เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 35
SPIN-OFF บทที่ 35
ท่านพ่อไม่ได้พูดอะไร
ทำเพียงมองข้านิ่งๆ โดยที่ยังยืนอยู่ตรงประตู
ผ้าคลุมที่ปิดอยู่ข้างหน้า ทำให้ข้ามองเห็นไม่ชัดเจนนัก
“ท่านพ่อ” กำลังคิดอะไรอยู่กันนะ
ความรู้สึกนั้น ข้าไม่กล้าคาดเดา
ข้าไม่ได้เร่งเร้าท่านพ่อและรอต่อไปเงียบๆ
แน่นอนว่าย้อนนึกไปด้วยว่าเอาผ้าเช็ดหน้าวางไว้ตรงไหนกันนะ
ผ่านไปไม่นานนัก ด้านหลังของท่านพ่อก็มีเสียงปิดประตูดังขึ้น
“เทีย พร้อมหรือยัง”
เสียงของท่านพ่อกำลังสั่นเทา
“เอา…ผ้าเช็ดหน้าไหมคะ”
“อ๊ะ ไม่ ไม่ได้ร้องไห้นะ” ท่านพ่อรีบเดินตรงมาตรงหน้าข้าพลางกล่าว
“จะให้เห็นน้ำตาในวันที่น่ายินดีแบบนี้ไม่ได้สิ”
เหมือนจะกำชับกับตนเองมากกว่าจะบอกข้า
“งั้นข้าขอกอดหน่อยนะคะ” ข้าอ้าแขนไปทางท่านพ่อแล้วกล่าวขึ้น
อย่างน้อยก็ขอปลอบด้วยวิธีนี้เถอะนะ ท่านพ่อของข้า
ท่านพ่อกะพริบตาปริบๆ พลางมองข้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร้อง ‘อุ๊บ’ แล้วหัวเราะอย่างหมดเรี่ยวแรงออกมา
“พ่อสิต้องเป็นคนกอด”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น ท่านพ่อก็กอดข้าแน่น
อ้อมกอดของท่านพ่อกว้างใหญ่ถึงขนาดนี้เลยเหรอ
แขนทั้งสองข้างที่กอดข้าจนสุดแรง ในวันนี้ดูมั่นคงมากเป็นพิเศษ
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“ไม่เป็นห่วงหรอก เพราะว่าเจ้าเป็นเด็กที่ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดเสมอเลยนี่นะ”
ฝ่ามืออันอบอุ่นตบแผ่นหลังของข้าเบาๆ
“ก็แค่ความคิดอะไรหลายๆ อย่างมันผุดขึ้นมาเท่านั้น อย่างเทียน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอกนะ”
เวลานี้ มือที่ลูบแผ่นหลังอยู่แบบนั้นเปลี่ยนมาจับมือทั้งสองข้างของข้าเอาไว้
“เคยมีช่วงเวลาที่มือของเทียอยู่ในฝ่ามือของพ่อได้ทั้งหมดด้วยนะ”
“นั่นสิคะ ข้าก็ยังรู้สึกเหมือนว่าตอนท่านพ่อเห็นชุดราตรีสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงเปิดตัวเข้าสังคมของข้าแล้วน้ำตาไหลพลั่กๆ น่ะ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอยู่เลย”
แม้ข้าจะพูดหยอกล้อออกไปเบาๆ เพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ แต่ท่านพ่อก็ทำเพียงทอดสายตามองมาที่ข้านิ่งๆ
แล้วทันใดนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีเขียว
“ยิ้มอะไรกันคะท่านพ่อ”
“จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาได้น่ะ”
อาจเพราะตื่นเต้น นิ้วมือของท่านพ่อที่เย็นเฉียบกว่าปกติเล็กน้อยลูบไล้บนหลังมือของข้า
“มีคำพูดที่ชาห์นเคยกล่าวไว้ตอนที่เจ้ายังอยู่ในท้อง”
“ท่านแม่เหรอคะ?”
“วันหนึ่งหลังจากตื่นขึ้นมาจากการนอนกลางวันที่แสนยาวนาน นางได้บอกเอาไว้ ว่า ‘ลูกสาวของพวกเราจะได้พบกับคนที่ดีมาก แล้วมีชีวิตอย่างมีความสุขไปนานแสนนาน’ น่ะ”
“อ่า”
“คงเพราะนางยิ้มด้วยสีหน้าที่แสนโล่งใจ ภาพนั้นจึงยังติดตาพ่ออยู่เลย หลังจากนั้นก็ยังถึงกับบ่นออกมาด้วยนะว่า ‘เพราะงั้นจะไปร้องไห้ในงานแต่งงานไม่ได้นะ แคลลี่’ อะไรแบบนั้นด้วย”
ท่านแม่เห็นอะไรในระหว่างที่นอนกลางวันอันแสนยาวนานกันแน่นะ
“จนถึงตอนนี้ คำพูดที่ชาห์นเคยกล่าวไว้ยังไม่มีคำไหนที่ผิดเลย เพราะงั้นนะเทีย ในอนาคตเจ้าก็จะต้องมีความสุขมากขึ้นกว่านี้อีกแน่ๆ”
อนาคตของข้าที่ท่านแม่เคยเฝ้ามองล่วงหน้าเมื่อนานมาแล้ว และท่านพ่อที่มาถ่ายทอดมันให้ฟัง
ของขวัญที่พ่อกับแม่ตระเตรียมไว้ให้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว เดินทางผ่านวันและเวลาอันยาวนานและมาถึงข้าในวันนี้
“จงมีความสุขไปนานแสนนาน”
จิตใจที่กระสับกระส่ายพลันสงบลง
คราวนี้เป็นข้าที่กอดท่านพ่อแน่น
“เหนื่อยแย่เลยนะคะที่ต้องเลี้ยงดูข้าด้วยตัวคนเดียวมาโดยตลอด”
ท่านพ่อที่วิ่งเข้ามาคนแรกเสมอเมื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้า
ท่านพ่อที่ถึงแม้จะหวาดกลัวเบเจอร์ที่คอยข่มเหงรังแก แต่ก็ยังก้าวออกมาประจันหน้าเพื่อปกป้องข้า
ท่านพ่อที่แม้จะอยู่ต่อหน้าความตายแต่ก็ยังยิ้มราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
และท่านพ่อที่เข้มแข็งขึ้นมากกว่าใครๆ เพื่อข้า
“ขอบคุณนะคะ ท่านพ่อ”
“…”
รู้สึกได้ว่าหัวไหล่ที่โอบกอดข้าแทนคำตอบกำลังสั่นเบาๆ
บางทีคงกำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้ด้วยแรงทั้งหมดอยู่สินะ
ก๊อกก๊อก
พอดีกับที่เสียงเคาะประตูเพื่อแจ้งว่าด้านนอกได้เวลาแล้วดังขึ้น
“อะแฮ่ม”
ท่านพ่อรีบดึงข้าออกจากอ้อมแขน จากนั้นใช้แขนเสื้อซับขอบตาอย่างรวดเร็ว
เฮ้อ ท่านพ่อของข้า
ข้าลุกขึ้นจากที่นั่งโดยที่แสร้งทำเป็นไม่รู้ แล้วสวมถุงมือลูกไม้สีขาว
การเตรียมพร้อมทั้งหมดเสร็จสิ้นจริงๆ แล้ว
“ลูกสาวของพ่อ”
ท่านพ่อที่ถึงแม้จะเช็ดน้ำตาหมดแล้ว แต่ก็ไม่อาจปิดบังดวงตาที่แดงก่ำได้เดินเข้ามาและยื่นมือให้ข้า
“พิธีแต่งงานจะเริ่มต้นขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้าสาวเข้าไปไม่ใช่เหรอ”
“แน่นอนสิคะ”
ข้าพยักหน้าสั้นๆ ให้กับคำพูดของท่านพ่อ
“งั้นไปกันเลยไหม?”
ข้าจับมือข้างนั้นที่คอยประคองข้าอยู่เสมอ ดังนั้นครั้งหนึ่งจึงได้เฝ้าคะนึงหาอย่างไม่อาจลืมเลือน แล้วก้าวเดินไปบนทางเดินเจ้าสาว
***
พิธีแต่งงานของจักรพรรดิเฟเรสและเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียจัดขึ้นที่เอลเรย์นัว ฮอลล์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย
เหล่าชนชั้นสูงที่ถือบัตรเชิญและเดินผ่านประตูทางเข้าของฮอลล์มาต่างก็ต้องตกใจถึงสองครั้ง
“โอ้โห นี่มันให้ตายเถอะ”
“ถึงจะเคยคาดการณ์ไว้ระดับหนึ่งแล้ว เพราะมันเป็นพิธีแต่งงานของฝ่าบาทกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็เถอะ”
เอลเรย์นัว ฮอลล์นั้น ทั้งงดงามและยิ่งใหญ่ในเวลาเดียวกัน
ลำต้นของต้นไม้ที่พันเกี่ยวกัน ไต่ขึ้นไปราวกับจะค้ำยันเพดานกระจกใส
และในระหว่างทางนั้นยังมีดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่และไร้ตำหนิบานสะพรั่งอยู่
“สิ่งนั้นคือต้นไม้โลกเหรอ”
“มันคือสัญลักษณ์ของตระกูลลอมบาร์เดียไม่ใช่หรือครับ แต่จะว่าไป ต้นไม้โลกที่มีดอกไม้บานสะพรั่งอย่างนั้นเหรอเนี่ย เหมือนกำลังฝันอยู่เลยนะครับ”
ส่วนตอนที่คนเหล่านั้นตกใจเป็นครั้งที่สองจนลืมรักษาหน้า ก็คือหลังจากที่พิธีแต่งงานเริ่มต้นขึ้น
“ฝ่าบาท…เหมือนจะกำลังยิ้มอยู่เลยนะ ตาข้าคงไม่ได้พังไปแล้วใช่ไหมครับ”
“ท่านผู้นั้นสามารถยิ้มแบบนั้นได้ด้วยเหรอเนี่ย”
แขกผู้มาร่วมงานเริ่มตื่นตะลึง
ด้วยเพราะบรรยากาศค่อนข้างจริงจัง พวกเขาจึงทำได้เพียงกระซิบกระซาบกับคนที่นั่งด้านข้าง หากนี่เป็นงานเลี้ยงทั่วไปละก็ คงได้อึกทึกครึกโครมไปแล้ว
“หรือว่าจะเป็นคนที่หน้าเหมือนกับฝ่าบาทเปี๊ยบกันแน่ครับ”
“มีคนที่หน้าตาแบบนั้นถึงสองคนอย่างนั้นเหรอ อย่าพูดอะไรน่ากลัวแบบนั้นสิครับ”
เหล่าขุนนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แต่ก็ไม่อาจละสายตาไปจากจักรพรรดิเฟเรสได้
ทุกคนในงานโดยไม่เกี่ยวว่าวัยรุ่นหรือวัยชราต่างก็ถูกดึงดูดไปตามๆ กัน เพราะจักรพรรดิหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาราวกับรูปปั้นแกะสลัก ยืนมองประตูที่เจ้าสาวกำลังจะเดินเข้ามาในไม่ช้าแล้วยิ้มออกมาไม่หยุด
และรอยยิ้มนั้นของจักรพรรดิก็ยิ่งชัดขึ้น ทันทีที่เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเดินมาบนทางเดินของเจ้าสาว
“โอ้ว”
“ว้าวว”
เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่เดินเข้ามาในงานโดยที่มือข้างหนึ่งถือช่อดอกไม้ทำจากดอกบอมเนียสีแดง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งรับการประคองจากแคลอฮัน ลอมบาร์เดียผู้เป็นบิดานั้นงดงามยิ่ง
แม้จะมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเพราะผ้าคลุมหน้า แต่รูปโฉมของนางนั้นไม่มีใครในอาณาจักรที่ไม่รู้ รูปร่างที่เปล่งประกายราวกับไข่มุกอันหาค่ามิได้
ที่ปลายสุดของทางเดินเจ้าสาวที่เหมือนจะยาวแต่ก็สั้น เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียย่อเข่าลงเพื่อทำความเคารพบิดา
แม้แคลอฮัน ลอมบาร์เดียจะมีท่าทางราวกับว่าน้ำตาจะหยดออกมาได้ทุกเมื่อ แต่ก็ไม่มีใครตำหนิเขา
ในงานแต่งงานของบุตรสาวที่เลี้ยงดูมาเพียงลำพัง ความรู้สึกต่างๆ จะสับสนปนเปมากเพียงใดกัน
มีคนมากมายที่หลั่งน้ำตาออกมาเงียบๆ เพราะเข้าใจความรู้สึกของผู้เป็นบิดา
จากนั้น เจ้าตระกูลฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียก็หันหน้าไปหาจักรพรรดิเฟเรสในที่สุด
ตามกฎแล้วเจ้าบ่าวจะต้องรอเจ้าสาวอยู่บนบันไดเตี้ย แต่จักรพรรดิหนุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป
เขารีบลงมาจับมือเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียพลางกล่าวว่า
“งดงาม งดงามมากเลยเทีย”
แม้มันจะเป็นเสียงกระซิบเบาๆ แต่เพราะสถานที่จัดพิธีเงียบสงัด จึงไม่มีใครที่ไม่ได้ยินคำพูดนั้น
“…อยู่เงียบๆ”
สุดท้ายพอเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเอ่ยห้ามปรามจักรพรรดิ เสียงหัวเราะเบาๆ ก็กระจายไปในหมู่แขกผู้มาร่วมงาน
เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวที่กุมมือกันแบบนั้นยืนอยู่ตรงหน้ารูลลัก ลอมบาร์เดียผู้เป็นประธานในพิธี
“ในวันนี้ ข้าขอยืมพื้นที่แห่งนี้เพื่อประกาศว่าจักรพรรดิเฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่และเจ้าตระกูลฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย…”
มองผ่านๆ คำกล่าวอวยพรของประธานในพิธีนั้นดูแล้วธรรมดา
เว้นเสียแต่บางครั้งที่รูลลัก ลอมบาร์เดียจ้องเฟเรสเขม็งด้วยสายตาที่เข้มงวด
มีแขกผู้มาร่วมงานหลายคนที่ถึงกับผงะเมื่อเห็นสายตาคู่นั้น แต่กลับกลายเป็นว่าจักรพรรดิเฟเรสไม่เป็นอะไรเลย
ดูเหมือนว่าความสุขที่ได้แต่งงานกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียจะผลักของเหล่านั้นออกไปหมดแล้ว
“เฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่เชิญกล่าวคำปฏิญาณ”
ในที่สุดก็ถึงตาของเจ้าบ่าวที่ไม่อาจละสายตาไปจากเจ้าสาวได้เลยเสียที
“คนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกโลกหลงลืมไปอย่างข้า ได้รับชีวิตใหม่มาก็เพราะได้พบกับเจ้า ความสุขและความเศร้าโศกที่ข้ารู้สึกมาจนถึงตอนนี้ หรือแม้กระทั่งบัลลังก์ของข้า ก็ล้วนมีขึ้นได้เพราะความช่วยเหลือในวันนั้น ดังนั้นข้าจึงขอถวายทั้งมงกุฎและชีวิตของข้าให้แก่เจ้า ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย”
ผู้คนต่างก็สะดุ้งตกใจ
จักรพรรดิที่ปฏิญาณว่าจะถวายมงกุฎและชีวิตอย่างนั้นเหรอ
เรื่องแบบนี้ไม่เคยพบเจอมาก่อน
“อะแฮ่ม ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย เชิญกล่าวคำปฏิญาณ”
สายตาของทุกคนเบนมาทางเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียโดยอัตโนมัติ
“ไม่ว่าใครต่างก็มีเรื่องที่รู้สึกเสียใจในบั้นปลายของชีวิต” นางปรับจังหวะลมหายใจรอบหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ
“แต่ถ้าหากว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนี้ไม่มีท่านอยู่เคียงข้างข้า ข้าก็ขออธิษฐานให้ชีวิตของข้าเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ทั้งจุดเริ่มต้นและจุดจบของชีวิตในคราวนี้ ข้าสัญญาจะมอบมันให้แก่ท่าน เฟเรส บรีบาเชาว์ ดิวเรลลี่”
ฟืด
ในที่สุด แคลอฮัน ลอมบาร์เดียก็เริ่มร้องไห้
แต่คนที่เริ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้น
ทั้งรูลลัก ลอมบาร์เดียที่รับหน้าที่เป็นประธานในพิธี ทั้งแขกผู้มาร่วมงานจำนวนมาก พวกเขาต่างก็ขอบตาแดงก่ำต่อหน้าหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่สัญญาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างของกันและกันอย่างหนักแน่น
แม้แต่จักรพรรดิเฟเรสผู้เป็นเจ้าบ่าวด้วยก็เช่นกัน
เขาที่ไม่กล้าแสดงน้ำตาในงานแต่งงานของตนเอง กัดฟันและเอาแต่มองผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวอย่างใจจดใจจ่อ
สถานที่จัดพิธีแต่งงานกลายเป็นทะเลน้ำตาในชั่วพริบตา
ท่ามกลางความโกลาหลนั้น เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่ยืนอย่างสุขุมอยู่คนเดียวทนดูไม่ได้จนพูดขึ้นมาหนึ่งคำ
“…ท่านปู่”
“ชะ ใช่ อะแฮ่ม ด้วยเหตุนี้ ข้า รูลลัก ลอมบาร์เดียจึงขอประกาศอย่างเป็นทางการว่าทั้งสองคนได้เป็นสามีภรรยากันแล้ว”
จักรพรรดิเฟเรสเปิดผ้าคลุมหน้าของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียขึ้นทันทีที่คำพูดของรูลลัก ลอมบาร์เดียจบลง
จากนั้นก็ประทับริมฝีปากลงไป
เป็นการจูบที่ลึกซึ้งและจริงใจซึ่งไม่อาจพบเห็นได้ในพิธีแต่งงานอื่น
เสียงปรบมืออันเร่าร้อนไม่แพ้การจูบของคู่บ่าวสาวดังไปทั่วเอลเรย์นัว ฮอลล์
ท่ามกลางแขกผู้มาร่วมงานที่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ทีละคน พลางส่งเสียงอวยพรและโห่ร้องอย่างไม่ขาดสาย
จักรพรรดิเฟเรสและเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียที่บัดนี้กลายเป็นสามีภรรยากันแล้ว แนบหน้าผากแล้วมองหน้ากันและกันพลางยิ้มอย่างมีความสุข
***
พิธีแต่งงานเสร็จสิ้นอย่างราบรื่น
งานเลี้ยงฉลองที่ไม่รู้ว่ามีเพื่อพวกเราหรือเพื่อให้แขกผู้มาร่วมงานที่อยากสังสรรค์กันอย่างเต็มที่ก็ปิดฉากลงด้วยดีเช่นกัน
และเช้าวันแรกที่ต้อนรับพวกเราในฐานะสามีภรรยา
เฟเรสได้ทิ้งระเบิดลงในห้องอาหารของคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย ขณะที่ทุกคนนั่งกินข้าวร่วมกัน
“เมื่อกี้ว่าไงนะ?”
เฟเรสที่ใช้ผ้าเช็ดปากช่วยซับริมฝีปากของข้าที่ตกใจจนวางอุปกรณ์ในมือลงตอบว่า
“ข้าบอกว่าจะย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียอย่างจริงจัง เทีย”