เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 226 ก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 226 ก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี
ตอนที่ 226 ก็ต้องใช้ชีวิตให้ดี
จ้าวเหวินเทาไม่ค่อยได้คุยอะไรกับพวกพี่ชาย ตั้งแต่เล็กจนโต เขารู้สึกว่าพวกพี่ชายอยู่คนละโลกกับเขา
พี่รองจ้าวเป็นคนซื่อตรงและซื่อสัตย์ คนแบบนี้ถือเป็นคนดีในแบบดั้งเดิม แต่จ้าวเหวินเทากลับทำตรงกันข้าม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็นคนเลว แต่เขาก็ไม่ใช่คนดีตามต้นฉบับดั้งเดิม หรืออาจจะพูดว่าเป็นพวกแสวงหากำไรก็ได้
พี่สามจ้าวเป็นพวกคิดคำนวณอย่างชาญฉลาด ดีดลูกคิดได้อย่างไหลลื่น มีสมองในด้านการค้า แต่จ้าวเหวินเทาคิดว่าเขาขี้งกเกินไป จึงรู้สึกไม่เข้าตา ในเวลาเดียวกันพี่สามจ้าวก็ไม่ชอบเขาเช่นกัน คิดว่าเขาเป็นพวกฟุ่มเฟือยที่ถูกพ่อแม่ประคบประหงม ฟุ่มเฟือยไม่พอยังต้องให้พี่ชายอย่างพวกเขาช่วยตามเช็ดตามล้างอีก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้กลับเดินใกล้กับพี่ชายทั้งสองคนนี้มากที่สุด
ส่วนพี่สี่จ้าวเป็นคนสบาย ๆ พูดให้ฟังดูดีหน่อยก็คือพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี แต่ถ้าพูดแรง ๆ หน่อยก็คือเป็นคนไม่ก้าวหน้า แต่ถึงอย่างไรขอแค่ใช้ชีวิตอย่างปกติก็พอแล้ว เรื่องอื่นไม่ได้พิจารณา
ไม่ใช่ว่าไม่มีความสามารถที่จะพิจารณา มีหลายเรื่องที่พี่สี่จ้าวมองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง พูดจาตรงประเด็น จ้าวเหวินเทาจึงคิดว่าพี่สี่จ้าวคนนี้น่าจะขี้เกียจ
นิสัยของพี่น้องทั้งสี่คนแตกต่างตามแบบของตนเอง และใช้ชีวิตในแบบของตนเอง พี่รองจ้าวใช้ชีวิตแบบตึงเครียด พี่สามจ้าวใช้ชีวิตแบบตระหนี่ถี่เหนียว พี่สี่จ้าวใช้ชีวิตแบบขอไปที ส่วนจ้าวเหวินเทาใช้ชีวิตแบบร่ำรวยอู่ฟู่ ไม่ว่าจะเรื่องการกิน เสื้อผ้าหรือที่อยู่ก็ดีไปหมด ทั้งยังดึงพี่น้องให้รวยไปด้วยกัน แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นเรื่องที่ได้หน้าได้ตามากสำหรับจ้าวเหวินเทา แต่เขาก็หวังว่าพี่น้องของเขาจะได้ใช้ชีวิตดี ๆ มีญาติร่ำรวยย่อมดีกว่าญาติที่ยากจน เพียงแค่การใช้ชีวิตก็ต้องดูที่ตนเองด้วย หากตนเองไม่ดี คนอื่นก็ไม่สามารถลากให้ขึ้นไปได้
พวกเขาสองคนพูดคุยกันครู่หนึ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกเดียวกัน จึงมีหัวข้อสนทนาที่พูดคุยกันไม่มาก
พี่รองจ้าวเห็นว่าดึกมากแล้วจึงกลับไป จ้าวเหวินเทาไปส่งเขาด้วยตนเอง หลังจากมาถึงหน้าบ้านก็ถามอีกครั้งว่า พี่รอง พี่ไม่มีธุระอะไรจริง ๆ เหรอ? มีอะไรก็บอกผมได้นะ ยังไงพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน
การที่จ้าวเหวินเทาพูดว่าเป็นพี่น้องกันทำให้พี่รองจ้าวรู้สึกอบอุ่นในใจ เขากระชับเสื้อแล้วพูดว่า เจ้าสามมาหาฉันบอกให้ฉันทำเต้าหู้ให้ แล้วก็บอกว่าจะให้เงินฉันด้วย
นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ จ้าวเหวินเทาชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
เรื่องที่ดี? ให้พี่น้องตัวเองเป็นคนงานระยะยาวให้ตัวเองคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเหรอ? พี่รองจ้าวย้อนถาม
จ้าวเหวินเทาประหลาดใจ คิดแบบนี้ก็ได้ด้วยเหรอ?
พี่รอง พี่รู้สึกเสียหน้าสินะ? จ้าวเหวินเทาครุ่นคิดพลางกล่าว แต่ผมกลับคิดว่าเรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ที่หน้าตาเลย พี่สามทำเต้าหู้อร่อยมากจริง ๆ แถมยังทำค้าขายเป็นด้วย เขายุ่งจนหัวหมุนขนาดนั้น ส่วนพี่ก็ไม่มีอะไรต้องทำในฤดูหนาวอยู่แล้ว ร่วมมือกันหาเงินสักหน่อยก็ดีไม่ใช่เหรอ? ผมไม่ปิดบังพี่นะ เรื่องนี้ผมเป็นคนพูดกับพี่สามเองแหละ พี่กับพี่สี่ไม่มีอะไรทำช่วงฤดูหนาว แถมยังนั่งว่าง ๆ สู้เอาเวลามาหาเงินสักหน่อยยังจะดีเสียกว่า
พี่รองจ้าวได้ยินว่าเป็นคำแนะนำของจ้าวเหวินเทาก็รู้สึกได้ว่าจ้าวเหวินเทากำลังหวังดีกับเขา แต่ทำไมภายในใจของเขาถึงไม่มีความสุขเลย?
การจ้างคนทำงานระยะยาวเป็นเรื่องของสังคมเก่า ตอนนี้เป็นสังคมใหม่แล้ว จะให้ทำแบบนี้ได้ยังไงกัน? แถมยังเป็นพี่น้องแท้ ๆ อีก พี่รองจ้าวส่ายหน้า แบบนี้มันมีเหตุผลที่ไหนกันล่ะ
จ้าวเหวินเทาเรียนหนังสือมาน้อย เขาไม่สามารถพูดถึงเหตุผลออกมาได้ แต่มันก็ไม่สามารถหยุดเขาได้ พี่รอง พี่คิดแบบนี้ไม่ถูกนะ ไม่ว่าจะสังคมไหน ทุกคนก็ต้องกินข้าว ถ้าจะกินข้าวก็ต้องหาเงินด้วย พี่เองก็เคยไปเห็นที่อำเภอมาแล้ว พนักงานร้านอาหารและร้านค้าพวกนั้นต่างก็ถูกจ้างกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? ก็เหมือนกับจงย่งที่ผมรู้จักคนนั้นไง เขาเองก็เปิดร้านเกี๊ยว พนักงานของเขาก็เป็นน้องชายน้องสาว บางครั้งพ่อกับแม่ก็มาช่วยด้วย แต่ละคนก็มีเงินค่าจ้างกันทั้งนั้นแหละ
จริงเหรอ? พี่รองจ้าวแอบรู้สึกกังขากับตัวอย่างที่จ้าวเหวินเทาหยิบยกขึ้นมา
จริงสิ ถ้าพี่ไม่เชื่อครั้งหน้าก็เข้าอำเภอลองไปดูหน่อยก็รู้แล้ว จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความจริงใจ พี่รอง ทำงานหาเงินไม่ต้องอายหรอกนะ ทำงานกับพี่น้องเพื่อหาเงินยิ่งไม่ต้องอายเข้าไปใหญ่
แล้วทำไมตอนแรกนายถึงไม่จ้างพวกเราขนฟืนล่ะ? พี่รองจ้าวรีบย้อนถาม ตอนนั้นฉันเองก็ถามนาย นายยังบอกเลยว่าระหว่างพี่น้องคุยเรื่องเงินไม่ดี
จ้าวเหวินเทาหัวเราะเหอะ ๆ พี่รอง ตอนนั้นผมคิดผิดเองแหละ อีกอย่างฟืนพวกนั้นมันจะได้เงินเท่าไรกันเชียว แต่เต้าหู้ของพี่สามไม่เหมือนกันนะ
เหตุผลที่แท้จริงก็คือ เขาไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคนแบบพี่สามจ้าว พี่สะใภ้รองจ้าวและพี่สะใภ้สี่จ้าว เพราะมันทำให้เขาลำบาก
บางทีหากเปลี่ยนวิธีการพูด ก็จะเป็นว่าเขาจ้างคนอื่นเพราะยังมีตัวเลือก ส่วนนิสัยของพี่รองจ้าวนั้นเป็นเรื่องยากที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้น
นี่เป็นความแตกต่าง
พี่รองจ้าวก็ไม่ได้คิดมากมายอะไร พูดว่า ‘ฉันเข้าใจแล้ว’ จากนั้นก็เดินกลับเข้าบ้านไป
พี่รองมาทำไมเหรอคะ? เย่ฉูฉู่เอ่ยถามหลังจ้าวเหวินเทากลับมาถึง
จ้าวเหวินเทามีความสุข คุณทายสิ
จะไปไหนก็ไปเลย ฉันจะไปทายถูกได้ยังไง! เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่เขา
จ้าวเหวินเทาพูดไปรอบหนึ่ง เย่ฉูฉู่เองก็รู้สึกว่ายากที่จะเข้าใจ
ทำไมพี่รองถึงคิดแบบนี้ล่ะ? เย่ฉูฉู่ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำพูดใดมาบรรยาย เรื่องนี้มัน…ช่าง…
โง่เขลาเกินไป! จ้าวเหวินเทากล่าว ตอนนี้ทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการหาเงิน แต่เขายังคิดเรื่องแบบนี้อีก เฮ้อ!
พี่รองเป็นคนดี เพียงแต่คิดตื้นเกินไป เย่ฉูฉู่กล่าว
เป็นคนดีก็ต้องยอมรับความจนให้ได้แล้วกัน จ้าวเหวินเทาถอนหายใจ
เย่ฉูฉู่กลอกตาใส่ คุณพูดจาเหลวไหลอีกแล้วนะคะ!
จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึหึ เขายกลูกชายขึ้นสูง เจ้าลูกชาย พอเราโตขึ้นมาก็อย่าเป็นคนดีเลยนะ!
ดูคุณสอนลูกเข้าสิ! เย่ฉูฉู่หัวเราะด้วยความโกรธเคือง
พี่รองจ้าวทางฝั่งนี้เดินเข้าบ้านอย่างเชื่องช้า เขารับประทานอาหารจนอิ่มแปล้ และไม่ได้รู้สึกหนาวด้วย ภายในใจกำลังตรึกตรองถึงคำพูดของจ้าวเหวินเทา แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจจนถึงตอนที่เข้ามาถึงในบ้าน แต่กลับตัดสินใจได้ว่าเขาจะทำเต้าหู้ให้พี่สามจ้าว
นี่ไม่ใช่เพราะคำพูดของจ้าวเหวินเทาหรอก ต่อให้พูดน่าฟังกว่านี้จะไปมีประโยชน์อะไรกัน ความรู้สึกที่เป็นจริงได้ต่างหากล่ะถึงจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เมื่อสักครู่ตอนที่ได้รับประทานอาหารมื้อนั้นทำให้พี่รองจ้าวได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าชีวิตที่ดี พูดให้ถูกต้องก็คือรู้ว่าต้องหาเงินไปเพื่ออะไร
ดูบ้านที่จ้าวเหวินเทาอาศัยอยู่สิ ของกิน เครื่องดื่ม ทั้งดีทั้งประณีต แล้วหันกลับมาดูตัวเอง โต๊ะผุ ๆ พัง ๆ ผักเส้นดองเค็มผักกาดขาวดองเค็ม โจ๊กข้าวโพด บะหมี่จากแป้งบักวีท รับประทานเข้าไปก็รู้สึกไม่สบายท้อง เขาเองก็อยากรับประทานแป้งขาว อยากรับประทานเนื้อ และอยากรับประทานผักใบเขียวด้วย!
พี่รองจ้าวเลียริมฝีปากล่าง เขารู้สึกว่ายังไม่หายอยากอาหารเลย จากนั้นจึงตัดสินใจอีกครั้ง เขาจะทำเต้าหู้!
เมื่อเข้ามาในบ้าน พี่สะใภ้รองจ้าวก็กำลังเดินออกมาจากในห้องพอดี ในมือของเธอถือไม้ สวมเสื้อผ้าและใส่หมวก แต่เมื่อเห็นพี่รองจ้าว หล่อนก็โยนไม้ไปข้าง ๆ อย่างแรง และหมุนตัวกลับเข้าห้องไป
พี่สะใภ้รองจ้าวเห็นว่าสามีออกไปนานแต่ยังไม่กลับมา หล่อนกลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเลยแต่งตัวมีอาวุธครบมือเพื่อออกไปตามหาเขา แต่เมื่อเห็นเขากลับมา ความโกรธก่อนหน้านี้ก็กลับมาอีกครั้ง
เก่งจริงก็อย่ากลับมาสิ! พี่สะใภ้รองจ้าวบ่นพึมพำ หล่อนถอดชุดและกลับขึ้นไปบนเตียง
พี่รองจ้าวเข้ามาในห้อง พบว่าพวกลูก ๆ ถอดชุดและเข้านอนกันแล้ว
ในหม้อมีข้าวอยู่! พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ผมไปกินที่บ้านเจ้าหกมาแล้ว พี่รองจ้าวกล่าว
พี่สะใภ้รองจ้าวชะงัก ทำไมถึงไปรับประทานอาหารที่บ้านจ้าวเหวินเทา หล่อนอยากถามแต่ก็อดกลั้นไว้
พรุ่งนี้คุณไปคุยกับเจ้าสามก็แล้วกัน ผมตกลงว่าจะทำเต้าหู้ให้เขาแล้ว อยากได้เท่าไรคุณก็คิดเอาเองแล้วกัน พี่รองจ้าวพูดจบก็เดินไปปิดไฟ
ท่ามกลางความมืด พี่สะใภ้รองจ้าวก็เงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยถามว่า ทำไมคุณถึงอยากทำล่ะ?
พี่รองจ้าวเล่าเรื่องที่จ้าวเหวินเทารับประทานอะไรในบ้านเป็นมื้อค่ำให้หล่อนฟังหนึ่งรอบ พวกเราเองก็ต้องใช้ชีวิตแบบนั้น!
นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตอบตกลง
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บางทีมันต้องได้สัมผัสชีวิตที่ดีก่อนมันถึงจะมีแรงกระตุ้นน่ะค่ะ พอมีแรงกระตุ้นก็เกิดแรงทำงาน
ไหหม่า(海馬)