เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - เล่ม 6 บทที่ 250.2
เล่ม 6 บทที่ 250.2
การประชุมเจ้าตระกูลอันแสนวุ่นวายจบลงได้อย่างราบรื่นกว่าที่คิด พอถึงช่วงบ่ายก็มีคนมาเคาะประตูถึงห้องทำงานของเธอ
“เข้ามาสิ ดอกเตอร์เอสทีร่า”
“ขอแสดงความยินดีอีกครั้งนะคะ ท่านเจ้าตระกูล”
เอสทีร่าหอบหิ้วกระเป๋าแพทย์ติดมือมาด้วย นางโค้งศีรษะให้เธอพลางกล่าวทักทาย
“ตลอดงานเลี้ยงก็บอกข้าตั้งหลายรอบแล้วไม่ใช่เหรอ”
“แต่การที่ท่านเจ้าตระกูลได้เป็นเจ้าตระกูลแบบนี้ มันเป็นเรื่องน่ายินดีมากจริงๆ นี่คะ”
“ข้ารู้ เพราะงั้นขอบใจนะ”
เอสทีร่าผู้ยังเป็นเพียงแค่หมอฝึกหัดทึ่มทื่อคนหนึ่งกับเธอที่เพิ่งจะอายุได้แค่เจ็ดขวบ
พวกเราได้พบกัน และตอนนี้ก็กำลังเผชิญหน้ากันในฐานะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียกับแพทย์หญิงผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง
“ต่อไปข้าจะอุทิศตัวทำงานในฐานะแพทย์ประจำตัวท่านเจ้าตระกูลอย่างสุดความสามารถค่ะ ดังนั้นหากรู้สึกไม่สบายหรือเจ็บป่วยตรงไหน ขอให้เรียกตัวข้าได้ทุกเมื่อเลยนะคะ”
เอสทีร่ายิ้มอบอุ่น ก่อนจะเดินเข้ามาหาเธอ
“เช่นนั้นขอตรวจร่างกายสักครู่นะคะ”
มันเป็นการตรวจร่างกายทั่วไป
แต่ตรวจละเอียดกว่าที่คิดไว้มาก เป็นการตรวจทุกรายละเอียดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเลยทีเดียว
และหลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ในมือของเอสทีร่าก็ถือกระดาษหลายแผ่นที่เขียนสภาพอาการของเธอในปัจจุบันเอาไว้
“สุขภาพแข็งแรงดีมากเลยค่ะ แต่ถ้าโหมงานหนักเกินไป ครู่เดียวร่างกายก็พังได้นะคะ เพราะฉะนั้นจะต้องออกกำลังกาย ทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอค่ะ”
เอสทีร่าเริ่มจัดการเก็บกระเป๋าเครื่องมือแพทย์
“ดอกเตอร์เอสทีร่า วันนี้งานยุ่งมั้ย”
“ไม่ค่ะ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ”
“เปล่าหรอก วันนี้ข้าว่าจะออกไปนอกคฤหาสน์เสียหน่อย เลยอยากให้ดอกเตอร์ติดตามไปด้วยน่ะ”
“…ค่ะ ทราบแล้วค่ะ ท่านเจ้าตระกูล”
เอสทีร่าดูจะสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
คงจะคิดแค่ว่าเธอต้องมีเหตุผลที่ทำแบบนี้อยู่แล้ว
บรรดาเจ้าตระกูลใต้บังคับบัญชาเมื่อครู่นี้ก็เหมือนกัน แล้วนี่ยังเอสทีร่าอีก เธอสามารถรู้ได้เลยว่าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวเธออย่างสมบูรณ์แบบ
ต้องทำให้ดีกว่านี้ให้ได้
เธอตั้งใจแน่วแน่ในขณะที่ก้าวขึ้นรถม้าไปพร้อมกับเอสทีร่า
เพียงครู่ รถม้าลอมบาร์เดียที่พวกเรานั่งมาก็เดินทางออกมาพ้นเขตคฤหาสน์ และมุ่งหน้าสู่ตัวเมืองลอมบาร์เดีย
เธอเหม่อมองนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยถามเอสทีร่า
“เห็นว่าคราวนี้ก็เลือกลูกศิษย์เพิ่มเหรอคะ”
“ค่ะ รับเพิ่มมาใหม่ทั้งหมดสิบคนค่ะ”
เอสทีร่าตอบอย่างนอบน้อม แล้วจู่ๆ ก็ปรับท่านั่งตัวตรง ก่อนจะพูดต่อ
“ทั้งหมดเป็นเพราะการสนับสนุนจากลอมบาร์เดียแท้ๆ เลยค่ะ เพราะอย่างนั้นผู้คนมากมายถึงได้มีโอกาสเล่าเรียนวิชาแพทย์ และนำความรู้ไปช่วยเหลือผู้คนได้แบบนี้”
เหมือนอย่างที่ดอกเตอร์โอมัลลี่เคยทำในอดีต เอสทีร่าเองก็เลือกตัวผู้ช่วยและลูกศิษย์มาติดตามหลายคน
หลังจากได้เข้ามาเป็นแพทย์ประจำตระกูลลอมบาร์เดียในฐานะลูกศิษย์ประจำตัวแพทย์หลัก พวกเขาก็จะได้กินอยู่ฟรีในคฤหาสน์ ทั้งยังได้รับเงินค่าจ้างสูงพอควรด้วย
นอกจากต้องยกเรื่องรักษาคนในลอมบาร์เดียให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งก็ไม่มีเงื่อนไขใดอีก เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ศิษย์รุ่นแรกบางคนยังเดินทางกลับบ้านเกิดไปเปิดศูนย์การแพทย์ด้วยเช่นกัน
“อย่างไรการศึกษาวิจัยอย่างแข็งขันจนสามารถคิดค้นยารักษาโรคต่างๆ มากมาย ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อลอมบาร์เดียของพวกเราอยู่แล้วนี่นา”
ไม่นานหลังจากนั้น รถม้าก็ค่อยๆ ลดระดับความเร็วลงอย่างช้าๆ
ประตูเปิดออก สถานที่ที่พวกเราก้าวเท้าลงเหยียบก็คือ ทุ่งกว้างแถบชานเมืองลอมบาร์เดีย
บริเวณโดยรอบนอกจากที่ดินว่างเปล่าเนื่องจากหมดฤดูเพาะปลูกแล้ว ที่แห่งนี้ก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากรถม้าของพวกเรา
“ท่านเจ้าตระกูล ที่นี่…”
เอสทีร่าเอ่ยถามเธออย่างระมัดระวัง เธอจึงชี้ไปยังใจกลางทุ่งหญ้า แล้วพูดขึ้น
“ตรงนั้นไง”
“คะ?”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราจะสร้างศูนย์การแพทย์ขึ้นตรงนั้น”
“ทะ…ท่านเจ้าตระกูล…”
เอสทีน่ายกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากด้วยความตกใจ
“ข้าสัญญาไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะช่วยทำให้ความฝันของเอสทีร่าเป็นจริงน่ะ”
เมื่อเนิ่นนานมาแล้ว มันเป็นสัญญาที่พวกเราให้ไว้ต่อกันแทนเงื่อนไขว่าให้เอสทีร่าช่วยหลอมยาเมลโคนซึ่งเป็นยาแก้พิษให้เฟเรส
“มันจะกลายเป็นสถานที่ให้คนยากไร้สามารถมารับการรักษาได้ คนที่เล่าเรียนวิชาการแพทย์เหมือนเอสทีร่า คนที่ศึกษาด้านสมุนไพร ทุกคนจะมารวมตัวกันที่นี่ ดังนั้นพวกเราจะสร้างมันให้ใหญ่โตจนพวกเขาสามารถกิน นอน และให้การรักษาประจำอยู่ที่นี่ได้”
มันอาจจะยังเป็นเพียงแค่ทุ่งหญ้าว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรเลยก็จริง แต่ในสายตาเธอกลับมองเห็นของเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน
“ทางด้านนั้นเป็นอาคารสำหรับให้การรักษา ส่วนอีกด้านทางโน้นเป็นหอพักสำหรับแพทย์ทุกคน และทางนี้ก็เป็นที่ให้คนไข้จากแดนไกลใช้พักรักษาตัว”
และหันไปถามเอสทีร่า
“คิดว่ายังไง”
เอสทีร่ากำลังมองเธอด้วยนัยน์ตาเอ่อคลอหยาดน้ำตา และคุกเข่าลงตรงนั้นอย่างช้าๆ
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ ท่านเจ้าตระกูล”
เธอเองก็ย่อเข่าลง ปรับระดับสายตาให้ตรงกับเอสทีร่า แล้วเอ่ยพูด
“เป็นเพราะเอสทีร่าช่วยชีวิตท่านพ่อ ข้าถึงมาได้ไกลจนถึงจุดนี้ได้”
“ทะ…ท่านฟีเรนเทีย…”
“ตอนนี้เอสทีร่ากับลูกศิษย์เพียงแค่ช่วยชีวิตผู้คนมากมายตรงนั้นก็พอ ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็จะจดจำชื่อลอมบาร์เดียได้ด้วยเหมือนกันใช่มั้ยล่ะ มันไม่ใช่ข้อตกลงที่ข้าเสียเปรียบเสียหน่อย”
ถึงแม้จะพูดหยอกล้อออกไป แต่หยาดน้ำตาของเอสทีร่าก็ยังคงไม่หยุดไหลริน
ไม่นานหลังจากนั้น เอสทีร่าก็เริ่มสงบสติได้ เธอเลยช่วยพยุงไหล่ของเอสทีร่า แล้วยื่นข้อเสนอ
“มันอาจจะเป็นแค่ที่ดินว่างเปล่า แต่ให้ข้าอธิบายรายละเอียดเพิ่มให้ฟังเอามั้ย”
เอสทีร่าใช้ชายเสื้อซับหยาดน้ำตา ก่อนจะพยักหน้าลง
พวกเราเดินเล่นไปท่ามกลางทุ่งหญ้าว่างเปล่าจนกระทั่งพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า พลางช่วยกันวางแผนเกี่ยวกับ ‘โรงพยาบาลลอมบาร์เดีย’ ไปด้วย
* * *
พรุ่งนี้เป็นวันแต่งตั้งเฟเรสขึ้นเป็นองค์รัชทายาทอย่างเป็นทางการ
เมื่อสองวันก่อน เจ้าตระกูลมิเคนเต้ ไอบัน จากทางเหนือเองก็ได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว
สุดท้ายขาข้างหนึ่งก็ใช้การได้ไม่ค่อยปกตินักอย่างที่หมอเคยบอกไว้ แต่เขาก็ดูร่าเริงดี
และวันนี้
“อ๊ะ มานั่นแล้ว”
เธอเดินออกมานอกประตู เฝ้ามองรถม้าที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียพอดี
รถม้าหรูหราขนาดใหญ่ใช้ม้าสีขาวสี่ตัวลาก ด้านหน้าขบวนมีเหล่าอัศวินคอยอารักขา ด้านหลังมีรถม้าขนสัมภาระมากมายต่อท้ายขบวนหลายคัน เป็นขบวนเดินทางที่ยิ่งใหญ่อลังการยิ่ง
“สมแล้วที่เป็นตะวันออก”
“ที่กองสุมอยู่ข้างหลังเท่าภูเขานั่น ใช่ผ้าไหมตะวันออกหรือเปล่า”
สองแฝดที่คอยอารักขาเธออยู่ข้างๆ เองก็ผิวปากวีดวิ้วเบาๆ
ฮี้!
สิ้นสุดเสียงร้องของม้าที่เดินทางมาไกล รถม้าก็มาหยุดจอดอยู่ตรงหน้าเธอ
พรึบ ประตูรถม้าถูกเปิด ก่อนที่ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลางดงามคนหนึ่งจะเป็นฝ่ายก้าวลงมาคนแรก และหลังจากนั้นก็เผยให้เห็นรูปโฉมของหญิงสาวนางหนึ่งก้าวตามหลังลงมา
หญิงสาวเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้า ผมสีน้ำตาลอ่อน สวมเดรสตัวหรูสีสว่างสดใสอันเป็นเอกลักษณ์ของตะวันออก
ทันทีที่หญิงนางนั้นพบเธอ นัยน์ตาอ่อนหวานคู่นั้นก็คลี่ยิ้มด้วยความยินดี
เธอส่งยิ้มทักทายตอบกลับไป
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ลาลาเน่”