เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 19
SPIN-OFF บทที่ 19
“ตอนนี้ตะวันออกก็ปลูกข้าวสาลี….”
เฟเรสพึมพำกับตนเองราวกับย้ำเตือน
ภาคตะวันออกที่มีทั้งภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ต่างจากภูมิภาคอื่นในอาณาจักรเป็นอย่างมากนั้นไม่เคยปลูกข้าวสาลีซึ่งเป็นอาหารหลักได้
นั่นเป็นความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาคตะวันออกซึ่งถูกบอกต่อกันมาอย่างเนิ่นนาน และเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของภาคตะวันออกด้วย
และเพราะเหตุนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสังเกตท่าทีของภาคกลางและคนจากภูมิภาคอื่นอยู่เสมอ
ทว่าตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว
เพราะภาคตะวันออกมีเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถปลูกข้าวสาลีเองได้
“ขอบคุณสำหรับความลำบากที่ผ่านมานะลาลาเน่ ที่ต้องหลีกเลี่ยงสายตาของคนอื่นจนต้องมาวิจัยวิธีการปลูกข้าวสาลีที่เหมาะกับภาคตะวันออกในพื้นที่ที่ห่างจากรูมันถึงขนาดนี้”
ลาลาเน่หน้าแดงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำชมของข้า
“ไม่ใช่ข้าคนเดียวเสียหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะนักวิชาการจากลอมบาร์เดียที่เทียส่งมาให้ ข้าก็คงไม่กล้าแม้แต่คิดฝันหรอกนะ”
แต่ข้าส่ายหน้า
คำพูดที่ข้ากล่าวออกไปไม่ใช่คำพูดไร้สาระ
แม้ระหว่างทางจะตั้งท้องริค แต่ลาลาเน่ก็ไม่เคยหยุดวิจัยวิธีการปลูกข้าวสาลีเลย
แม้แต่การเจ็บท้องคลอดก็ยังเกิดขึ้นภายในรถม้าที่วิ่งจากรูมันมาส่งนางที่นี่ ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ
“นักวิชาการเป็นเพียงคนที่มีความรู้และทำการวิจัยดั่งเช่นชื่อเรียก แต่ผู้ที่เป็นคนรวบรวมคนเหล่านั้นไว้ในที่เดียวและพามาจนถึงจุดนี้ได้ก็คือลาลาเน่นะ เจ้าไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวหรอก”
“…ขอบใจนะเทีย”
ลาลาเน่ที่ตอบรับเช่นนั้นยิ้มกว้างมากกว่าครั้งไหนๆ ที่ข้าเคยเห็นมา
ชั่วขณะนั้น คำพูดที่โซอูรา ยายของข้าเคยกล่าวไว้ก็ผุดขึ้นมาในสมอง
“เดิมทีดอกไม้บางดอกมักจะเติบโตได้อย่างงดงามในดินแดนอื่นมากกว่าสถานที่ที่ตัวเองถือกำเนิดหยั่งรากมาอยู่แล้วสินะ”
ลาลาเน่ที่เดินทางออกจากลอมบาร์เดียซึ่งเป็นสถานที่ที่ตนถือกำเนิดมายังภาคตะวันออกแห่งนี้ได้บานสะพรั่งอย่างเต็มที่แล้ว
ราวกับในที่สุดก็ค้นพบสถานที่ที่ตนจะหยั่งรากลงแล้ว
ข้าแตะไหล่ลาลาเน่ครั้งหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวกลับไปหาเฟเรส
เขายังคงมีสีหน้าเหม่อลอยเล็กน้อย และยังใช้ปลายนิ้วมือสัมผัสข้าวสาลีอยู่เช่นเดิม
ดูเหมือนสายตาจะไม่อาจละจากทุ่งข้าวสาลีอันกว้างใหญ่ไพศาลที่สุกงอมอย่างเต็มที่ได้เลย
“ที่ผ่านมาเจ้าตระกูลรูมันลำบากไม่น้อยเลยนะ”
“เจ้าตระกูลรูมัน?”
“เพื่อที่จะศึกษาอะไรหลายๆ อย่างที่นี่อย่างลับๆ ก็เลยจำเป็นต้องตบตาคนอื่นน่ะสิ เพราะงั้นเขาก็เลยต้องแสร้งเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายเดียวกับชานตั้น เซอเชาว์”
รู้ไหมว่าสายตาที่เขาแอบมองข้าทุกครั้งที่เผชิญหน้ากันในการประชุมใหญ่มันน่าสงสารขนาดไหน
ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งที่ข้าเกือบจะระเบิดหัวเราะออกมาทุกครั้งที่เห็นเจ้าตระกูลรูมันที่มีหน้าตาคล้ายกับอาบีน็อกซ์แต่เคร่งขรึมกว่ามาก จ้องมาที่ข้าด้วยสายตาแบบนั้น
“เทีย”
“อือ เฟเรส”
“เรื่องนี้ การปลูกข้าวสาลีที่ภาคตะวันออกจะส่งผลให้เกิดคลื่นลมอันใหญ่หลวง”
“นั่นสินะ”
ใช่ว่าข้าจะคาดเดาไม่ได้
ต่อให้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทันทีก็ตาม
“อย่างแรก อิทธิพลของเซอเชาว์ต่อตะวันออกจะลดลงอย่างมาก เพราะรูมันไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาหารจากทางใต้อีกต่อไป”
บัดนี้ ตระกูลรูมันพร้อมที่จะกระโดดเข้าไปในสนามการเมืองของเมืองหลวงในฐานะหนึ่งในแกนหลักของอาณาจักรอย่างจริงจัง
มันคือเรื่องที่พวกเขาปรารถนาอย่างยิ่งมาเนิ่นนาน
“และการพึ่งพาทางการค้าของตะวันออกก็จะลดลงเช่นกัน เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องรับอาหารที่ขนส่งมาจากภายนอกอีก
“แต่หากเป็นเช่นนั้นจะไม่ใช่แค่เซอเชาว์เท่านั้น ลอมบาร์เดียเองก็จะลำบากในการควบคุมรูมันเช่นกัน”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ภายนอกรับรู้กันว่าตะวันออกอยู่ใต้อิทธิพลของเซอเชาว์ และอยู่ในกำมือของข้าอย่างแท้จริง
เพราะหากไม่ใช่เรือการค้าและเรือล่องสำราญของร้านค้าเพลเลสที่เชื่อมต่อภาคตะวันออกกับภาคกลางโดยตรงละก็ พวกเขาก็คงจะถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวอีกครั้ง
แต่ในเมื่อสามารถปลูกอาหารเองได้ อีกไม่นานภาคตะวันออกก็จะสามารถพึ่งพาตนเองได้
เช่นเดียวกันไอบันจากภาคเหนือที่ครอบครองสินแร่จำนวนมากจนสามารถรักษาอำนาจทางการเมืองที่เป็นอิสระได้
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาจะหลุดออกไปจากการควบคุมของข้านั่นเอง
“เจ้าพูดถูก เฟเรส”
พอข้าตอบกลับอย่างผ่าเผย เฟเรสก็ขมวดคิ้วราวกับไม่เข้าใจเหตุผลยิ่งกว่าเดิม
“สงสัยไหมว่าทำไม”
“ข้าไม่เข้าใจ การที่เจ้าถึงกับให้นักวิชาการของลอมบาร์เดียเข้ามาแทรกแซงในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าเลยแบบนี้”
“อืมม ก็เพราะว่า”
เรื่องนี้ควรอธิบายยังไงดีนะ
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ข้าก็ตัดสินใจเลือกทางที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมา
“เพราะถึงแม้ข้าจะเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย แต่อีกไม่นานก็จะต้องกลายเป็นจักรพรรดินีของอาณาจักรยังไงล่ะ”
“…เทีย”
“เมื่อไหร่ที่ตะวันออกมีอำนาจอิสระ อีกหน่อยงานของเจ้าก็ง่ายขึ้นเยอะเลย ว่าไหมล่ะเฟเรส”
อำนาจของจักรพรรดิได้มาจากกำลังทหารและความมั่งคั่ง
แต่หากถามว่าต้องทำยังไงจึงจะรักษาอำนาจนั้นไว้ได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะสามารถควบคุมขุนนางใต้บังคับบัญชาและถ่วงดุลอำนาจอันน่าหวาดเสียวพวกนั้นได้มากแค่ไหน
“คิดเสียว่าเป็นส่วนหนึ่งของของขวัญแต่งงานนะเฟเรส คิดๆ ดูแล้วตอนเจ้าขอแต่งงานก็ได้มอบแหวนกับกฎมณเฑียรบาลจักรพรรดินีฉบับแก้ไขให้ แต่ข้ากลับไม่ได้ให้อะไรเจ้าเลย”
แม้ข้าจะกล่าวออกไปอย่างเย้าหยอก แต่เฟเรสกลับทำเพียงจ้องมาที่ข้าอย่างจดจ่อเท่านั้น
“ยังมีที่ยังไม่ได้เอาให้ดูอีกนะ อย่าเพิ่งทำสีหน้าแบบนั้นสิ”
“…ข้าเริ่มกลัวแล้วนะเทีย”
“ขี้โม้”
หลังจากปรายตามองเฟเรสรอบหนึ่ง ข้าก็เอ่ยถามลาลาเน่
“เดินตามถนนนี้ไปทางเหนือใช่ไหม”
“อือ เจ้าข้ามเนินเขาตรงนั้นไปจะเห็นทันทีเลย”
“ขอบใจนะ เดี๋ยวข้ารีบกลับมา”
หลังจากโบกมือให้ลาลาเน่เบาๆ ข้าก็เริ่มเดินไปตามถนนที่ทอดยาวไกลออกไป
แต่ด้านหลังกลับรู้สึกว่างเปล่า
ไม่มีเสียงฝีเท้าที่เดินตามมา
ข้าเหลียวกลับไปมองด้านหลัง แล้วกล่าวเร่งเฟเรสที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมราวกับถูกตะปูตอกขาเอาไว้
“ทำอะไรน่ะ? ก็บอกว่ายังมีที่ยังไม่ได้ให้ดูอีกไงล่ะ”
ขณะที่เดินตามหลังฟีเรนเทียขึ้นไปบนเนินเขา เฟเรสก็ใช้ฝ่ามือลูบใบหน้าที่ยังคงไม่ได้สติ
ปลูกข้าวสาลีที่เป็นของภาคตะวันออกเองอย่างนั้นเหรอ
แม้เทียจะอธิบายทุกอย่างให้ฟังแล้ว แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
‘ทำแบบนั้นได้ยังไง’
การกระทำของนางก็ไม่ต่างไปจากการวางอาวุธที่ถืออยู่ในมือลงด้วยตนเอง
หากนางสามารถควบคุมตะวันออกได้ ในอนาคตไม่ว่าในฐานะเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย หรือในฐานะจักรพรรดินีของอาณาจักร นางก็จะได้ครอบครองอำนาจอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่กลับให้ของขวัญแต่งงานอย่างการปลดสายจูงของตะวันออกออกไปด้วยตนเองเนี่ยนะ
ของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่เข้ามาอยู่ในอ้อมอกโดยไม่ทันตั้งตัว กลับทำให้เฟเรสแทบจะหัวเราะออกมา
“อ๊ะ เหมือนจะเป็นตรงนี้นะ!
เมื่อเดินเข้ามาในส่วนที่ต้นไม้หนาแน่น เสียงของฟิเรนเทียที่ดังขึ้นอย่างสดใสและก้องกังวานเป็นพิเศษก็ปลุกเขาออกจากความคิด
“อืมม เป็นแบบนี้นี่เอง พอเห็นของจริงแล้วรู้สึกต่างไปนิดหน่อยจริงด้วย”
พอมองตามนัยน์ตาสีเขียวของเทียที่พูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจความหมายอยู่คนเดียวไป ก็พบว่าตรงนั้นมีที่ราบที่เหมือนกับเมื่อครู่อยู่
“นั่นคือ…”
สายตาของเฟเรสพลันคมกริบขึ้น
มันคล้ายกับทุ่งข้าวสาลีที่เห็นเมื่อครู่ก่อน แต่ทิวทัศน์ที่สะท้อนเข้ามาในสายตากลับต่างกันอย่างลิบลับ
“ทำไมข้าวสาลีอีกด้านหนึ่งถึงตายทั้งหมดล่ะ?”
โครงสร้างของทุ่งข้าวสาลีที่ถูกคั่นกลางด้วยถนนเส้นหนึ่งมีความคล้ายคลึงกัน
แต่สิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงคือ ข้าวสาลีทางซ้ายมือโดยยึดจากทิศทางที่มองลงไปนั้นเหี่ยวแห้งจนมีสีดำสนิท
ข้าวสาลีทั้งหมดที่ยังไม่อาจสุกงอมได้ต่างก็ล้มอยู่บนพื้น
ดูคล้ายกับสภาพของทุ่งนาที่เหลืออยู่หลังจากถูกกีบม้าอันหยาบกร้านเหยียบย่ำในคราวเดียว
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมช่วงนี้เหล่าขุนนางถึงได้สังเกตท่าทีของชานตั้น เซอเชาว์เป็นพิเศษ เฟเรส?”
เรื่องที่เจ้าเมืองในเขตแดนที่ต้องการอาหารต่างก็ประหม่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชานตั้น เซอเชาว์ผู้เป็นเจ้าของเขตแดนอู่ข้าวอู่น้ำไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันสองวันนี้
แต่ช่วงนี้ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
แม้จะกล่าวว่าเป็นเพราะใกล้ถึงฤดูการเก็บเกี่ยวแต่ท่าทางที่ดูมีลับลมคมในนั้น ก็ทำให้เฟเรสออกคำสั่งให้ทำการตรวจสอบอย่างลับๆ
และรายงานที่เขาได้รับมาไม่กี่วันก่อนจะออกเดินทางในคราวนี้ก็คือ
“โรคระบาด”
โรคที่ไม่รู้จักซึ่งเริ่มต้นขึ้นจากภาคตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข่นฆ่าข้าวสาลีจนหมดเกลี้ยง
ได้ยินว่าโรคที่กระจายไปราวกับไฟป่านั้น ไม่มีวิธีการป้องกันรักษาที่รู้กันโดยทั่วไปใดๆ ใช้ได้ผลเลย
แม้แต่เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญก็ยังบอกว่านี่คือบทลงโทษจากฟากฟ้าและถึงกับวางอุปกรณ์ต่างๆ ลง
อีกทั้ง โรคพืชดังกล่าวยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อการปลูกข้าวสาลีมากกว่าพืชผลอื่นๆ
ดังนั้นปริมาณผลผลิตข้าวสาลีของทางใต้จึงลดลงเมื่อเทียบกับคราวที่แล้วไปโดยปริยาย และบรรดาขุนนางของกลุ่มพันธมิตรเซอเชาว์ที่สังเกตเห็นเรื่องนี้ได้ก่อนใคร จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอาอกเอาใจชานตั้น เซอเชาว์อย่างหนักเพื่อทดแทนข้าวสาลีที่ลดหายไป
แต่ต่างจากเหล่าขุนนางที่วิวาทกันเพียงเพื่อผลการเก็บเกี่ยวในคราวนี้เท่านั้น สำหรับเฟเรสที่ต้องดูแลทั่วทั้งอาณาจักร โรคพืชที่ส่งผลต่อการปลูกข้าวสาลีนั้นกลับใกล้ตัวกว่ามาก
“เจ้าก็รู้สินะ? ว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปทั้งอาณาจักรต้องตกอยู่ในอันตรายแน่”
“มันแพร่กระจายรวดเร็วยิ่ง ตอนนี้ศูนย์กลางของภาคใต้ก็คงจะได้รับผลกระทบแล้วละ”
สีหน้าของเฟเรสพลันดำมืด
ดินแดนอู่ข้าวอู่น้ำของเซอเชาว์ที่ถูกแบ่งสรรอย่างตั้งใจ ก็คือที่ราบศูนย์กลางของภาคใต้
ต่อให้โชคดีผ่านฤดูเก็บเกี่ยวในคราวนี้ไปได้ แต่ในคราวหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดรู้
หลังจากที่ได้รับรายงาน เขาก็วางแผนจะส่งนักวิชาการของอคาเดมี่ไปทางใต้อย่างเร่งด่วน ทว่าผลลัพธ์นั้นก็ยังไม่อาจมั่นใจได้
พลังของโรคระบาดน่ากลัวถึงเพียงนั้น
“หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป ทั่วทั้งอาณาจักรจะตกอยู่ในสภาพที่ไม่อาจเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เลย”
ฟีเรนเทียที่เอามือไพล่หลังกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ
“และคนมากมายจะต้องตาย เฟเรส”
มันเป็นการคาดการณ์ที่เรียบง่าย แต่เฟเรสพลันขนลุกซู่
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ผิดปกติจากคำพูดที่นางพึมพำกล่าวออกมา
ฟีเรนเทียที่เขาจ้องมองไปตามสัญชาตญาณยังคงมองไปยังทุ่งข้าวสาลีที่แห้งเหี่ยวเหล่านั้น
แต่เฟเรสคิดว่าบางทีอาจจะไม่ใช่
เพราะสายตาของนางดูเหมือนไม่ได้กำลังมองทุ่งข้าวสาลีที่อยู่ตรงหน้านี้ หากแต่กำลังมองอนาคตที่ไกลออกไป
ขณะที่เฟเรสกำลังจะเอ่ยปากเพราะอยากช่วยลดความไม่สบายใจของนางนั่นเอง
“เทีย ไม่ต้องกังวัลมากเกิน…”
“ข้าพบยารักษาแล้ว”
“ว่าไงนะ”
“โรคพืชในข้าวสาลีน่ะ ข้าพบยารักษามันแล้ว”