เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 44
SPIN-OFF บทที่ 44
“เดี๋ยวก่อนนะคะ ถ้าเป็นลอมบาร์เดียละก็ หรือจะหมายถึงที่ข้าเคยพูดถึง…”
“ค่ะ ใช่แล้ว ตระกูลที่ครอบครองอำนาจที่แม้แต่ราชวงศ์ก็ยังทำไม่ได้นั่นแหละค่ะ!”
อาวาเน่ โรพิลลี่พยักหน้าและมีท่าทางดีใจยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก
“จริงอยู่ว่าการจะได้พบสมาชิกในตระกูลลอมบาร์เดีย ถือเป็นเรื่องที่ไม่ต่างจากการเด็ดดาวบนท้องฟ้า แต่ในเมื่อชาห์นบอกว่าได้พบกับเขาในฝันแล้ว ก็แสดงว่าจะต้องได้เจอกันแน่นอนค่ะ!”
ชาห์นปิดปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว
รู้สึกเหมือนชิ้นส่วนต่างๆ กำลังปะติดปะต่อเข้าด้วยกัน
“แคลอฮัน แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย”
นางไม่คิดว่ามันจะเป็นแค่คนที่มีชื่อซ้ำกัน
ลางสังหรณ์กำลังบอกนาง
ว่านั่นคือชื่อของคนคนนั้น
“เอ่อ ชาห์น คือว่าข้ามีเรื่องจะบอกเจ้าอยู่พอดี”
อาวาเน่ โรพิลลี่เอ่ยปากกับชาห์นที่กำลังทบทวนชื่อของเขานิ่งๆ อย่างระวัง
“อีกไม่นานข้าน่าจะต้องไปจากป่าแห่งนี้แล้วละ ข้าทำวิจัยเสร็จแล้ว”
“อ่า…”
ความเสียใจที่ไม่อาจแอบซ่อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชาห์น
มันเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นจากความสนอกสนใจอันเรียบง่ายที่นางมีต่อบุคคลภายนอกในตอนแรกก็เท่านั้น
แต่หลังจากได้พูดคุยกันเป็นระยะเวลานาน ทั้งสองคนก็กลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย
นางจะไปจากหมู่บ้านแล้วอย่างนั้นเหรอ
ชาห์นไม่อาจปิดบังความรู้สึกว่างเปล่าที่เกิดขึ้นได้เลย
“งานวิจัยกำลังจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเลยนะคะ”
แต่กระนั้นก็ไม่อาจทำให้คนที่กำลังจะจากไปรู้สึกไม่สบายใจ ชาห์นจึงพยายามส่งยิ้มให้อย่างสุดความสามารถ
อาวาเน่ โรพิลลี่รีบคว้ามือชาห์นที่เป็นเช่นนั้น แล้วถามขึ้น
“ชาห์นอยากออกไปด้านนอกกับข้าไหม”
“ไปกับอาจารย์…อาวาเน่อย่างนั้นน่ะเหรอคะ”
“มันปลอดภัยกว่าการที่ชาห์นออกไปคนเดียวเยอะเลยค่ะ ที่สำคัญ ถ้าหากแคลอฮัน ลอมบาร์เดียเป็นคนในโชคชะตาของชาห์นจริงๆ ชาห์นจะไม่ลองไปพบเขาหน่อยเหรอคะ”
พบชายผู้นั้น พบกับแคลอฮัน ลอมบาร์เดียด้วยตัวเอง
เพียงแค่ได้ลองจินตนาการ หัวใจก็เริ่มเต้นระรัวแล้ว
สายตาและรอยยิ้มอันอบอุ่นที่เขามีให้เด็กน้อยพลันผุดขึ้นมา
เขาจะยิ้มแบบนั้นให้ข้าด้วยไหมนะ?
แก้มทั้งสองข้างของชาห์นแดงระเรื่อ
แต่คำตอบตกลงกลับไม่ได้ออกมาจากปากนางเดี๋ยวนั้น
อาวาเน่ โรพิลลี่ตระหนักได้ว่ามีอะไรบางอย่างทำให้ชาห์นรู้สึกหนักใจจึงรีบพูดต่อ
“ถ้าเกิดข้าเสนอเงื่อนไขอะไรที่ทำให้หนักใจออกไปละก็…”
“ไม่เลยค่ะ! ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ! เพียงแต่มีเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องคิดอีกหน่อยน่ะค่ะ”
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ชาห์นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับอธิบายให้ฟัง
“มีกฎของเผ่าชาราห์สองข้อที่อาจารย์อาวาเน่ยังไม่รู้ค่ะ”
“คืออะไรเหรอคะ”
“คนที่ออกจากป่าไปแล้ว จะไม่สามารถกลับมาได้อีกค่ะ”
“…อะไรนะคะ?”
“และคนที่ออกไปข้างนอกยังไม่สามารถพูดถึงพลังที่พิเศษของเผ่าชาราห์ได้ด้วยค่ะ ถ้าออกจากที่นี่ไป จำเป็นต้องฝังเรื่องทุกอย่างไว้ในใจค่ะ”
“มีกฎแบบนั้นด้วยเหรอเนี่ย…”
อาวาเน่ โรพิลลี่ไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้ราวกับสะเทือนใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก นางก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ
“แต่ว่าท่านโซอูราอนุญาตให้ข้าทำการวิจัยเกี่ยวกับเผ่าชาราห์ และยังให้ตีพิมพ์เป็นหนังสือได้ด้วยนะคะ”
“ใช่ค่ะ ท่านแม่คิดว่าในตอนนี้เผ่าชาราห์ก็ถึงเวลาที่จะเปิดเผยสู่โลกภายนอกได้แล้วน่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านตกใจกันมากเพียงใด ในตอนที่โซอูราอนุญาตให้อาวาเน่เข้ามาในป่าและเปิดเผยเจตจำนงนั้นในตอนแรก
ชาห์นย้อนนึกถึงตอนนั้นพลางยิ้มร่าออกมา
“บางทีหนังสือของอาจารย์อาวาเน่ก็อาจจะเป็นเหมือนก้าวแรกในการออกสู่โลกภายนอกของท่านแม่ก็ได้ค่ะ”
ชาห์นภาคภูมิใจในตัวท่านแม่มากเหลือเกิน
จนกระทั่งนางสั่งห้ามไม่ให้มาพบกับอาวาเน่ โรพิลลี่อย่างกะทันหัน
“ดังนั้นข้าก็เลยไม่เข้าใจเลยค่ะ นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่คิดแบบนั้นจะโกรธถึงขนาดนั้นที่บุตรสาวอย่างข้ามาสนิทสนมกับอาจารย์อาวาเน่”
แต่หากว่าแค่นั้นยังไม่พอ หากบุตรสาวเพียงคนเดียวเอ่ยปากว่าจะออกจากป่าไปขึ้นมาละก็
“แต่ไม่แน่ว่านั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ดีก็ได้นะคะ”
ทันใดนั้น ชาห์นก็กำหมัดทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ข้าอาจจะกลายเป็นโอกาสก็ได้นี่นา”
เป็นคนแรกที่สามารถเข้าออกนอกและในป่าได้อย่างเป็นอิสระ
ไม่มีใครที่เหมาะสมไปกว่านางที่เป็นบุตรสาวของหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบัน และเป็นคนที่ไม่ต่างไปจากผู้ที่ถูกกำหนดให้เป็นหัวหน้าเผ่าในสมัยหน้าอีกแล้ว
“ถ้าข้าอธิบายสิ่งที่ข้าเห็นในความฝันออกไปดีๆ ละก็ ท่านแม่จะต้องเห็นด้วยแน่นอนค่ะ จะต้องเป็นเช่นนั้นแน่”
ชาห์นเชื่ออย่างนั้น
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าไม่ได้ไปคนเดียวแต่ไปกับอาจารย์อาวาเน่ ท่านแม่ก็จะยิ่งเห็นด้วยแน่นอนค่ะ”
ชาห์นออกแรงบีบมือของอาวาเน่พลางรับปากสัญญา
“ข้าจะลองคุยกับท่านแม่ดู แล้วจะนำข่าวดีมาแจ้งนะคะ!”
***
การประชุมคณะผู้อาวุโสจะจบลงก็ต่อเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
ชาห์นตระเวนไปทั่วป่าเพื่อเสาะหาของที่โซอูราน่าจะชื่นชอบ
เพราะจำเป็นต้องทำให้อารมณ์ของนางเบิกบานก่อนจะเริ่มบทสนทนาที่จริงจัง
แล้วชาห์นก็เดินมาจนถึงรอบนอกของหมู่บ้าน
“ทุ่งดอกบอมเนียนี่นา”
ดอกไม้สีแดงบานสะพรั่งอยู่เต็มทุ่งอันกว้างใหญ่
“อันนี้น่าจะเหมาะแฮะ”
ชาที่ทำจากกลีบดอกบอมเนียมีรสหวาน และมันเป็นหนึ่งในของที่โซอูราชื่นชอบ
ชาห์นฮึมฮัมเพลงและเริ่มเด็ดดอกไม้อย่างเอาใจใส่
ในไม่ช้า เหนือเสื้อคลุมที่ถอดมาเพื่อใช้แทนห่อผ้าก็มีดอกบอมเนียกองสุมอยู่จนเต็ม
ครู่ต่อมา ชาห์นทุบเอวตุ้บตุ้บ แล้วล้มตัวนอนลงบนทุ่งกว้าง
“โอ๊ย เหนื่อยจัง”
ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ชาห์นก็กำลังยิ้มอยู่
ที่จริงนางไม่รู้สึกเหนื่อยเลยด้วยซ้ำ
มีแต่ความคิดที่อยากจะรีบไปคุยกับท่านแม่ไวๆ
ดังนั้นการที่นางเผลอหลับไป จึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดไว้มาก่อน
“ชาห์น ตื่นสักเดี๋ยวก่อนได้ไหม”
เสียงพูดที่แสนอ่อนโยนดังขึ้น
เหนือเตียงนอนที่แสงแดดอันอบอุ่นสาดส่องเข้ามาถึง สัมผัสของเครื่องนอนนุ่มๆ ทำให้รู้สึกดีจนชาห์นถูหน้าไปกับมัน
ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงหัวเราะต่ำๆ ชวนฟังดังขึ้นด้านบนศีรษะ
พอลืมตาขึ้น สายตาก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
“อืออ แคลลี่”
ความเขินอายพลันโฉบผ่านใบหน้าขาวนวลทันทีที่นางออดอ้อนออกไปอย่างซุกซน
“ข้าก็อยากให้นอนต่ออีกหน่อยนะ แต่เทียเอาแต่ร้องหาชาห์นไม่หยุดเลย”
เมื่อได้ฟังดังนั้น สายตาของชาห์นก็เบนลงไป
สิ่งที่เขาโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม คือเด็กทารกที่ตัวเล็กมากราวกับเพิ่งเกิดได้เพียงไม่กี่วัน
ชั่วขณะที่ได้เห็นใบหน้าขาวกระจ่างของเด็กน้อย ชาห์นก็รับรู้ได้ทันที
ว่าเด็กคนนี้คือผลผลิตจากความรักที่นางและแคลอฮันสร้างขึ้นมา
“สวัสดี เทีย” ชาห์นรีบรับลูกมาอย่างรวดเร็ว
เด็กน้อยตัวเล็กยิ่ง คล้ายว่าแค่ออกแรงเพียงเล็กน้อยก็จะบาดเจ็บได้ทันที
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังหายใจและขยับแขนขาอย่างขยันขันแข็ง ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์และน่าปลื้มใจมากเหลือเกิน
แต่ราวกับนางไม่พอใจอะไรบางอย่าง เด็กน้อยที่นอนหลับตาปี๋จึงขมวดคิ้วแน่น
“เทียของพวกเราคิดถึงแม่นี่เอง”
ชาห์นกระซิบอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เด็กน้อยตกใจ
ทันใดนั้นรอยยิ้มก็กระจายไปทั่วใบหน้าน้อยๆ ราวกับเรื่องโกหก
ชาห์นคิดว่ามีใครบางคนกำลังพรากลมหายใจของนางไป
ไม่เช่นนั้นหัวใจคงไม่เต้นแรงถึงเพียงนี้
ไม่รู้เพราะสัมผัสได้ถึงความสุขของแม่หรืออย่างไร เด็กน้อยจึงเอาแต่เผยอปากและยิ้มด้วยใบหน้าที่คล้ายชาห์นและแคลอฮันเล็กน้อย
ชาห์นยกนิ้วชี้ขึ้นมาไล้พวงแก้มของเด็กน้อยอย่างระวัง
และในชั่วขณะที่กำลังลูบคลำปลายนิ้วที่มีเล็บมือเล็กๆ คล้ายพระจันทร์เสี้ยวเพราะรู้สึกประหลาดใจอยู่นั่นเอง
“อ่า…”
มือเล็กๆ ของเด็กน้อยก็กำนิ้วมือของชาห์นแน่น
ราวกับจะบอกว่าไม่ให้ไปไหน
ภาพเบื้องหน้าพลันขุ่นมัวเพราะน้ำตาที่คลอขึ้นมา
ชาห์นค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แคลอฮันจุมพิตลงบนหน้าผากของนาง
เป็นจุมพิตที่แสนนุ่มนวลราวกับกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นลงมา
ชาห์นลืมตาขึ้นเพราะความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรติดอยู่บนหน้าผาก
นางเอื้อมมือไปด้วยความตกใจ เป็นดอกบอมเนียสีแดงติดอยู่
ตอนนั้นเองชาห์นถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองนอนหลับไป นางลุกขึ้นนั่งพรวดแล้วบ่นงึมงำ
“ละ ลูกงั้นเหรอ…”
ใบหน้าร้อนผ่าวจนเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนกับชาดอกบอมเนีย
“นี่ข้ากับคนผู้นั้น…”
ภาพที่เด็กทารกยิ้มขณะนอนหลับพลันผุดขึ้นมา
ปลายนิ้วของนิ้วที่ถูกมือเล็กๆ จับเอาไว้รู้สึกปวดตื้อเหมือนถูกมีดบาด
ประหนึ่งว่าถูกพรากความอบอุ่นไป
ชาห์นลุกขึ้นทันที
พร้อมกับหยิบดอกบอมเนียไปด้วยอย่างเร่งรีบ
หลังจากมาถึงบ้าน นางก็ยิ่งยุ่งกว่าเดิม
นางตากดอกบอมเนียกองใหญ่ไว้บริเวณที่แสงแดดส่องถึง ปัดกวาดเช็ดถูภายในบ้าน
รดน้ำให้แปลงผักที่ลานหลังบ้าน และยังเริ่มเตรียมอาหารมื้อเย็นโดยใช้วัตถุดิบสดใหม่ที่เพิ่งเก็บมาด้วย
แต่นางไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด
แม้เหงื่อจะหลั่งไหลก็ยังมีแต่ความสดชื่น
นางไม่รู้ว่าตนเองมองออกไปนอกหน้าต่างกี่ครั้งแล้ว
ชาห์นอยากจะแบ่งปันความฝันที่ตนฝันเห็นเมื่อกี้กับท่านแม่ไวๆ
“ท่านแม่จะต้องดีใจมากแน่ๆ”
ท่านพ่อล่วงลับไปนานแล้ว ครอบครัวของนางมีแค่โซอูราและชาห์นเพียงสองคนมาตลอด
แม้เขาจะไม่ใช่คู่ครองที่ได้พบในป่า แต่ชาห์นรู้ดีว่าหากมีหลานสาว ท่านแม่จะต้องหวงแหนมากกว่าใคร
“เทีย ลูกก็คือฟีเรนเทียนี่เอง”
ชาห์นพยักหน้าหงึกๆ แล้วหัวเราะออกมา
ตอนนั้นเอง
โซอูราก็ปรากฏกายที่มุมถนนหน้าบ้าน
ชาห์นที่วิ่งไปหน้าประตูอย่างรีบร้อน เปิดประตูออกอย่างรวดเร็วพลางกล่าวต้อนรับ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ!”
“…ดูท่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นสินะ”
ริมฝีปากของโซอูราที่เม้มแน่นมาตลอดการประชุมอันแสนยาวนานพลันคลายออก
เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าทางอันสดใสของบุตรสาวที่ไม่ได้เห็นมานาน โซอูราเองก็อดไม่ได้
“ข้าเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้วค่ะ ท่านแม่ นั่งลงตรงนี้ก่อนนะคะ เรามากินข้าวกันก่อนดีไหมคะ”
“ข้าไม่อยากอ้วกเพราะความร้อนใจของเจ้าตอนที่ยังกินข้าวอยู่หรอกนะ มีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“อืม คืออย่างนี้นะคะ”
อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะกินข้าวก่อน แล้วค่อยพูดตอนบรรยากาศดีๆ แท้ๆ
ช่วยไม่ได้ละนะ
ชาห์นกระแอมคอรอบหนึ่ง จากนั้นเปิดปากขึ้น
“งานวิจัยของอาจารย์อาวาเน่ใกล้เสร็จแล้วค่ะท่านแม่”
“คืบหน้าเร็วกว่าที่บอกไว้ตอนแรกอีกนะเนี่ย ดีแล้วละ”
“ใช่ไหมคะ? ก็คืออย่างนี้ค่ะ ตอนที่อาจารย์อาวาเน่ออกจากป่า ข้ากำลังคิดว่าข้าจะไปด้วยดีไหมน่ะค่ะ”
“…ว่าไงนะ?”
การตอบสนองที่เย็นชากว่าที่คาดไว้ทำให้ชาห์นลังเลไปครู่หนึ่ง แต่นางก็รวบรวมความกล้าและพูดต่อ
“ท่านแม่พูดอยู่เสมอนี่คะว่าถึงเวลาที่พวกเราควรหยุดการตัดขาดจากภายนอกได้แล้ว เพราะงั้นให้ข้าเป็นคนเริ่มต้นดีไหมคะ ที่จริงแล้ว เมื่อเร็วๆ นี้ข้าก็ฝันด้วย…”
“ไม่ได้”
ครืด
โซอูราพลันลุกขึ้นจากที่ เก้าอี้ขูดกับพื้นอย่างแรง
“ลองฟังอีกสักหน่อยสิคะท่านแม่ มันเป็นข่าวที่ท่านแม่ก็น่าจะชอบนะคะ”
“พอได้แล้ว! ข้าบอกว่าไม่ได้ ก็คือไม่ได้!”
ในที่สุดโซอูราก็แผดเสียงออกมา
“เจ้าจะออกจากป่านี้ไปไม่ได้เด็ดขาด!”
“…ทำไมล่ะคะ”
เป็นคำถามที่ชาห์นไม่ได้คาดหวังคำตอบ
เพราะมันเป็นคำถามที่นางถามมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
“รอบนี้ก็คงจะไม่บอกกันอีกสินะคะ เพียงบอกให้ข้ารู้แค่นั้นก็…”
“เจ้าจะตายถ้าออกจากป่านี้ไป ชาห์น”
“…ว่าไงนะคะ?”
“นั่นคือเหตุผลที่เจ้าจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้”