เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล [นิยายแปล] - SPIN-OFF บทที่ 8
SPIN-OFF บทที่ 8
เปลี่ยนเป็นตรงกันข้ามกับเมื่อครู่ในรถม้าลิบลับ
ข้าทำตัวไม่ถูก แต่เฟเรสกลับกำลังยิ้มกว้างอย่างสบายใจ ท่าทางราวกับชอบใจสถานการณ์ตอนนี้ยิ่งนัก
ชั่วขณะนั้นข้ารู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา จึงหันหลังกลับไปกวาดตามองในห้องอีกครั้ง
แต่เตียงนอนที่ไม่เคยมี จู่ๆ จะโผล่มาได้ยังไงกันเล่า
ข้าอยู่ไม่ได้แล้ว ไวโอเล็ต!
คนที่รับผิดชอบดูแลเส้นทางการเดินทางและที่พักของการเดินทางรอบนี้ทั้งหมดคือไวโอเล็ต
‘ถึงจะปลอมตัวเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานก็เถอะ!’
เตียงเดียวเนี่ยนะ!
ถึงตอนเด็กข้าจะเคยนอนเตียงเดียวกับเฟเรสก็จริง
แต่ตอนนี้มันเป็นคนละสถานการณ์กันนะ
“…นั่นสินะ จะความผิดใครล่ะ”
ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง
ข้าเป็นคนพูดเองกับปากว่า ‘เอาเป็นคู่รักที่เพิ่งแต่งงานก็แล้วกัน’ เมื่อไวโอเล็ตเอ่ยถามว่า ‘บัตรประจำตัวปลอมเอายังไงดีคะ’
งั้นก็ควรคิดให้ได้ด้วยสิว่าที่พักก็คงจะถูกเตรียมไว้แบบคู่รักที่เพิ่งแต่งงานเหมือนกันน่ะ
ขณะที่ข้ากำลังถอนหายใจอยู่เช่นนั้นเอง
“เข้าไปกันไหม”
เฟเรสถือกระเป๋าของข้าและของเขาเองข้างละใบอย่างสบายๆ ก้าวเดินเข้าห้องไปก่อนอย่างสดชื่น
เป็นท่าทางที่ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“…เกลียดที่สุด”
ข้าเดินตามเขาเข้าไปอย่างไม่มีทางเลือกขณะเอ่ยพึมพำไล่หลัง
ถึงแม้ห้องอันกว้างขวางจะไม่ได้หรูหราและงดงามจนสะดุดตา แต่ก็ถือว่าปลอดโปร่งและน่าพึงพอใจทีเดียว
ข้าผงกศีรษะสั้นๆ และพยายามไม่มองไปทางเตียงนอนให้ได้มากที่สุด
ว่าแต่ ท่าทางมีเลศนัยเมื่อครู่ก่อนไปไหนแล้วล่ะ ข้ามองเห็นเฟเรสขมวดคิ้วอยู่
“เป็นอะไรไป?”
“ที่พัก…พอใช้ได้ไหมเทีย?”
“กังวลว่าข้าจะไม่ถูกใจที่พักก็เลยเป็นแบบนี้เหรอ?”
“ก็ที่นี่เป็นสถานที่ที่ส่วนใหญ่พวกชาวเมืองมาใช้กันนี่”
“ฐานะปลอมของพวกเราก็คือคู่สามีภรรยาธรรมดาๆ ที่เดินทางไปฮันนีมูนทางตะวันออกนี่นา ช่วยไม่ได้นะ”
ข้าใช้นิ้วกดหว่างคิ้วของเฟเรสที่ขมวดเป็นปมพลางกล่าว
“คิดว่าข้าเป็นคนเรื่องมากขนาดนั้นเลยหรือไง?”
ทันใดนั้น เฟเรสก็กุมมือข้าอย่างทะนุถนอม ก่อนเอ่ยตอบว่า
“แต่ว่า เทียน่าจะได้นอนในที่แบบนี้ครั้งแรกเลยนี่นา”
ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าเฟเรสกังวลเรื่องอะไร
เพราะตัวข้าที่เฟเรสรู้จักไม่เคยออกห่างจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดียเลยน่ะสิ
อย่างมากที่สุด ก็คงคิดว่าข้ามีประสบการณ์แค่เมื่อครั้งที่ไปภาคเหนือตอนเรื่องของไอบันเท่านั้นสินะ
“ไม่เป็นไรหรอก อีกอย่างเท่านี้ก็ดีมากแล้ว”
เทียบกับบ้านเก่าๆ ที่ข้าเช่าอยู่เมื่อชีวิตก่อน ห้องนี้แทบไม่ต่างไปจากตำหนักในวังจริงๆ
“เจ้าล่ะเฟเรส ไม่เป็นไรนะ?”
เห็นอย่างนี้ ถึงยังไงหมอนี่ก็เป็นจักรพรรดินะ
“ข้าน่ะ สมัยที่เดินทางไปท่องเที่ยวตอนยังเรียนอคาเดมี่ก็เคยได้นอนกลางแจ้งไม่น้อย”
เฟเรสกล่าวเช่นนั้น พลางช่วยเสยผมที่ปรกหน้าเล็กน้อยของข้า
พอจบบทสนทนา บรรยากาศก็แปลกไปในพริบตา
มือที่ถูกเฟเรสจับอยู่พลันรู้สึกร้อนเป็นพิเศษ เสียงเสยผมทำให้ข้ารู้สึกหายใจลำบาก
ข้ารีบดึงมือที่ถูกจับออก แล้วหันหลังกลับ
“กะ ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า พวกเราไปสำรวจรอบๆ กันเถอะ!”
ด้านหลังข้าที่เปิดประตูอย่างรีบเร่งและวิ่งออกมาได้ครึ่งทาง เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ พลันดังขึ้นก่อนที่เฟเรสจะเดินตามออกมาทันที
“ไปด้วยกันสิ”
เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความขบขันจนไม่จำเป็นต้องมองก็รู้ว่าเขามีสีหน้ายังไง
***
ชื่อของเมืองที่พวกเราค้างแรมกันในคืนนี้คือ แม็กนอส
สำหรับแม็กนอสที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของเขตแดนลอมบาร์เดีย ข้ากล้าพูดว่าข้ารู้เรื่องหลายอย่างเกี่ยวกับที่นี่เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากร เนื้อที่ ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อ ไปจนถึงงบประมาณภาษี
“ว้าว ถนนที่นี่ปูได้สวยงามจริงๆ!”
แต่พอได้มาเหยียบพื้นดินกับเท้าตนเอง แม็กนอสเป็นเมืองที่งดงามและคึกคักมากยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก
“ถึงตะวันจะลับฟ้าไปแล้วแต่ตลาดก็ยังเปิดอยู่ อืม ก็นะ ในรายงานบอกไว้ว่าเป็นเมืองที่มีความปลอดภัยดีทีเดียว”
การได้มายืนยันข้อมูลที่อยู่ในสมองด้วยตาทีละเรื่องแบบนี้ก็สนุกมาก
ด้านข้างข้าที่กำลังกวาดตามองตลาดรอบที่พักอย่างตื่นเต้นอยู่นั้น เฟเรสเอามือไพล่หลังเดินปรับจังหวะให้ก้าวพร้อมกันอยู่เงียบๆ
“ถึงจะเป็นการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นจากอะไรหลายอย่างก็เถอะ แต่ดีมากเลยนะ”
เมื่อมาถึงท้ายตลาด ข้าก็มองย้อนกลับไปบนถนนเส้นที่เดินผ่านมาแล้วกล่าวว่า
“พอได้มาเห็นชาวเมืองในเขตแดนของข้าด้วยสองตาตนเองแบบนี้ ก็ทำให้รู้สึกว่าต้องพยายามให้มากขึ้นด้วย”
ชาววเมืองที่ใช้ชีวิตอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ในเมืองที่เจริญรุ่งเรือง
พวกเขาคือคนที่ข้าต้องปกป้อง
“คิดดูอีกที นี่ถือเป็นการท่องเที่ยวครั้งแรกใช่ไหมนะ? เพราะตอนที่ไปไอบัน ก็เดินทางอย่างเร่งรีบจนไม่มีเวลาแวะดูที่ไหนเลย”
ข้ายิ้มให้เฟเรส แล้วเอ่ยคำขอบคุณที่ช้าไปสักหน่อย
“ขอบคุณที่รับฟังคำขอร้องของข้า ขอบคุณที่มาด้วยกันนะ”
“เทีย” เฟเรสสำรวจรอบข้าง ก่อนเรียกชื่อข้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบากว่าปกติมาก
จากนั้นเอื้อมมือออกมาลูบศีรษะของข้าช้าๆ พลางกล่าว
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม”
ข้าไม่เกลียดสัมผัสมือที่เต็มไปด้วยความรักใคร่หรอกนะ
“ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม หากมีสิ่งที่ข้าสามารถทำให้เจ้าได้ นั่นคือความยินดีของข้า”
“…อยู่ไม่ได้แล้ว”
มองหน้ากันตรงๆ ตอนพูดอะไรแบบนั้นได้ยังไง
เจ้าคนไม่รู้จักอาย
ทันทีที่ข้าเบนสายตาออกไปเล็กน้อย เฟเรสก็หัวเราะเสียงทุ้ม
“จัตุรัสของแม็กนอสงดงามมาก ข้าพาไปเอง”
“เจ้าเคยมาที่นี่ด้วยเหรอ?”
“ก็ข้าเคยไปเที่ยวทางใต้บ่อยๆ นี่”
เฟเรสยื่นมือข้างหนึ่งมาให้ข้า
ข้าจับมือข้างนั้นไว้อย่างไม่ลังเล
พวกเรามาถึงจัตุรัสขณะที่สูดอากาศยามเย็นที่ค่อยๆ เย็นสบายขึ้นหลังจากตะวันลาลับขอบฟ้า
“ว้าว จริงด้วย จัตุรัสงดงามมาก!”
จัตุรัสสะอาดตาที่เรียงรายไปด้วยก้อนอิฐสีน้ำตาลแดงที่รักษาร่องรอยแห่งวันเวลาไว้อย่างงดงามใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดง ทำให้ข้าเผลออุทานออกมาโดยอัตโนมัติ
โดยเฉพาะรูปหล่อทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางนั้น ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ
ชายหนุ่มหน้าตาดีที่มีอายุราว 30 กลางๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้ ใต้รูปหล่อทองสัมฤทธิ์ที่ดูราวกับหยุดเวลาแล้วคงรักษาไว้ด้วยท่าทางนั้นมีชื่ออันคุ้นเคยเขียนอยู่
รูลลัก ลอมบาร์เดีย
“พอเห็นแบบนี้ ดวงตาของข้าคล้ายกับท่านปู่จริงๆ นะ ว่าไหม?”
รูปลักษณ์ของท่านปู่ตอนวัยรุ่นนั้น แม้แต่ข้าก็ได้แต่ประหลาดใจ
เฟเรสที่มีสีหน้าประหลาดใจไม่แพ้ข้าค่อยๆ พยักหน้าตอบเมื่อได้ยินดังนั้น
ตอนนั้นเอง
“อ๊ะอ๊ะ!”
ข้ามองเห็นเด็กน้อยที่ดูอายุราวๆ สี่ห้าขวบที่วิ่งตึกตักผ่านด้านข้างพวกเราไป พลันสะดุดอะไรบางอย่างและกำลังจะล้มลง
ขณะที่ข้าโน้มตัวลงไปทางนั้นเพราะรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ ก็มีมือที่โผล่มาจากไหนไม่รู้คว้าร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยไปอย่างมั่นคง
เป็นเฟเรสที่สนทนาอยู่กับข้าจนถึงเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง
“ฮึก…”
อาจเพราะเด็กน้อยขวัญเสียที่เกือบจะหกล้ม จึงน้ำตาคลอราวกับจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น
“ระวังหน่อยสิ”
จนกระทั่งเฟเรสกล่าวแล้วตบหลังเล็กๆ นั่นเพื่อปลอบโยน
ดวงตาทั้งสองข้างของเด็กน้อยที่แหงนมองใบหน้าของผู้ใหญ่ที่ช่วยตนไว้พลันเบิกกว้าง ก่อนเป็นประกายราวกับได้เห็นของที่น่าสนใจ
“หนูน้อย เป็นอะไรไหมจ๊ะ?”
ทันทีที่ข้าเข้าไปคุยด้วย คราวนี้ก็เป็นแก้มทั้งสองข้างที่แต่งแต้มสีชมพูขณะแหงนมองหน้าข้า
“ให้ตาย ไอ้หนูเอ้ย! วันนี้แรงเยอะจริงนะ”
“คุณย่า!”
“ทีมี วิ่งไปคนเดียวแบบนั้นไม่ได้! เกือบจะบาดเจ็บแล้วไหมล่ะ”
คุณย่าของเด็กน้อยเดินเข้ามากล่าวกับพวกเรายิ้มๆ
“ขอบใจนะจ๊ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ จัตุรัสสวยก็จริงอยู่ แต่ดูเหมือนบริเวณพื้นจะมีจุดที่แตกหัก จำเป็นต้องซ่อมแซมแล้วละค่ะ ทีมีอาจจะสะดุดหินตรงนั้น”
“ตายจริง เกือบเป็นเรื่องแล้วสิ”
เดี๋ยวตอนกลับถึงคฤหาสน์ คงต้องออกคำสั่งให้มาซ่อมแซมจัตุรัสนี้แล้วละ
ขณะที่คิดเช่นนั้นพลางกวาดตามองไปรอบจัตุรัสด้วยสายตาที่ต่างจากเมื่อครู่ก่อนเพื่อดูว่ามีปัญหาอื่นอีกหรือไม่นั่นเอง
“ถึงจะเก่าไปสักหน่อย แต่ก็เป็นความภาคภูมิใจของพวกเราชาวแม็กนอส งดงามมากใช่ไหมจ๊ะ?”
“ใช่ค่ะ ข้าก็คุยกับสามี…เรื่องนั้นอยู่พอดี รูปหล่อทองสัมฤทธิ์ตรงนั้นก็เท่มากเลยค่ะ”
ใช่แล้ว ข้าก็แค่ซื่อสัตย์กับฐานะปลอมตัวเท่านั้นเอง
ข้าเอ่ยคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยอย่างอ้อมแอ้ม แล้วปลอบความเขินอายลงไป
“ท่านรูลลัก เจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนก่อนน่ะ ที่เมืองแม็กนอสซึ่งสมัยที่ข้ายังเด็กเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ กลายมาเป็นเมืองใหญ่เช่นนี้ได้ล้วนเป็นเพราะท่านผู้นั้นทั้งสิ้น”
คุณย่าของทีมีกล่าวด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมใจ
“ท่านรูลลักเคยมาที่นี่ตอนที่ข้าอายุเท่ากับหนูด้วยนะ หล่อมากเสียจนหัวใจของหญิงสาวทุกคนปั่นป่วนไปหมด”
“ฮ่าฮ่า อย่างนั้นเหรอคะ”
“ไม่ได้ล้อเล่นนะ เป็นหนุ่มรูปงามที่มีรัศมีเปล่งประกายจริงๆ!”
ราวกับย้อนกลับไปเป็นตนเองในช่วงนั้น คุณย่ายิ้มไม่ต่างกับเด็กสาวผู้หนึ่ง
“ที่ข้าสามารถกินอิ่มนอนหลับโดยไม่ต้องกังวลสิ่งใด ทั้งหมดก็เป็นเพราะท่านรูลลักปกครองเขตแดนได้เป็นอย่างดี ได้ยินมาว่าเจ้าตระกูลคนใหม่ที่เป็นหลานสาวก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน ทั้งสองคนรู้จักคนผู้นั้นบ้างไหม?”
“อ่า…ฮ่าฮ่า”
ขณะที่ข้ากำลังขัดเขินและลังเลที่ต้องชมตนเองด้วยปากของตัวเองอยู่นั้น
“เจ้าตระกูลคนใหม่ของลอมบาร์เดียเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากครับ เป็นคนที่เห็นเขตแดนและผู้คนของลอมบาร์เดียสำคัญยิ่ง”
เฟเรสยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยตอบแทน
ท่าทางและน้ำเสียงนุ่มนวล จนยากจะเชื่อว่านี่คือคนที่มักมีท่าทีเย็นชาและแข็งกร้าวในยามที่ต้องรับมือกับเหล่าขุนนางคนนั้น
“โอ้ งั้นก็ค่อยยังชั่วนะ ทีมีของข้าคงได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องกังวลแล้ว จะว่าไปไม่นานมานี้หลานคนโตของข้าไปที่ลอมบาร์เดียมา เหมือนจะได้เห็นท่านเจ้าตระกูลคนใหม่ที่กำลังลงจากรถม้าจากที่ไกลๆ โดยบังเอิญด้วย”
ชะงัก…ไหล่ข้าพลันสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าหนูนั่นเอ่ยชมจนปากแห้ง บอกว่าผมสีน้ำตาลยาวนั่นราวกับผ้าไหม โดยเฉพาะดวงตาสีเขียวที่สดใสนั่นยังถึงกับโผล่มาในความฝันเลยนะ ข้าก็กลัวว่าใครจะสงสัยได้ว่านั่นคือหลานข้า ต่อให้เจ้านั่นโผล่แค่หน้าก็…หืม?”
หญิงชราที่กำลังเดาะลิ้นเล่าเรื่องหลานคนโตให้ฟัง เพ่งมองหน้าข้าอย่างโจ้งแจ้ง ก่อนจะหยุดพูดไป
“จะว่าไป คุณหนูก็มีผมสีน้ำตาลกับนัยน์ตาสีเขียวด้วยนี่ ว่าแต่พวกเรารู้จักกันไหมนะ?”
“คะ? มะ ไม่นะคะ ข้าเพิ่งมาแม็กนอสเป็นครั้งแรกค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ? แต่ทำไมถึงได้หน้าตาคุ้นอย่างนี้ล่ะ?”
จะอะไรล่ะ
เป็นเพราะข้าหน้าตาเหมือนท่านปู่ยังไงล่ะ
รูปหล่อทองสัมฤทธิ์ที่เห็นมานับสิบปี ก็ต้องคุ้นหน้าข้าอยู่แล้วสิ!
ข้าหันหน้าไปด้านข้าง แล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน
“ขะ ข้าหน้าโหลน่ะค่ะ!”
“โหลตรงไหน! คุณหนูผู้งดงามที่มองจากไกลๆ ก็ยังสะดุดตาถึงเพียงนี้จะหน้าโหลได้ยังไง อยู่เฉยๆ ก่อนนะ เคยเห็นที่ไหนกันนะ…”
“ลาริต้า พวกเรากลับที่พักกันเลยไหม?”
เฟเรสกล่าวพลางแทรกตัวเข้ามาบังระหว่างข้ากับคุณย่าเล็กน้อย
“อ่า เอาสิ! ดีเลย!”
ต้องหนีสิ!
“ถ้างั้นพวกข้าขอตัวก่อนนะคะ ลาก่อนนะทีมี ยินดีที่ได้พบ ช่วงนี้ก็ระวังพื้นด้วยละ!”
ข้ารีบกล่าวลาทีมีที่ยังคงแหงนหน้ามองมาด้วยดวงตาเป็นประกายและคุณย่าที่เอียงศีรษะด้วยความสงสัย แล้วหันหลังกลับ
“เกือบเป็นเรื่องใหญ่แล้ว”
ถึงจะไม่น่าคิดได้ว่าคุณหนูที่ออกมาเที่ยวเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็เถอะ
แต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังนี่นะ
หลังจากรีบเร่งกลับมาถึงที่พัก ข้าก็เปิดกระเป๋าแล้วหยิบของที่ไวโอเล็ตเตรียมไว้ให้ออกมา
มันคือยาย้อมสีผมที่บรรจุอยู่ในขวดหนักๆ สองขวด
ทั้งที่หยิบใส่มาให้แล้วบอกว่าให้เอามาเผื่อไว้เฉยๆ แท้ๆ
สมแล้วที่เป็นไวโอเล็ต
ข้าส่งยาย้อมสีผมขวดหนึ่งที่ถืออยู่ในมือให้เฟเรส
“พวกเราสองคนย้อมสีผมเผื่อไว้หน่อยดีกว่า”
***
“ไม่ได้ผมดำนานแล้ว รู้สึกแปลกจังแฮะ”
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เส้นผมของข้าในกระจกก็เปลี่ยนเป็นสีดำ
ทั้งที่ช่วงหนึ่งเคยมีผมสีดำเป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆ
ดูเหมือนข้าจะเคยชินกับผมหยักศกสีน้ำตาลในตอนนี้ไปเสียแล้ว
ข้าเช็ดผมที่เปียกชื้นแล้วหวีอย่างตั้งใจ
“พอผมกลายเป็นสีดำ ก็ดูเหมือนตาสีเขียวจะไม่ค่อยเด่นเท่าไรแล้วด้วย”
ตอนนั้นเอง เสียงปิดประตูพลันดังขึ้นด้านนอกห้องน้ำ
เป็นเสียงการกลับมาของเฟเรสที่ออกไปย้อมผมในห้องน้ำสาธารณะ
‘อยากเห็นไวๆ จัง!’
ถึงอันที่จริงจะเป็นการตัดสินใจทำเพื่อปลอมตัวก็เถอะ แต่ข้าก็อยากเห็นรูปลักษณ์แบบอื่นๆ ของเฟเรสด้วยนะ
ข้ารีบสวมเสื้อผ้า ผลักประตูห้องน้ำแล้วเดินออกไป
และ ณ ที่แห่งนั้น
“เทีย”
เฟเรสที่ย้อมผมเป็นสีทองกำลังจ้องมาที่ข้าด้วยสีหน้าราวกับทีมีเมื่อครู่ก่อน