เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 235.1
เล่ม 6 บทที่ 235.1
ตอนที่ 235
“อ่า…”
เสียงอุทานแผ่วเบาดังออกมาจากปากของเครนีย์ที่ได้แต่เปิดอ้าด้วยความตื่นตระหนก
นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างจับจ้องอยู่ที่เฟเรสไม่ขยับ
ถึงแม้จะไม่ได้แผ่จิตสังหารใส่เครนีย์ก็เถอะ แต่แค่จ้องหน้าเขม็ง เดินเข้ามาใกล้แบบนี้ ก็มากพอจะทำให้เครนีย์หวาดกลัวแล้ว
“เฮ้อ”
เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว ดึงเครนีย์ให้หลบไปอยู่ข้างหลังตัวเอง แล้วยื่นมือออกไปตรงหน้าเฟเรส
“เฟเรส หยุดนะ”
ตึก
เฟเรสหยุดชะงักอยู่กับที่ แต่สายตาของเด็กหนุ่มก็ยังคงเอาแต่จ้องอยู่ที่มือของเธอที่กอบกุมมือของเครนีย์เอาไว้
“ทะ…ท่านพี่”
เครนีย์เรียกเธอเสียงสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
“เพราะเหตุใดกัน”
คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังศึกษาอยู่ในอะคาเดมีฝ่ายพลเรือนด้วยคะแนนอันดับท็อป ทั้งยังเรียนข้ามชั้นได้ถึง 2 ปีเต็ม ส่วนอีกคนเป็นเด็กหนุ่มที่เคยจบการศึกษาจากอะคาเดมีฝ่ายพลเมืองและฝ่ายการทหารด้วยระยะเวลาสั้นกว่าคนอื่น 1 ปี
แต่กลับมาเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นเสียได้
เธอปล่อยมือที่จับเอาไว้ออก ชี้ไปที่หน้าของเครนีย์ พลางเอ่ยถามเฟเรส
“ใบหน้านี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนเหรอไง”
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสจับจ้องไปยังเครนีย์ราวกับการมีตัวตนของเด็กหนุ่มเป็นสิ่งแสลงตา
“อึก!”
ให้ตายเถอะ จริงๆ เลย
สุดท้ายเครนีย์ก็เริ่มสะอึกด้วยความหวาดกลัวจนได้
“คิดดูให้ดี เฟเรส เจ้าเคยพบเจ้าเด็กนี่ตอนที่เขายังเด็ก ส่วนตอนโตก็เคยพบมาแล้วครั้งหนึ่งด้วยนะ”
คิ้วเข้มของเฟเรสขมวดแน่นเป็นปม เขาหยุดครุ่นคิดไปครู่ใหญ่
“อา”
เฟเรสอุทานสั้นๆ ก่อนจะเปิดปาก
“เคร…นีย์”
ก็มองออกไวเหมือนกัน แต่ดูจากที่เขาทำท่าลังเลไม่แน่ใจ ทั้งๆ ที่เรียกชื่อออกมาแล้ว แสดงว่าตัวเฟเรสเองก็ไม่ค่อยชัวร์เท่าไหร่
“มะ…ไม่ได้พบกันเสียนานเลยพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายลำดับที่สอง”
“เปลี่ยนไปมากเสียจนจำไม่ได้”
เฟเรสพึมพำคล้ายกับหาข้อแก้ตัว ก่อนจะมองเธอพลางเอ่ยขึ้น
“จริงๆ นะ พอดีจำไม่ได้น่ะ”
“ช่างเถอะ ข้าเข้าใจ ยังไงเจ้าก็ไม่ค่อยได้สนใจคนรอบตัวเท่าไหร่อยู่แล้วนี่นา”
“เปล่านะ ข้าสนใจเทีย”
“…วะ…ว่าไงนะ จริงๆ เลย”
ระหว่างที่เฟเรสกับเธอกำลังสนทนากันอยู่ จู่ๆ เครนีย์ก็ยิ้มกว้างพูดกับเธอ
“ทั้งสองท่านอยู่ด้วยกันแบบนี้แล้ว ช่างดูเหมาะสมกันมากเลยนะครับเนี่ย!”
“ว่าไงนะ”
ใบหน้าของเครนีย์สดใสขึ้นทันตา ท่าทางเด็กนี่จะพูดออกมาจากใจจริง
ดูเหมือนจะพูดออกมาโดยไม่ทันได้คิดเลยด้วยซ้ำว่า ทุกคนทั่วอาณาจักรต่างก็ทราบกันดีว่าเธอกับเฟเรสหมั้นหมายกัน แต่พอเธอได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูล พวกเราก็เลยต้องถอนหมั้นกันไปโดยปริยาย
“ฝั่งหนึ่งเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ อีกฝั่งเป็นผู้สืบทอดตระกูลลอมบาร์เดียไม่ใช่หรือครับ เหมือนได้เห็นโลกอีกโลกเลยนะครับเนี่ย!”
เครนีย์ยังคงพูดเสียงใสต่อไปไม่หยุด
“เหมาะกันมากจริงๆ ครับ!”
“ได้ยินว่าไม่เคยพลาดตำแหน่งท็อปของอะคาเดมีเลย แสดงว่าเจ้าต้องเป็นอัจฉริยะตัวจริงไม่ผิดแน่”
เฟเรสตบไหล่เครนีย์เสียงดังตุบ ตุบ ชื่นชมเด็กน้อย
“…อย่าพูดเรื่องไร้สาระกับเด็กนะ รีบๆ ออกเดินทางไปอังเกนัสกันเถอะ เฟเรส”
ช่วงนี้เฟเรสคอยมารับส่งเธอที่ต้องออกไปจัดการกับคฤหาสน์ตระกูลอังเกนัสทุกเช้า
ทั้งๆ ที่ปฏิเสธไปตั้งหลายรอบว่า ให้เขาถ่อมาจากพระราชวังถึงลอมบาร์เดีย แล้ววนกลับไปยังคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงอีกครั้งเนี่ยมันไม่สมเหตุสมผลเลยแท้ๆ
แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะความดื้อรั้นของเด็กหนุ่มที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาจนถึงคฤหาสน์ลอมบาร์เดียตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะกลัวว่าเธอจะออกเดินทางไปก่อนได้จริงๆ
“ท่านพี่จะไปอังเกนัสนี่เอง”
เครนีย์ช่วยเปิดประตูรถม้าให้
“ต้องตอบแทนให้สาสมสิ”
“อย่าหักโหมมากนะครับ”
“หักโหม?”
มันเป็นคำพูดธรรมดาทั่วไป แต่แท้จริงแล้วกลับมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อย
“มีตระกูลมากมายที่เกี่ยวพันกับตระกูลอังเกนัสไม่ใช่หรือครับ ถ้าต้องมานั่งกังวลเรื่องสายสัมพันธ์ทั้งหลายละก็ คงมีแต่เรื่องน่าปวดหัวให้หนักใจมากแน่”
“…เจ้าคิดกระทั่งเรื่องพวกนั้นด้วย”
นึกว่าโตแต่ตัว แต่เครนีย์เองก็มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแล้วสินะ
“แหะๆ ข้าเองก็ได้พบกับคนจากหลากหลายตระกูลที่อะคาเดมีนี่ครับ มีทั้งคนที่ต้องการอยากได้เงินที่อังเกนัสกู้ยืมไปคืนมา มีทั้งคนที่อยากจะฝังกลบความจริงที่ว่าตัวเองเคยเกี่ยวข้องกับอังเกนัส จนต่อให้ต้องเสียเงินไปก็ไม่สนใจอยู่ด้วย”
เป็นอย่างที่เครนีย์กล่าว
ทันทีที่มีข่าวลือว่า จักรพรรดินีถูกคุมขังเอาไว้ในคุกใต้ดิน และเธอได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิให้จัดการเรื่องตระกูลอังเกนัสแพร่ออกไป เธอก็ได้รับสารส่งมาหาหลายสิบฉบับเลยทีเดียว
มีทั้งคำขอร้องส่วนตัว มีทั้งคนที่คร่ำครวญขอให้ช่วย
เรียกได้ว่าแท้จริงแล้วการปลอบประโลมจิตใจที่ปวดร้าวขอผู้คนจากตระกูลต่างๆ เป็นเรื่องหนักหนายิ่งกว่าการขายทรัพย์สินของอังเกนัสเสียอีก
แต่เครนีย์กลับมองมันออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งในทันที
“วันนี้ค่อยมาคุยกันต่อตอนมื้อเย็นนะ เครนีย์”
“ครับ ท่านพี่! เดินทางปลอดภัยนะครับ!”
เครนีย์ยิ้มกว้าง ก้าวถอยห่างไปข้างหลัง
ตัวสูงขึ้นมากก็จริง แต่ใบหน้ายามยิ้มนั่นยังคงเหลือภาพลักษณ์ในวัยเยาว์ให้ได้เห็นอยู่บ้าง สายตาของเธอจึงเหม่อมองเครนีย์จนกระทั่งรถม้าออกเดินทาง
* * *