เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 48
SPIN-OFF บทที่ 48
แคลอฮัน บุตรชายคนที่สามของตระกูลลอมบาร์เดีย ซ่อนมุมปากที่รู้สึกเหมือนจะเป็นตะคริวไว้หลังแก้วไวน์องุ่น
“ฟังที่ข้าพูดอยู่หรือเปล่า แคลอฮัน?”
เบเจอร์ ลอมบาร์เดีย พี่ชายคนโตของแคลอฮันถามย้ำ
เขาเป็นคนโหดเหี้ยมและไร้ความอดทนมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนประเภทที่ต่อให้ตอนนี้จะยิ้มเช่นนั้นอยู่ แต่ก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอารมณ์จะเปลี่ยนไปเมื่อไรอีก
อย่างตอนนี้ก็เมามายเสียจนนัยน์ตาสีน้ำตาลเหนือใบหน้าที่กำลังยิ้มฉ่ำเยิ้ม
“…ครับ ท่านพี่”
แคลอฮันตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนนั้นเองเบเจอร์ถึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“ใช่แล้ว อย่างนั้นแหละ แบบนี้สิถึงจะเป็นน้องชายข้า”
แคลอฮันพลันทรงตัวไม่อยู่เพราะมือที่บีบขยำหัวไหล่อย่างแรง
ดวงตาที่เหนื่อยล้าเพราะกระสับกระส่ายมาตลอดทั้งคืนจนไม่ได้พักผ่อนมองเหม่อเหนือไวน์องุ่นที่ไหวกระเพื่อม
“ถ้าท่านพ่อเรียกหาเจ้าเพื่อมอบหมายงานให้ทำอีก เจ้าก็ปฏิเสธไปอย่างวันนี้ก็พอ นั่นสิถึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
รูลลัก ลอมบาร์เดีย ผู้เป็นบิดาของแคลอฮันและเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียนั้น เป็นผู้นำที่เข้มงวด
และนิสัยแบบนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้จะกับบุตรหลานที่สืบสายเลือดของตนเองก็ตาม
เขาไม่เคยมอบอะไรให้เลย
ทั้งในฐานะเจ้าตระกูล ทั้งในฐานะบิดา รูลลัก ลอมบาร์เดียต้องการแค่ผลสำเร็จอยู่เสมอ
แต่น้องคนเล็กแคลอฮันกลับเป็นคนเดียวที่รูลลักปฏิบัติด้วยอย่างอ่อนโยน
รูลลักมอบโอกาสให้แคลอฮันอยู่บ่อยๆ และยังสนับสนุนเขาในรูปแบบต่างๆ
ดังนั้นสำหรับบุตรชายคนโตอย่างเบเจอร์ที่ยังไม่ถูกประกาศให้เป็นผู้สืบทอดเสียที แคลอฮันจึงเป็นคนที่เขาระวังเป็นพิเศษ
เขาแทบจะหงายหลังล้มเมื่อได้ยินข่าวว่าท่านพ่อจะมอบตำแหน่งสำคัญในกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียให้แก่น้องคนเล็ก
ในที่สุดเขาก็เรียกแคลอฮันมาพบเป็นการส่วนตัว และข่มขู่ให้อีกฝ่ายปฏิเสธท่านพ่อไปด้วยปากของตนเอง
การแวะมาเยี่ยมเยียนที่จริงๆ แล้วคือการมาทำให้ทุกข์ใจวันละครั้งด้วยการข่มขู่และเกลี้ยกล่อม เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งแคลอฮันตกลงทำตามคำสั่งของเบเจอร์
‘อย่างน้อยก็คงจะไม่ได้เจอหน้าท่านพี่ไปสักพักแล้วสินะ’
แคลอฮันคิดพลางดื่มไวน์องุ่นที่ดื่มตั้งแต่เช้าตรู่เพราะไม่อยากฝืนใจดื่มน้ำชาในที่ที่ถูกเบเจอร์ลากให้มานั่ง
“ธุรกิจของตระกูลน่ะใช่ว่าใครจะทำมันก็ได้นะ แทนที่จะให้เจ้าที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยไปบริหารงานจนเกิดพลาดพลั้งขึ้นมา ไม่สู้ให้ข้าที่มีประสบการณ์เป็นคนทำดีกว่า เจ้าคิดถูกแล้วละ”
ต่อหน้าเบเจอร์ที่อารมณ์เบิกบานเพราะได้รับสิ่งที่ตนเองต้องการ แคลอฮันมีแต่ความรู้สึกจะอยากลุกไปจากตรงนี้เท่านั้น
ถ้ารู้ว่าสุดท้ายก็ต้องล้มเลิกแบบนี้ รู้อย่างงี้ปฏิเสธข้อเสนอของท่านพ่อไปเสียตั้งแต่แรกก็ดี
เขารู้สึกสมเพชตัวเอง
“ต่อไปก็อยู่เงียบๆ สงบเสงี่ยมเข้าไว้ละ เข้าใจไหม?”
แคลอฮันพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรงให้กับคำพูดข่มขู่ของเบเจอร์
“ถ้าท่านพี่พูดจบแล้วก็เชิญกลับไปได้แล้วละครับ”
“หืม? อ้อ ได้สิ ได้สิ”
เบเจอร์ที่ตอนนี้หมดธุระกับแคลอฮันแล้วโบกมือข้างหนึ่งอย่างลวกๆ
แคลอฮันเดินกลับเข้าไปในห้องของตนเองอย่างเฉื่อยชา และเปลี่ยนเสื้อผ้าเงียบๆ
เขาสวมเสื้อเก่าๆ ที่สามัญชนทั่วไปมักจะสวมใส่ด้วยท่าทางชำนาญ หยิบอุปกรณ์สำหรับวาดภาพที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้องขึ้นมา ก่อนเรียกสารถีที่กำลังดูแลม้าอยู่ ฝีเท้าที่ก้าวขึ้นไปบนรถม้าเผยให้เห็นความรีบร้อน
“ให้พาไปที่เดิมหรือเปล่าขอรับ ท่านแคลอฮัน?”
“อือ รีบหน่อยนะ”
รถม้าเคลื่อนที่ออกมาจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดียอย่างรวดเร็วตามคำขอของแคลอฮัน
“เฮ้อ”
ตอนนั้นเอง แคลอฮันที่เปิดหน้าต่างของรถม้าและนั่งพิงเก้าอี้อย่างผ่อนคลายถึงถอนหายใจออกมายาวๆ ได้
“ตอนนี้ถึงค่อยรู้สึก…”
ค่อยยังชั่วหน่อย
แคลอฮันปล่อยให้สายลมพัดเส้นผมของเขาจนยุ่งเหยิง
หลังจากที่นาตาเลีย ลอมบาร์เดียผู้เป็นมารดาจากไป คฤหาสน์ก็เป็นเหมือนเรือนจำสำหรับเขา
ท่านพ่อมักจะทอดสายตามองใบหน้าที่เหมือนท่านแม่เป็นพิเศษ มอบความคาดหวังที่เขาไม่ต้องการให้โดยไม่ถามไถ่แล้วก็ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนท่านพี่เบเจอร์ก็บังคับให้เขาปิดปากให้สนิทกว่าเดิมแม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตเงียบๆ ราวกับคนไม่มีตัวตนอยู่แล้ว
แคลอฮันเฝ้าดูตนเองค่อยๆ ถูกผลักไสออกจากบ้านที่เติบโตขึ้นมาอย่างเฉยเมย
“ถึงแล้วขอรับ ท่านแคลอฮัน”
“เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องมื้อเย็นเอง เจ้ากลับไปพักเถอะ”
ตรงนี้เป็นตรอกที่อยู่ใกล้จัตุรัสลอมบาร์เดียซึ่งไม่ค่อยมีคนสัญจรผ่าน
แคลอฮันขยี้หัวให้ยุ่งกว่าเดิม แล้วเดินออกจากที่ตรงนั้นอย่างคุ้นเคย
ความโกรธทำให้เขาหนีออกมาจากคฤหาสน์ แต่พอเอาเข้าจริง เขากลับไม่มีจุดหมายปลายทางใด
ไม่นานนัก แคลอฮันที่เดินทอดน่องเดินเล่นแถวริมแม่น้ำก็เหยียบเข้ามาในจัตุรัส
เขาอยากซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เอะอะเสียงดัง
แคลอฮันนั่งหมิ่นๆ ลงข้างน้ำพุ โดยที่ไม่ได้สัมผัสถึงสายตาขวยเขินมากมายที่มองตามตนเองมา
หลังจากหยิบอุปกรณ์วาดภาพออกมาอย่างเคยชิน เขาก็เริ่มขยับมือวาดภาพอย่างไม่ได้คิดอะไร
พอได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีชีวิตชีวา ก็ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขาจะดีขึ้นเล็กน้อย
ไม่แน่ว่าหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เมื่อพระอาทิตย์ลอยสูง เขาอาจจะมองดูเด็กน้อยที่มาวิ่งเล่นกันอยู่รอบๆ แล้วหลุดยิ้มออกมาก็ได้
แต่จู่ๆ เขาก็ต้องหันหน้าไป
เขาจำเหตุผลไม่ได้แล้ว
รู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงดังมาจากทางนั้น แล้วก็ยังรู้สึกเหมือนจะมีลมพัดมาด้วย
แต่นับตั้งแต่วินาทีที่เขาได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
“อ่า”
แคลอฮันจ้องมองหญิงสาวผมแดงอย่างเหม่อลอย
ไม่สามารถละสายตาไปได้เลย
พอรู้ตัวอีกที เขาก็กำลังกอดนางที่เกือบจะหกล้มไว้อ้อมแขน
แคลอฮันมองเข้าไปในดวงตาสีเขียวที่คล้ายคลึงกับตนเองแต่ขณะเดียวกันก็ลึกล้ำกว่ามาก ก่อนจะได้สติขึ้นมาด้วยความตกใจสุดขีด
“ขอโทษที่…เสียมารยาทครับ”
เขารีบกล่าวขอโทษ มือที่ช่วยจับให้ชาห์นยืนตรงๆ ก็ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง
“เป็นเพราะท่านต่างหากข้าถึงไม่ล้ม! ข้าเสียอีกที่ต้องขอบคุณนะคะ!”
ภาพที่ชาห์นพูดเช่นนั้นพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส ทำให้แคลอฮันรู้สึกอยากสวาปามน้ำในลานน้ำพุเข้าไปเสียดื้อๆ
“ถ้างั้นข้าขอตัวนะครับ…”
เขาค้อมศีรษะลงแล้วกล่าวลา จากนั้นทำท่าจะจากไป
ไม่มีแม้แต่เวลาจะซ่อนติ่งหูที่กลายเป็นสีแดง
หมับ
จนกระทั่งชายเสื้อถูกชาห์นคว้าเอาไว้
แคลอฮันพลันลมหายใจสะดุด หลุบตามองมือเล็กๆ ที่คว้าชายเสื้อตัวโคร่งเอาไว้
มันเป็นมือที่เขาสามารถสะบัดออกได้อย่างง่ายดาย แต่เขาก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงที่คล้ายกับแม่กุญแจถูกล็อกดังแกร็กขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง
อีกด้านหนึ่ง ชาห์นก็กำลังทำตัวไม่ถูกตามแบบฉบับชาห์นอยู่
‘นี่ข้าจับชายเสื้อเขาไว้ทำไมกัน?’
ด้วยคิดว่าจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ นางก็เลยเผลอก่อเรื่องไปในที่สุด
“ระ รูปวาด!”
ชาห์นพูดด้วยเสียงกึ่งตะโกน
“ข้าขอดูรูปวาดหน่อยได้ไหมคะ!”
“รูปวาดของข้า…น่ะเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ อยากดูมากเลยค่ะ!”
หมดกัน
คงจะคิดว่าข้าเป็นคนประหลาดไปแล้วสินะ
ชาห์นคิดเช่นนั้น แต่ขณะเดียวกันก็กระตุกชายเสื้อที่จับไว้อย่างแน่นหนาอีกรอบหนึ่ง
“สักครั้งหนึ่งนะคะ!”
“…นี่ครับ”
แคลอฮันลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นกระดานวาดภาพออกไป
“ว้าว!”
ชาห์นเบิกตากว้างและอุทานออกมาโดยไม่รู้
“วาดรูปสวยมากจริงๆ ค่ะ!”
มันไม่ใช่คำชมที่พูดขึ้นมาเพื่อป้อยอ
นางไม่สามารถละสายตาไปจากภาพทิวทัศน์ของจัตุรัสที่ถูกวาดไว้อย่างมีชีวิตชีวาบนกระดาษแผ่นหนึ่งได้เลย
“วาดแบบนี้ออกมาได้ยังไงกันคะเนี่ย?”
“มันก็เป็นแค่พรสวรรค์ที่ไม่ได้พิเศษอะไร…เท่านั้นเองครับ”
“ไม่ใช่นะคะ! รูปวาดสวยมากเลย ที่สำคัญ อืมม คนในรูปก็ดูมีความสุขด้วยค่ะ เป็นรูปวาดที่มีเสน่ห์มากเลยนะคะ”
คำพูดที่ชาห์นกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ใบหน้าของแคลอฮันแข็งทื่อไปชั่วขณะ
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนชื่นชมรูปที่เขาวาดแบบนี้
สำหรับบุตรชายคนที่สามของตระกูลลอมบาร์เดีย มันก็เป็นเพียงพรสวรรค์ที่ไร้ประโยชน์ แต่ขณะเดียวกันก็ธรรมดาเกินกว่าจะเข้าสู่เส้นทางจิตรกร
“คนที่วาดรูปได้อย่างข้ามีอยู่เยอะแยะเลยครับ มันไม่ใช่พรสวรรค์ที่ดีพอจะให้คนอื่นดูหรอกครับ”
แคลอฮันพึมพำอย่างรวดเร็ว พลางหยิบรูปวาดกลับมาราวกับต้องการแอบซ่อน
ชาห์นโคลงศีรษะเมื่อเห็นภาพนั้น
ดูเหมือนนั่นจะไม่ใช่คำพูดที่เขาพูดเพราะรู้สึกเขินหรือกระดากใจ
สายตาที่มองไปทางอื่นเรื่อยๆ และศีรษะที่ก้มต่ำอยู่ตลอดกำลังบอกแบบนั้น
มีอะไรบางอย่างแปลกๆ
ชาห์นเพิ่งจะได้พบสามีในอนาคตได้ไม่กี่นาทีก็ชนเข้ากับอุปสรรคแรกเสียแล้ว
นางรู้อนาคตในวันข้างหน้าของแคลอฮันเป็นอย่างดี
แต่ก็ยังมีสิ่งที่มองข้ามไป
นั่นคือนางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอดีตของแคลอฮันเลย
ชาห์นอยากกลับไปต่อยตนเองในอดีตที่เคยคิดว่า ‘เดี๋ยวพอได้เจอกันทุกอย่างก็คงเป็นไปตามโชคชะตาเองแหละเนอะ’ สักทีเสียจริง
ส่วนคนพวกนั้นที่ทำให้แคลอฮันห่อเหี่ยวหมดกำลังใจ แม้ชาห์นจะไม่รู้ว่าคือใคร แต่พวกมันต้องโดนต่อยสักร้อยทีถึงจะสาสม
‘ตั้งสติกันก่อนเถอะ’
จะปล่อยให้ที่ตรงนี้เหลือทิ้งไว้แต่ความทรงจำที่คลุมเครือและน่าอับอายของกันและกันไม่ได้
ขณะที่ชาห์นคิดเช่นนั้นพลางไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าควรจะทำอย่างไรดีอยู่นั่นเอง
“แต่ถึงยังไงก็…ขอบคุณสำหรับคำพูดดีๆ นะครับ”
อ่า ข้าจะทำยังไงกับพ่อหนุ่มที่แสนอ่อนโยนคนนี้ดีนะ?
หัวใจพลันเจ็บแปลบขึ้นมาจนรู้สึกได้ ชาห์นคว้าเสื้อของแคลอฮันที่กำลังหมุนตัวกลับไปอีกรอบหนึ่ง
จากนั้นก็ถามด้วยใบหน้าที่พยายามทำให้ดูสงสารที่สุด
“คือว่าข้าไม่มีเพื่อนค่ะ”
“ครับ…?”
“เพราะงั้น ช่วยเป็นเพื่อนกับข้าหน่อยได้ไหมคะ?”
***
วันต่อมา
บนถนนที่มีผู้คนสัญจรไปมาวุ่นวาย แคลอฮันแหงนหน้ามองท้องฟ้าพลางถอนหายใจออกมา
ห่างออกไปไม่กี่ก้าวตรงนั้น มีอาคารที่แขวนป้าย ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ที่ชาห์นพูดถึงอยู่
“ไม่รู้สึกว่าพวกเราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้เหรอคะ คิดว่ายังไงคะ?”
ชาห์น หญิงสาวที่เขาเพิ่งได้เจอกันเมื่อวานเป็นครั้งแรก กล่าวออกมาเช่นนั้นอย่างรีบเร่งและบอกกับเขาว่าวันนี้เป็นวันหยุดของตนเอง
พร้อมกับนัดให้เขามาพบกันที่ร้าน ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ในช่วงมื้อเที่ยง
ตอนที่หลับไปเมื่อคืน แคลอฮันยังตั้งใจว่าจะไม่ตอบรับคำชวนนั้น
เพราะเขากลัว
เพียงแค่ได้เจอกันชั่วครู่เดียว นางก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนทั้งสายตาและสติถูกกระชากออกไปจนหมด หากอยู่ด้วยกันมากกว่านี้ ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จอมขี้ขลาดในตัวแคลอฮันกำลังบอกให้เขาวิ่งหนีไป
ดังนั้นเขาก็เลยกะว่าพรุ่งนี้จะขังตัวเองอ่านหนังสือในห้องหนังสือของคฤหาสน์ทั้งวัน
แต่พอตั้งสติได้อีกที ก็พบว่าตนเองมาถึงสถานที่นัดหมายไปเสียแล้ว
“อืมม”
แคลอฮันที่ยืนกลุ้มใจโดยที่ซุกใบหน้าเข้ากับฝ่ามือใหญ่ตัดสินใจเดินไปที่ ‘คลื่นน้ำสีคราม’ ในที่สุด
เดินไปด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดถึงที่สุด ราวกับได้ตัดสินใจครั้งใหญ่
“ยินดีต้อนรับค่ะ! นั่งตรงไหนก็ได้ตามสบายเลยนะคะ!”
สตรีวัยกลางคนที่ดูเหมือนเป็นเจ้าของร้านกล่าวต้อนรับ
แคลอฮันยืนอยู่ตรงนั้นแล้วกวาดสายตามองภายในร้านที่เต็มไปด้วยคนมากมายอย่างช้าๆ
จากนั้นไม่นานนัก นัยน์ตาสีเขียวก็พลันหม่นหมอง
‘ไม่อยู่’
เขาไม่เห็นชาห์น
‘ก็นั่นสินะ’
มันล้มเหลวเร็วเสียจนการรวบรวมความกล้ามาที่นี่เป็นเรื่องน่าขายหน้า
ทั้งที่ไม่รู้ว่ากำลังคาดหวังอะไร แต่ไหล่กว้างของแคลอฮันก็ยังตกลงด้านล่างอย่างไร้เรี่ยวแรง
ตอนนั้นเอง
เขาหมุนตัวกลับไปเพราะสัมผัสมือเบาๆ ด้านหลัง ชาห์นกำลังยิ้มอยู่ตรงนั้น
“รอนานไหมคะ?”
นางยังกล่าวต่อว่า ‘ข้ามาช้าไปหรือเปล่านะ?’ แต่แคลอฮันไม่ได้ยิน และได้แต่คิดอย่างเหม่อลอย
บางทีที่ผ่านมาข้าอาจจะรอผู้หญิงคนนี้มาโดยตลอดก็ได้