เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 244.2
เล่ม 6 บทที่ 244.2
“ที่นี่มันจัตุรัสลอมบาร์เดียไม่ใช่หรือคะ”
สถานที่ที่เธอกับท่านพ่อพากันเดินมาตั้งแต่คฤหาสน์คือ จัตุรัสลอมบาร์เดียนั่นเอง ระบุตำแหน่งให้แน่ชัดก็คือ บริเวณหน้าลานน้ำพุกว้าง
บ่อน้ำพุแห้งเหือดเพราะอยู่ในช่วงฤดูหนาว แต่อย่างไรก็ยังเป็นสัญลักษณ์ประจำจัตุรัสแห่งนี้ บริเวณรอบๆ จึงแออัดไปด้วยผู้คนเดินผ่านไปผ่านมามากมาย
“นั่งตรงนี้กันสักครู่ก่อนดีมั้ย”
ท่านพ่อนั่งลงขอบลานน้ำพุ มือตบที่ว่างข้างๆ
เธอเดินตามไปนั่งลงบนตำแหน่งที่ท่านพ่อบอก
“เห็นต้นไม้ทางด้านโน้นหรือเปล่า เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ดอกไม้จะบานสะพรั่ง และพอสายลมพัดผ่าน กลีบดอกไม้ก็จะถูกพัดปลิวตกมาจนถึงตรงนี้เลยละ”
ใบหน้าของท่านพ่อแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
“และพ่อก็ได้พบกับชาห์นเป็นครั้งแรกที่นี่”
“ท่านแม่หรือคะ”
เธอถามกลับไปด้วยความตกใจเล็กน้อย
“ใช่แล้วละ พ่อกำลังนั่งวาดรูปต้นไม้ที่เต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่งนั่นอยู่ตรงนี้ แล้วก็ได้พบกับชาห์นเข้า”
นัยน์ตาของท่านพ่อหยีลงเป็นรูปโค้ง รอยยิ้มนั่นราวกับกำลังย้อนเวลากลับไปเมื่อสมัยนั้น ก่อนจะเอ่ยพลางชี้ไปยังถนนสายหนึ่งข้างต้นไม้ต้นนั้น
“ถนนสายนั้นหรือเปล่านะ ใช่แล้ว นางมองพ่อจากถนนสายนั้น แล้วก็เดินตรงดิ่งเข้ามาหา หลังจากนั้นก็หยุดยืนตรงหน้าพ่อ ถามพ่อว่า ‘ชอบวาดรูปหรือคะ’ ”
“จำได้หมดเลยเหรอคะเนี่ย”
“แน่นอนสิ คำพูดที่แม่ของเจ้าพูดกับพ่อเป็นประโยคแรกเชียวนะ และความจริงแล้ว…”
ท่านพ่อหัวเราะด้วยความเขินอาย ปลายนิ้วเกาแก้มแกรกๆ
“พ่อตกหลุมรักนางตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบหน้าเลยละ”
“โอ้ รักแรกพบ!”
เรื่องราวความรักที่เธอไม่เคยได้รับรู้เลยสักครั้งไม่ว่าจะเป็นในชีวิตก่อนหรือชีวิตใหม่นี่
“พ่อคิดไว้ว่าสักวันจะต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังให้ได้ คิดว่ายังไงล่ะ เทีย”
“ดีเลยค่ะ! ข้าเองก็อยากทราบเหมือนกัน”
ก็ท่านพ่อไม่ค่อยเล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านแม่ให้ฟังเท่าไหร่เลยนี่นา
ได้ยินเพียงแต่ว่าท่านแม่เสียชีวิตหลังจากคลอดเธอได้ไม่นานเท่านั้นเอง
แต่เรื่องแบบนี้จะให้ซี้ซั้วไปถามท่านพ่ออย่างไม่เกรงใจในความรู้สึกของท่านมันก็ไม่ได้ด้วย
“ถ้าอย่างนั้นไปกินมื้อเย็นกันก่อนดีกว่าเนอะ”
ท่านพ่อเอ่ยพลางเดินนำไปก่อน เธอเองก็รีบลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับท่านพ่อ
สถานที่ที่พวกเรามาถึงก็เป็นร้านอาหารเล็กๆ ค่อนข้างเก่า
มันเป็นร้านที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเก่าแก่ มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นร้านอร่อยที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแน่ๆ
กลิ่นหอมของอาหารโชยมาให้ได้กลิ่นถึงด้านนอกนี่ ทำเอาท้องเธอร้องเสียงดังโครกครากโดยไม่รู้ตัวเลย
ท่านพ่อเปิดประตูไม้เดินเข้าไปด้วยความคุ้นเคย ก่อนจะเดินไปจับจองที่นั่งริมหน้าต่าง
“ขอสตูสองที่ครับ”
หลังจากพวกเราสั่งเมนูที่ต้องการกับหญิงวัยกลางคนที่กำลังเดินเสิร์ฟอาหารอย่างขยันขันแข็ง เพียงไม่นานชามกลมใบใหญ่ใส่สตูที่เต็มไปด้วยเนื้อหลายชิ้นก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟ
ตอนที่เธอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเมื่อได้เห็นสตูร้อนกรุ่นจนควันลอย หญิงวัยกลางคนนางนั้นก็ยกตะกร้าขนมปังสำหรับกินพร้อมสตูมาให้ แล้วเอ่ยถามท่านพ่อ
“เห ใบหน้าคุ้นๆ นะ พ่อหนุ่มคนนี้”
“ฮ่าฮ่า เคยเป็นลูกค้าประจำสมัยก่อนโน้นน่ะครับ”
พอท่านพ่อตอบพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี หญิงวัยกลางคนก็ตบมือเสียงดังฉาดใหญ่ด้วยความยินดี
“ตายแล้ว ใช่! ก็ว่าหน้าคุ้นๆ! เจ้ามักจะมากับภริยาตัวน้อยอยู่ประจำเลยใช่มั้ย”
“ครับ ใช่แล้วครับ”
“ไหนดูสิ ทางด้านนี้คงเป็นลูกสาวสินะ”
หญิงวัยกลางคนมองหน้าเธอพลางเอ่ยขึ้น
ว่ากันตามตรงก็รู้สึกตื่นเต้นหน่อยๆ อยู่เหมือนกัน
ร้านอาหารแห่งนี้อยู่ห่างออกมาจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดียไม่ไกลเท่าไหร่ บางทีอาจจะจำหน้าเธอได้ก็ได้
“หน้าตาเหมือนแม่ไม่มีผิดเลยนะเนี่ย!”
แต่หญิงวัยกลางคนกลับไม่มีสีหน้าเหมือนจะรู้จักเธอ มีแต่ความยินดีบนใบหน้านั่นเท่านั้น
“ลูกค้าประจำไม่มาหาเสียนาน จะดูแลแค่นี้ได้ยังไงล่ะเนอะ รอข้าสักประเดี๋ยว!”
หญิงวัยกลางคนกล่าวเช่นนั้น แล้วก็รีบวิ่งไปวุ่นวายอยู่ในครัว ก่อนจะถือพายแอ๊ปเปิ้ลอบใหม่ร้อนๆ ติดมือออกมาด้วย
“ข้าเลี้ยงเอง! กินสตูเสร็จแล้วก็กินพายนี่เป็นของหวานนะ!”
หญิงวัยกลางคนเหลือทิ้งไว้แค่คำพูดยินอกยินดี หลังจากนั้นก็จากไปทำงานอย่างขยันขันแข็งอีกครั้ง
“ยุ่งมากเลยใช่มั้ยล่ะ”
ท่านพ่อหันไปมองรอบๆ ร้านอาหารที่เสียงดังวุ่นวายไปหมด ก่อนจะเอ่ยถามเธอ
จริงๆ ก็ไม่ได้อะไรขนาดนั้นหรอก
ในชีวิตก่อนเธอเองก็เคยต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และจัดการกับอาหารในแต่ละมื้อตามร้านอาหารเล็กๆ แบบนี้ที่มีแต่ลูกค้าสามัญชนเป็นประจำอยู่แล้ว
“ท่านพ่อมักจะบอกเช่นนี้เสมอ พลเมืองลอมบาร์เดียไม่ควรรู้จักใบหน้าของผู้คนในตระกูลลอมบาร์เดีย”
“หมายความว่า พวกเขาควรที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ โดยไม่ต้องสนใจว่าผู้ใดเป็นคนบริหารจัดการบ้านเมืองใช่มั้ยคะ”
“ใช่แล้วละ และชาวเมืองลอมบาร์เดียเองก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย”
ท่านพ่อกล่าวเช่นนั้น แล้วผายมือเชื้อเชิญให้เธอลองลิ้มรสสตู
“ว้าว อร่อยจัง!”
ถึงแม้จะคิดไว้แล้วว่าคงต้องเป็นร้านอร่อยแน่ เพราะขนาดตอนนี้ยังเช้าเกินไปที่จะกินมื้อเย็น แต่คนก็เข้ามารอกินข้าวกันแน่นร้าน
แต่สตูร้อนกรุ่นนี่มันอร่อยกว่าที่คิดไว้อีก
“มันเป็นอาหารที่ชาห์นชอบมากที่สุด”
ท่านพ่อเอ่ยอย่างมีความสุข แล้วเริ่มลงมือกินอาหาร
ในที่สุดเธอกับท่านพ่อก็จัดการกับอาหารจนเกลี้ยงจาน รวมถึงพายแอ๊ปเปิ้ลที่ได้มาฟรีด้วย หลังจากนั้นพวกเราก็ออกจากร้านอาหารไปเดินเล่นกันต่อ
“…เห”
แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“นี่พวกเรากำลังไปที่ไหนกันคะ พ่อ”
“เดินอีกนิดก็ถึงแล้วละ”
ท่านพ่อบอกแบบนี้แทนคำตอบ แล้วเดินนำไปข้างหน้า
และในที่สุดพวกเราก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าตรอกแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านเรือนที่พวกสามัญชนอาศัยอยู่
“ที่นี่แหละ เทีย”
ท่านพ่อชี้ไปยังบ้านหลังเล็กตรงหัวมุมซอย
หลังคาสีแดง บ้านน้อยหลังเล็กล้อมไปด้วยกำแพงอิฐเตี้ยๆ สวนหย่อมที่ดูแล้วดอกไม้คงจะบานสะพรั่งน่าชมเมื่ออากาศอบอุ่นขึ้นในฤดูใบไม้ผลิ
“นี่เป็นบ้านที่พ่อกับชาห์นอาศัยอยู่ด้วยกันก่อนจะย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์”
“อา…”
เธอพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ได้แต่มองท่านพ่อที่หันไปมองรอบๆ บ้านด้วยความอาลัย แล้วก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองภูมิทัศน์รอบด้าน
สุดถนนสายนี้มีร้านขนมปังที่กำลังเก็บร้านหลังจากเปิดขายมาตลอดทั้งวัน
‘ป้าเพรี่’
มันเป็นร้านขนมปังที่เธอกับลอรีลแวะไปซื้อแซนด์วิชกันเมื่อสมัยที่เธออายุได้สิบเอ็ดขวบ และข้างหน้านั่นก็ยังมีตึกที่เธอเคยเช่าห้องอาศัยในชีวิตก่อนด้วย
“ที่นี่”
เธอเหม่อมองบ้านที่ท่านพ่อกับท่านแม่เคยอาศัยด้วยกันอีกครั้ง
มันเป็นบ้านที่ดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก
เพราะเธอเคยเดินผ่านหน้าบ้านหลังนี้ทุกวัน
ในชีวิตก่อนเธอใช้ชีวิตโดยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่า บ้านที่เต็มไปด้วยความทรงจำของพ่อกับแม่จะอยู่ใกล้ขนาดนี้
ในตอนนั้นเอง ท่านพ่อก็ชี้ไปยังร้านขนมปังของป้าเพรี่
“ร้านขนมปังนั่นอร่อยมากเชียว ชาห์นชอบมากเลยละ คราวหน้าพวกเราออกมาด้วยกันตั้งแต่เช้านะ มันมีเมนูลับที่มีแต่ลูกค้าประจำเท่านั้นที่รู้จักด้วย!”
พูดอะไรไม่ออกจริงๆ
ท่านพ่อตบไหล่เธอที่ได้แต่ยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นเบาๆ พลางส่งยิ้มให้เธอ
“เอาละ ถ้างั้นเราเข้าไปดูข้างในกันดีมั้ย”