เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 145 ขึ้นอยู่กับฟ้าฝน
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 145 ขึ้นอยู่กับฟ้าฝน
ครั้นถูกภรรยาของตนเองลูบไล้แบบนี้ จ้าวเหวินเทาที่ข่มอารมณ์มานานก็แอบทนไม่ไหว เขามองภรรยาพลางกล่าวว่า “ภรรยาจ๋า คุณอย่าลูบสิ ถ้าลูบต่อสามีของคุณจะระเบิดแล้วนะ”
เย่ฉูฉู่ด่าเคล้ารอยยิ้ม “ไม่จริงจังเอาซะเลยนะคุณเนี่ย”
“ภรรยา ผมจริงจังมาก จุ๊บกันดีไหม?” จ้าวเหวินเทาเอ่ยถาม
เย่ฉูฉู่ไม่ได้มีเหตุผลที่จะคัดค้าน สองสามีภรรยาจึงจูบกัน ผ่านไปครู่หนึ่งจ้าวเหวินเทาก็ผละออกจากภรรยาของเขาอย่างอาลัยอาวรณ์
“ต้องการเหรอ?” เย่ฉูฉู่มองสายตาคู่นั้นของเขา จึงเอ่ยถามออกมา
จ้าวเหวินเทาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เหลือบมองภรรยาตนเอง เขาก็ต้องการอยู่แล้ว จะไม่ต้องการได้อย่างไรกัน? เขาอยากแนบชิดกับภรรยาของเขามาก ๆ เลย
“ได้แล้วล่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวเสียงทุ้มต่ำ
จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความประหลาดใจ “ภรรยา คุณพูดจริงเหรอ?”
“เบา ๆ หน่อยแล้วกันค่ะ อย่ากดทับฉันก็พอ” เย่ฉูฉู่หัวเราะเบา ๆ
จ้าวเหวินเทาจะลังเลต่อไปได้อย่างไร เขาโอบภรรยาและเริ่มบรรจงจูบเธอทันที
สองสามีภรรยากำลังพลอดรักกันอยู่
ในเวลานี้พี่สะใภ้รองจ้าวก็เก็บถ้วยและตะเกียบเสร็จแล้ว หลังจากล้างมือจึงเดินเข้าไปกินยาในห้อง
พี่รองจ้าวถามด้วยความเป็นห่วง “คุณเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่คนมีราคาอะไร โดนตีสักหน่อยก็หายแล้ว!” พี่สะใภ้รองจ้าวดื่มน้ำสองสามอึก เพื่อขจัดกลิ่นยาที่อยู่ในปากให้หายไป
พี่รองจ้าวได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกระคายหูนัก กล่าวว่า “คุณพูดอะไรของคุณเนี่ย ทำอย่างกับผมไม่สนใจคุณอย่างนั้นแหละ ยังจะบอกว่าไม่มีราคาอีก แล้วคุณจะให้ทำยังไงถึงจะมีราคา?”
“ตอนนี้ฉันป่วยอยู่ คุณอย่ามาทำให้ฉันโมโห” พี่สะใภ้รองจ้าววางถ้วยบนตู้ ถอดรองเท้า แล้วขึ้นมาบนเตียง
พี่รองจ้าวไม่กล้าพูดอะไร ไม่ต้องพูดถึงอาการโมโหจนป่วยแล้วต้องจ่ายเงินค่ายาเลย งานที่อยู่ในนาใครจะทำล่ะ เรื่องนี้ทำให้งานในช่วงบ่ายต้องล่าช้า
ต้าหยา เถี่ยต้านและหลูต้านที่นอนอยู่บนเตียงเห็นท่าทางเช่นนี้ของแม่ แต่ละคนจึงแกล้งทำเป็นนอนหลับเป็นตาย
“ฉันจะเล่าอะไรให้คุณฟัง” พี่สะใภ้รองจ้าวถอดเสื้อคลุม จนเหลือแค่เสื้อกั๊กลายดอก แขนทั้งสองข้างของหล่อนถูกตีจนเขียวช้ำ
พี่รองจ้าวเห็นแล้ว ภายในใจก็แอบรู้สึกเจ็บปวด น้ำเสียงของเขาจึงอ่อนลง “เรื่องอะไร?”
“พวกเรามาสร้างบ้านเถอะ” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
พี่รองจ้าวที่กำลังเตรียมตัวขึ้นเตียงได้ยินคำพูดนี้ก็แทบล้มลงไป
“อะไรนะ? สร้างบ้าน?” พี่รองจ้าวมองหล่อนด้วยความประหลาดใจ ภรรยาคนนี้ของเขาไม่ใช่ว่าป่วยจนเป็นบ้าไปแล้วหรอกนะ?
“ใช่ สร้างบ้าน!” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างเด็ดเดี่ยว น้ำเสียงของหล่อนจริงจังอย่างไม่ต้องสงสัย
ลูก ๆ ทั้งสามคนลืมตาขึ้นพร้อมกัน จับจ้องไปที่พ่อแม่ของพวกเขา แต่เมื่อเห็นว่าสายตาของแม่กวาดมองมาจึงแกล้งหลับตาเป็นตายอีกครั้ง
“ไม่ใช่ อยู่ดี ๆ ทำไมถึงคิดอยากจะสร้างบ้านล่ะ?” พี่รองจ้าวโต้ตอบกลับมา เขาขึ้นเตียงถอดชุดเตรียมตัวเข้านอน ไม่ได้สนใจคำพูดนี้เลย
ในความคิดเขา ภรรยาของตนป่วยจนเป็นบ้าไปแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นบ้าไปแล้วเขายังจะฟังคำพูดที่ออกมาอีกเหรอ
“ฉันไปถามน้องสะใภ้หกมาแล้ว น้องสามีเล็กสร้างบ้านแบบค้างจ่าย บางคนก็ค่อยจ่ายหลังฤดูใบไม้ร่วง บางคนก็จ่ายปีหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ พวกเราก็ทำได้เหมือนกัน” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดจบก็เอนตัวนอน สายตาของหล่อนมองคานบ้านที่มืดมิดพลางกล่าวต่อไปว่า “ฉันพูดแบบไม่ปิดบังเลยนะ วันนี้ที่ฉันป่วยก็เป็นเพราะได้ยินว่าน้องสามีเล็กสร้างบ้านนี่แหละ ดังนั้นบ้านนี้ยังไงก็ต้องสร้าง และต้องสร้างในปีนี้ด้วย!”
พี่รองจ้าวเห็นว่าหล่อนเอาจริง จึงขมวดคิ้วทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นแขนที่เขียวช้ำเป็นจ้ำที่อยู่นอกร่มผ้าของภรรยา เขาก็พูดไม่ออก
ท้ายที่สุดจึงนอนห่มผ้าอย่างเงียบ ๆ
“ฉันรู้ว่าคุณกลัวว่าจะไม่มีเงิน แต่ฉันคำนวณดูแล้ว ฐานบ้านกับไม้พ่อก็เตรียมไว้ให้แล้ว ส่วนเงินค่าจ้างและวัสดุ วัสดุไม่ต้องใช้ของที่ดีเกินไปก็ได้ ขนหินกับอิฐกลับมานิดหน่อย เอามาทำเป็นฐานกับโครงบ้าน ส่วนอื่นก็ทำด้วยดิน ใช้เงินไม่มากหรอก” พี่สะใภ้รองจ้าวคำนวณไว้อย่างชัดเจนแล้ว จึงกล่าวออกมา
“ไม้แค่นั้นสร้างได้แค่สามห้องเท่านั้นแหละ ถ้าเจ้าหกคิดจะสร้างบ้าน อย่างน้อย ๆ ก็ต้องสามห้อง ถ้าพวกเรายังจะสร้างอีก ก็คงมีไม้ไม่พอแล้ว” พี่รองจ้าวคิดพลางกล่าว
“ไม่พอก็ซื้อสิ!” พี่สะใภ้รองจ้าวเดิมทีอยากจะพูดว่าเขาเป็นน้องชาย อย่างไรก็ต้องให้พวกเขาที่เป็นพี่ใหญ่ แต่เมื่อนึกถึงอิฐสีแดงสดนั้น หล่อนจึงกัดฟันพูดไปว่า “คนเรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็ต้องมีความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ พัฒนาตัวเองเพื่อดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ถ้ายังสู้ไม่ได้ โรคของฉันก็ไม่หายหรอก!”
ความหมายนั้นก็คือ ‘คุณดูเอาเองแล้วกันว่าจะทำอย่างไร’
พี่รองจ้าวรู้สึกหนักอึ้งกลางใจ ภรรยาคนนี้คิดจะสร้างบ้านอย่างแน่วแน่แล้ว!
วันรุ่งขึ้นพี่สะใภ้รองจ้าวก็เรียกให้พี่รองจ้าวไปจัดการเรื่องสร้างบ้าน ส่วนหล่อนพาสองต้านไปทำนา เรื่องงานบ้านให้เป็นหน้าที่ของต้าหยาทั้งหมด
ก่อนไปพี่สะใภ้รองจ้าวยังหยิบขนมปังไปอีกสองสามแผ่นด้วย
พี่รองจ้าวเห็นว่าเที่ยงนี้หล่อนคงจะไม่กลับมากินข้าวแล้ว เขาก็แอบถอนหายใจออกมาด้วยไม่รู้ว่าจะจัดการความเหนื่อยที่ไม่รู้ว่าดีหรือร้ายนี้อย่างไร? แต่เขานั้นรู้ดี ในเมื่อภรรยาของเขายืนหยัดที่จะสร้างบ้าน หากไม่สร้างคงได้เกิดความวุ่นวายแน่
เขาจึงทำได้เพียงไปปรึกษาพ่อกับแม่
คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวต่างก็อยู่ในที่นา ทั้งสองคนมีที่นาสิบหกหมู่ ปลูกข้าวฟ่างในที่นาติดแม่น้ำแปดหมู่ ปลูกข้าวโพดสี่หมู่และทานตะวันอีกสี่หมู่บนที่ดินบนเขา สองสามีภรรยาถอนวัชพืชเสร็จแล้ว ตอนนี้กำลังถอนหญ้าตรงที่ดินที่ปลูกข้าวโพดและดอกทานตะวันอยู่
เมื่อวานพวกเขาทั้งสองย่อมเห็นว่าเจ้าหกขนอิฐกลับมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรลูกชายคนเล็กจะได้เงินมาหรือไม่ พวกเขาก็ทราบดีจึงไม่มีอะไรต้องพูด
แต่พี่รองจ้าวกลับเดินมาหาพ่อกับแม่เพื่อคุยเรื่องสร้างบ้าน สิ่งนี้ทำให้คนชราทั้งสองประหลาดใจ
“อะไรนะ? แกก็จะสร้างบ้านเหมือนกันเหรอ?” คุณแม่จ้าวมองเขาพลางกล่าว
คุณพ่อจ้าวเองก็หันมองลูกชายคนโตเช่นกัน
เมื่อวานตอนที่ทราบว่าลูกชายคนเล็กจะสร้างบ้าน พวกเขาทั้งสองคนย่อมรู้สึกดีใจ เมื่อคืนยังดื่มไปสองจอกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้เช้าวันรุ่งขึ้นลูกชายคนโตก็วิ่งมาบอกว่าจะสร้างบ้านเหมือนกัน
หากพูดตามเหตุผลแล้วพวกเขาทั้งสองคนก็ควรจะดีใจ แต่เหตุใดถึงได้ตื่นตระหนกล่ะ?
“ใช่ครับพ่อ” พี่รองจ้าวรู้สึกไม่ดีที่จะพูดว่าภรรยาสองอยากสร้างบ้าน จึงทำได้เพียงแค่ยอมรับว่าเป็นความคิดของตนเอง “ไม้แปที่มีอยู่ในบ้าน ผมใช้ได้หรือเปล่าครับ?”
แม้พี่สะใภ้รองจ้าวจะพูดว่าอยากซื้อ แต่เขาก็ยังคิดว่าหากไม่ต้องซื้อก็น่าจะดีกว่า ถึงอย่างไรต่อให้จ่ายเงินคืนปีหน้า ก็ยังต้องใช้เงินอยู่ดี!
อีกอย่างเขาก็เป็นพี่ใหญ่ในบ้าน ถ้าคิดจะสร้างบ้าน ของทั้งหมดก็เป็นของที่เขาใช้ได้ ส่วนพี่น้องคนอื่น ๆ ก็ต้องรอไปก่อน
“ภรรยาของแกอยากสร้างบ้านสินะ?” คุณแม่จ้าวมองปราดเดียวก็เห็นได้ทะลุปรุโปร่งแล้ว นางมองลูกชายพลางกล่าว
ลูกชายคนนี้ของนางไม่ว่าจะทำอะไรก็เรียบง่ายมาตั้งแต่เด็ก ๆ เรื่องที่คิดจะสร้างบ้านคงไม่ใช่ความคิดของเขา อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ใช่ความคิดที่จะเกิดขึ้นในตอนนี้ ถึงอย่างไรการสร้างบ้านก็มีเรื่องยุ่งยาก แถมยังต้องใช้เงินไม่น้อยด้วย?
ตอนนี้จะนำเงินออกมาได้สักเท่าไรกันเชียว? แยกบ้านกันปีที่แล้ว ปีนี้ก็เพิ่งจะเริ่มทำงานกันเอง!
คุณพ่อจ้าวมองลูกชายคนโตพลางกล่าว “ต่อให้มีไม้แปในบ้านให้แกใช้ แต่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อยอยู่ดี นี่ยังไม่ถึงฤดูใบไม้ร่วงเลย ไม่รู้ว่าปีนี้จะเป็นยังไง แกแน่ใจแล้วเหรอว่าจะสร้างบ้านตอนนี้?”
พี่รองจ้าวกล่าว “พ่อ ผมแน่ใจแล้ว”
คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวหันมาสบตากัน
คุณแม่จ้าวกล่าว “เจ้ารอง แม่คิดว่าแกกลับไปคุยกับภรรยาของแกให้ดี ๆ ก่อน เรื่องสร้างบ้านไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างอื่นน่ะช่างมันเถอะ แต่เรื่องสร้างบ้านพวกแกจะไปเทียบกับเจ้าหกไม่ได้ เขาวิ่งออกไปค้าขาย เงินที่เขาได้เป็นเงินที่ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำได้มากหรือน้อย แต่แกทำไร่ทำสวน รายได้เป็นเงินตายตัว มีตัวเลขที่แน่นอน ถ้าไม่เก็บออมแล้ว ถึงเวลาต้องใช้เงินจะทำยังไง?”
สิ่งที่คุณแม่จ้าวพูดล้วนเป็นเรื่องจริง ลูกชายคนเล็กมีรถเครื่องยนต์สามล้อวิ่งออกไปขายของได้ทุกที่ แต่ละวันก็ต้องมีเงินเข้าบัญชี อยู่ที่ว่าจะได้เงินมากหรือน้อยก็เท่านั้น
นี่เป็นเงินสดที่ได้แบบหมุนเวียน
แต่ลูกชายคนโตพึ่งพาการทำนา ต่อให้ขึ้นอยู่กับฟ้าฝน แต่ถ้าฟ้าฝนไม่เป็นใจ แบบนั้นก็ทำได้แค่จ้องมอง
อย่าว่าแต่เงินที่จะจ่ายคืนเลย จะมีข้าวให้กินหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โถ แค่ฐานะทางบ้านก็ต่างกันแล้ว จะเอาอะไรไปสู้บ้านหก พี่สะใภ้รองนี่เห็นช้างขี้แล้วต้องขี้ตามช้างนะ ไม่ดูตัวเองเลย
ไหหม่า(海馬)