรดินี และส่งกองกำลังที่ไว้ใจได้ไปยังคฤหาสน์ตระกูลอังเกนัสซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง เพื่อลงกลอนปิดตายประตูเข้าออก
สารอธิบายรับสั่งขององค์จักรพรรดิให้มีการจัดการลงโทษครอบครัวจักรพรรดินี และเรื่องต่างๆ ที่พวกนั้นลงมือกระทำ ได้ถูกแจกจ่ายแจ้งไปยังตระกูลสำคัญหลายตระกูลรวมถึงประธานสภาขุนนางอย่างคิลเลียน
เรื่องสุดท้ายคือส่งสารแต่งตั้งองค์รัชทายาทที่โยบาเนสลงนามเรียบร้อยแล้วไปยังตระกูลตัวแทนแต่ละเขตแดน
เฟเรสจัดการงานการทุกอย่างได้อย่างราบรื่นไม่มีติดขัด ราวกับเป็นเรื่องที่เขาเคยทำอยู่เป็นประจำมาตั้งนานนม
กระทั่งเจ้าหน้าที่ทางการทั้งหลายที่คอยช่วยงานอยู่ข้างกายยังต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
งานทั้งหมดเสร็จลงในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่หยุดพัก เฟเรสทำงานราวกับเครื่องจักร แต่แล้วจู่ ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง
“ข้าจะไปคนเดียว”
ก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ลังเล ทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำสั่งประโยคนั้นแก่เหล่าอัศวินกองกำลังส่วนพระองค์ที่คอยติดตามอยู่เบื้องหลัง
เฟเรสก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ ราวกับคนไร้ซึ่งจุดหมาย ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมาถึงสถานที่หนึ่ง
ฟิ้ว
ใบไม้แห้งกรอบร่วงหล่นจากต้น มันปลิวไปตามแรงลมเย็นเยือกอันแสนโหดร้ายในฤดูหนาวก่อให้เกิดเสียงเบาๆ
เฟเรสเงยหน้าขึ้นมองวังเล็กว่างเปล่าที่ตั้งอยู่ในป่าไม้สูงชะลูด
เอี๊ยด ตึง
ดูเหมือนกลอนประตูจะพังไปเสียแล้ว ทุกคราที่สายลมพัดผ่าน ประตูขึ้นสนิมก็จะส่งเสียงร้องดังเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญหู
เฟเรสก้าวตรงไปยังวังเล็กอีกหลายก้าว ก่อนจะหยุดนิ่ง
กรอบ
ปลายเท้าเหยียบใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น
“ท่านแม่”
คำเรียกขานที่ไม่ได้กล่าวมาเสียนานจนรู้สึกไม่คุ้นชิน ทำให้เฟเรสขมวดคิ้วลงเล็กน้อย
มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะกับตัวเอง
คำว่า ‘ท่านแม่’ มันไม่ได้เหมาะกับเขาเลยสักนิด
มารดาของเฟเรสเองก็เช่นเดียวกัน เคลล่า นางกำนัลผู้ไต่เต้ามาจากข้ารับใช้นั้นห่างไกลจากความเป็นแม่ยิ่ง
“เจ้าชาย เจ้าชาย”
ท่านแม่มักจะเรียกเฟเรสเช่นนั้นอยู่เสมอ นางปฏิบัติต่อเขาราวกับเขาเป็นเจ้านายที่ต้องคอยรับใช้ ไม่ใช่บุตรชาย
แต่เคลล่าก็มักจะยิ้มอยู่เสมอยามเฟเรสเล่าเนื้อหาในหนังสือที่อ่านให้ฟัง ใบหน้ายิ้มแย้มช่างดูงดงามในสายตาของเฟเรสตัวน้อยยิ่ง และเขาก็มีความสุขมาก ดังนั้นถึงได้ตั้งใจอ่านหนังสืออย่างขยันขันแข็ง
และก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง
วินาทีที่เขาได้เห็นความรักที่ท่านแม่เคลล่ามีต่อเขา
กลางฤดูร้อนวันนั้น เขายังจดจำมืออ่อนโยนที่คอยลูบหน้าผากของเขาที่มีหยาดเหงื่อผุดขึ้น เพราะออกไปวิ่งเล่นหน้าวังจนต้องลมแดดได้อยู่เลย
ไม่มีสีหน้ารังเกียจ มืออ่อนโยนที่คอยช่วยซับเหงื่อให้ เฟเรสยังคงจดจำมันได้ดี
“เจ็บมาก…”
น่าเสียดายที่หลังจากนั้น ความทรงจำที่มีต่อมารดากลับมีเพียงแค่ภาพเหล่านั้น กับเสียงร้องคร่ำครวญโหยหวนเรียกหาแพทย์หลวง
“ฆ่าข้าเสียยังจะดีกว่า ได้โปรดฆ่าข้าเถอะ”
ภาพนิ้วผอมแห้งที่รั้งตัวพลทหารซึ่งจักรพรรดินีเป็นผู้ส่งมาเฝ้าวังเล็กแห่งนี้ เพื่อไม่ให้มีหมอคนใดสามารถเข้ามาถึงที่นี่ได้
เคลล่าอยากตาย และหลังจาก ‘เรื่องนั้น’ เจ้าตัวก็เริ่มปฏิเสธอาหาร
มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เคลล่าจะสามารถทำได้ เมื่อโลกใบนี้ไม่ยอมเมตตามอบความตายให้ แต่ก็ไม่ยอมส่งหมอมาช่วยเหลือนาง
แอ๊ดดดด
เฟเรสเปิดประตูที่หมิ่นเหม่จะพังแหล่มิพังแหล่ออก เขาเดินเข้าไปด้านในวังเล็ก
พั่บ พั่บ!
ได้ยินเสียงเหล่านกน้อยที่มาสร้างรังอาศัยอยู่ในซากปรักหักพังแห่งนี้สะดุ้งตกใจรีบสยายปีกบินหนี
ขนนกสีขาวเนียนที่นกพวกนั้นสลัดปีกทิ้งไว้ร่วงหล่นอยู่บนพื้นวัง มันเป็นสิ่งที่ดูแล้วขัดหูขัดตายิ่งนัก
ภายในวังที่หากจะพังลงไปเมื่อใดก็คงไม่มีใครคิดแปลกใจนั้นเต็มไปด้วยเศษฝุ่นที่ไม่ดำ แต่ก็ไม่ขาวนัก
“ท่านแม่ อย่าตายนะครับ ท่านแม่”
เฟเรสเอียงหูฟัง เมื่อรู้สึกคล้ายกับได้ยินเสียงตนในวัยเด็กดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง
เคลล่าไม่ยอมดื่มกระทั่งน้ำ นัยน์ตาแห้งผากไร้ซึ่งหยาดน้ำตา นางเอ่ยพูดกับเขา
“เจ้าชายผู้น่าสงสารของข้า เจ้าชายจะต้องมีชีวิตอยู่นะเพคะ”
หญิงสาวผู้เลือกความตายให้กับตนเอง โดยทอดทิ้งบุตรชายที่เพิ่งจะมีอายุเพียงสิบเอ็ดขวบเอาไว้เบื้องหลัง
“หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอร้องเพคะ เจ้าชาย เจ้าชายชอบหม่อมฉัน ดังนั้นคงยอมรับฟังใช่มั้ยเพคะ”
“ข้ารับฟังครับ ท่านแม่ ข้าจะทำตามที่ท่านแม่สั่ง…”
“ได้โปรดมีชีวิตรอดต่อไป แล้วสังหารจักรพรรดิกับจักรพรรดินีนะเพคะ หากสงสารหม่อมฉัน ได้โปรดช่วยแก้แค้นแทนหม่อมฉันด้วย”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแรงคู่นั้นทอประกายกร้าวด้วยความโกรธแค้นเป็นครั้งแรก
“เจ้าชายจะสวรรคตก่อนหน้านั้นไม่ได้ จนกว่าจะแก้แค้นให้หม่อมฉันได้สำเร็จ”
“ท่านแม่…”
“หากรักข้า ได้โปรดรับฟังคำขอของข้านะเพคะ มีชีวิตรอด แก้แค้น…”
ใช้ความรักของเด็กน้อยที่มีต่อมารดาเป็นเหยื่อล่อ เคลล่าทิ้งความปรารถนาสุดท้ายอันแสนโหดร้ายเช่นนั้นเอาไว้
“ทุกอย่างยังไม่จบสิ้น”
เสียงแห้งผากของเฟเรสดังก้องสะท้อนไปทั่วเพดานสูงของวังเล็ก
“ตอนนี้พอใจขึ้นบ้างมั้ยครับ”
ท่านแม่
คำสุดท้ายได้แต่กลืนมันกลับลงคอ
สายลมเย็นพัดเข้ามาหยอกล้อผมหน้าม้าของเฟเรส
สายลมอ่อนโยนไม่เหมาะกับวังผุพังนี่ ช่างคล้ายกับมืออ่อนโยนที่คอยช่วยซับหยาดเหงื่อให้เขาในตอนนั้นเสียจริง เฟเรสหลับตานิ่ง
ความรักเพียงแค่เศษเสี้ยวที่เขาปรารถนามันเหลือเกิน ภาพความจำอันแสนมืดมิดในวัยเยาว์ที่ได้แต่กักเก็บความโกรธแค้นเอาไว้ และอดทนเรื่อยมาเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปได้แม้จะเพียงลำพังแทรกผ่านเข้ามาทั่วกายจนสั่นสะท้าน