เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零] - ตอนที่ 309 ปฏิกิริยาโต้ตอบ
- Home
- เกิดใหม่เป็นสามีภรรยาชาวสวนผู้มั่งคั่งยุค 70 [宠婚蜜恋在八零]
- ตอนที่ 309 ปฏิกิริยาโต้ตอบ
ตอนที่ 309 ปฏิกิริยาโต้ตอบ
ตอนที่ 309 ปฏิกิริยาโต้ตอบ
พี่รองจ้าวมองภรรยาคนนี้ด้วยสีหน้าราวกับหมดคำพูด เขาไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดภรรยาถึงคิดแบบนี้
“คุณคิดไกลเกินไปแล้วมั้ง พวกเถี่ยต้านเพิ่งจะอายุกี่ขวบเอง? อีกอย่างเจ้าหกก็ไม่เคยพูดว่าจะไปปักกิ่งด้วย”
พี่สะใภ้รองจ้าวกลับไม่เห็นด้วย “นี่คือการวางแผน คนเราก็ต้องมีแผนสิ จริงไหม? อย่าให้ถึงเวลาจริง ๆ แล้วคิดไม่ออก ที่ฉันทำแบบนี้เพื่ออะไรล่ะ ก็เพื่อครอบครัวไม่ใช่เหรอ?”
พี่รองจ้าวคิดว่าไม่มีความหมายอะไรที่จะทะเลาะกันเรื่องนี้ จึงพยักหน้าอย่างขอไปที พวกเถี่ยต้านก็เลิกเรียนกลับมาบ้านพอดี พี่สะใภ้รองจ้าวจึงจบประโยคสนทนา และเดินไปยกกับข้าวมาเริ่มรับประทานอาหาร
เรื่องของเสี่ยวหม่าย่อมกระตุ้นไปถึงพี่สามจ้าวอยู่แล้ว
“โอ๊ย แค่ถ่ายรูปก็ได้เงินมาตั้งหลายร้อยหยวน คุณว่าบนโลกนี้สมเหตุสมผลหรือเปล่าล่ะ ฉันตื่นเช้านอนค่ำตลอดทั้งปียังได้เงินไม่มากเท่านี้เลย!” พี่สามจ้าวรู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างมาก
พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว “คุณอย่าฟังเสียงลมเป็นฝนสิ แม่หม้ายหม่าพูดอะไรคุณก็เชื่อเหรอ? ใครจะไปรู้ว่าเรื่องจริงหรือโกหก?”
“นี่ไม่ใช่แค่แม่หม้ายหม่าที่พูด น้องสะใภ้หกก็พูดเหมือนกัน!” พี่สามจ้าวแค่นเสียงในลำคอ
พี่สะใภ้สามจ้าวรู้สึกประหลาดใจมาก “น้องสะใภ้หกก็พูดเหรอ? ฉันไม่เชื่อหรอกที่น้องสะใภ้หกบอกว่าเสี่ยวหม่าได้เงินเดือนหนึ่งหลายร้อยเพียงเพราะถ่ายภาพ? พอเถอะ ฉันไม่เชื่อ น้องสะใภ้หกไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาหรอก!”
พี่สามจ้าวพูดอย่างหมดความอดทน “ถึงน้องสะใภ้หกไม่ได้พูดแบบนี้ แต่ความหมายมันก็เป็นแบบนี้แหละ ปักกิ่งได้เงินดีขนาดนี้เลยเหรอ? คุณว่าถ้าพวกเราเอาเต้าหู้ไปขายที่ปักกิ่งได้จะดีกว่าที่นี่ไหม?”
คำพูดนี้ไม่เพียงแค่ทำให้พี่สะใภ้สามจ้าวตกใจ แม้แต่ตัวพี่สามจ้าวเองก็ตกใจเช่นกัน ไปขายเต้าหู้ที่ปักกิ่ง เขาบ้าไปแล้วมั้ง!
“คุณอย่าฝันไปหน่อยเลย คุณก็พูดเองว่าเต้าหู้จะดีหรือไม่ดีก็ต้องดูที่น้ำ น้ำของปักกิ่งจะดีเหมือนน้ำที่บ้านเราเหรอ?” พี่สะใภ้สามจ้าวเรียกสติ “อีกอย่างปักกิ่งเป็นสถานที่แบบไหน มีเหรอจะไม่มีเต้าหู้ขาย? คุณเป็นคนนอก คุณจะขายออกเหรอ?”
“ผมก็แค่พูดไปงั้นแหละ คุณคิดว่าผมจะไปจริง ๆ เหรอ!” จู่ ๆ พี่สามจ้าวก็แอบมีน้ำโหขึ้นมา “เจ้าหกนี่ก็จริง ๆ เลย รู้จักแต่ช่วยคนนอก แต่กลับไม่ช่วยเหลือคนในบ้าน ร่ำรวยนอกบ้านแต่ไม่ให้คนในบ้านร่ำรวยจริง ๆ!”
พี่สะใภ้สามจ้าวทราบดีว่าพี่สามจ้าวอาการกำเริบอีกแล้ว จึงไม่ได้สนใจเขาอีก
ทางฝั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวก็กำลังบ่นกับพี่สี่จ้าวเช่นกัน แน่นอนว่าหล่อนก็พูดพล่ามเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว
“…จริง ๆ เลย คนพอมีอำนาจ ก็มักจะพาเอาเพื่อนฝูง พี่น้องและเครือญาติที่ใกล้ชิดเข้ามามีส่วนร่วมด้วย แม่หม้ายหม่าคนนี้มีน้องชายที่มีอนาคตคนหนึ่งแล้ว สะเทือนไปทั้งครอบครัวเลย!” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดเสียงสูง ราวกับกลัวว่าพี่สี่จ้าวจะไม่ได้ยิน
พี่สี่จ้าวกำลังซ่อมคันไถอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ทราบได้ว่าพี่สะใภ้สี่จ้าวกำลังรอคำตอบ เขาครุ่นคิดแล้วตอบกลับไปหนึ่งประโยค “คุณเองก็มีน้องชาย รอให้เขามีอำนาจก็สะเทือนไปทั้งครอบครัวเหมือนกันนั่นแหละ”
พี่สะใภ้สี่จ้าวถึงกับสำลัก น้องชายคนนั้นของหล่อนถ้าไม่พูดถึงก็ยังดี แต่พอพูดถึงหล่อนก็โมโหขึ้นมา น้องชายคนนั้นคือพวกขี้เกียจที่ใช้ชีวิตด้วยการพึ่งพาพี่สาวอย่างพวกหล่อน แต่แม่ของหล่อนดันทำเหมือนกับเป็นเส้นชีวิต ถ้าเขามีอนาคต นั่นก็เป็นอนาคตของเขาเพียงคนเดียว! หวังว่าเขาจะทำให้สะเทือนทั้งครอบครัวเหรอ ชาติหน้าเถอะ!
ครั้นได้ฟังพี่สะใภ้สี่จ้าวสาดคำพูดเหล่านี้ออกมา พี่สี่จ้าวจึงครุ่นคิดอีกครั้งแล้วตอบไปว่า “ปรากฏว่าน้องชายของแม่หม้ายหม่าคนนั้นก็ไม่ได้มีอะไร นอกจากจะไม่ทำอะไรแล้ว ยังขี้เกียจสันหลังยาวอีกสินะ? แต่ตอนนี้พอเปลี่ยนสถานที่ก็กลายเป็นคนมีอนาคตแล้ว น้องชายของคุณอาจจะเป็นแบบนี้ก็ได้นะ เปลี่ยนสถานที่ก็ดีขึ้น”
พี่สะใภ้สี่จ้าวมองพี่สี่จ้าวด้วยความสงสัย “ความหมายของคุณคือ จะให้น้องชายฉันไปปักกิ่งด้วย?”
พี่สี่จ้าวรีบพูด “ผมไม่ได้พูดแบบนี้ ผมแค่เปรียบเปรย”
แต่พี่สะใภ้สี่จ้าวกลับเก็บมาใส่ใจ หล่อนรีบพูดว่า “คุณพูดแบบนี้ก็เตือนฉันขึ้นได้จริง ๆ งั้นคุณไปคุยกับน้องหกดูสิ บอกให้เขาช่วยส่งน้องชายฉันไปปักกิ่งหน่อย? น้องหกช่วยคนนอกได้ ก็ควรจะช่วยคนในบ้านด้วยสิ ฉันเองก็เป็นพี่สะใภ้สี่ของเขานะ น้องชายของพี่สะใภ้สี่ ก็คือญาติแท้ ๆ!”
พี่สี่จ้าวหันไปมองพี่สะใภ้สี่จ้าว แล้วก้มหน้าทำงานต่ออีกครั้ง “ผมไม่ไป”
“ทำไมล่ะ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวถลึงตา
“น้องชายคุณหน้าตาดีเท่าน้องชายของแม่หม้ายหม่าเหรอ?” พี่สี่จ้าวเจอเหตุผลที่มีน้ำหนักมาหนึ่งข้อแล้ว
“หน้าตาไม่ดีก็ทำงานอย่างอื่นได้นี่ กวาดขยะเทน้ำก็ยังได้” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดพลางก็เริ่มวิจารณ์น้องชายของหล่อนอีกครั้ง “คุณคงไม่รู้ เขาถูกแม่ของฉันตามใจจนทำตัวไม่เข้าท่ามากขนาดไหน ไม่ทำอะไรสักอย่าง ลงไปทำนาก็ไปนั่งรออยู่ใต้ร่มเงา กลับมาก็เอาแต่บ่นว่าเหนื่อย นอนอยู่บนเตียงอย่างกับศพ แถมยังอยากกินของดี ๆ อีก อีกอย่าง…”
“น้องชายคุณเป็นแบบนี้ ยังหวังจะให้เขาไปกวาดขยะเทน้ำอีกเหรอ?” พี่สี่จ้าวพูดเสียงเรียบแทรกสิ่งที่หล่อนกำลังพูด
พี่สะใภ้สี่จ้าวสำลักอีกครั้ง “ไปปักกิ่งก็อาจจะดีขึ้นก็ได้! คุณดูอย่างเสี่ยวหม่าสิ เขาไปที่ปักกิ่งก็ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ?”
“เสี่ยวหม่าหน้าตาดีอยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าตาดีเพราะไปปักกิ่ง” พี่สี่จ้าวตอบ
“ฉันไม่สน! คุณบอกมาว่าจะไปหรือไม่ไป?” พี่สะใภ้สี่จ้าวพูดจาก่อกวนปั่นป่วนขึ้นมา
“ไม่ไป” พี่สี่จ้าวตอบอย่างเรียบง่าย
“คุณ…ฉันตาบอดจริง ๆ ที่มาแต่งงานกับคนแบบคุณ!”
พี่สะใภ้สี่จ้าวเริ่มร้องไห้ปาดน้ำตาพูดถึงเรื่องที่ไม่มีลูกชายอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย หากหล่อนมีลูกชายก็คงไม่เป็นแบบนี้ บลา ๆๆ
พี่สี่จ้าวไม่สนใจใยดี ท้ายที่สุดพี่สะใภ้สี่จ้าวจึงทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค ‘คุณไม่ไปงั้นฉันไปเอง!’
ด้วยเหตุนี้พี่สะใภ้สี่จ้าวก็มาหาจ้าวเหวินเทาให้ช่วยเหลือในคืนนั้นด้วยความรีบร้อน
จ้าวเหวินเทาได้ยินพี่สะใภ้สี่จ้าวพูดว่าจะส่งน้องชายตัวเองไปปักกิ่ง เขาก็ถึงกับตกใจ “พี่สะใภ้สี่ พี่ไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม?”
พี่สะใภ้สี่พูดด้วยความสงสัย “ไม่ได้เป็นอะไร ฉันจะเป็นอะไรได้ล่ะ? น้องหก นายช่วยคนนอกได้ก็ควรจะช่วยคนในบ้านด้วยไม่ใช่เหรอ?”
จ้าวเหวินเทาได้ยินก็แอบรู้สึกโมโห เขาจึงพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “พี่สะใภ้สี่ น้องชายของพี่ก็ไม่ใช่คนของตระกูลจ้าวไม่ใช่เหรอ?”
พี่สะใภ้สี่จ้าวแอบรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ยังพูดว่า “จะใช่หรือไม่ใช่คนของตระกูลจ้าว แต่พวกเราก็เป็นญาติแท้ ๆ นะ แม่หม้ายหม่านั่นสนิทกว่าพวกเราเหรอ ฉันเป็นพี่สะใภ้แท้ ๆ ของนายเลยนะ”
จ้าวเหวินเทาอยากจะระเบิดอารมณ์แล้ว แต่เย่ฉูฉู่ดึงเขาไว้ด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดอย่างยิ้มแย้มไปว่า “พี่สะใภ้สี่ พี่คงเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ น้องชายของแม่หม้ายหม่าไปปักกิ่งไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเหวินเทาสักหน่อย”
“หา แล้วเขาไปได้ไงล่ะ?” พี่สะใภ้สี่จ้าวประหลาดใจ
“คือแบบนี้ค่ะ” เย่ฉูฉู่พูดถึงเหตุผลด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “แม่หม้ายหม่าเรียกให้น้องชายของหล่อนมาทำงานที่ฟาร์มกระต่าย น้องชายของหล่อนยังไม่มีแฟน และเขาก็คิดอยากหาแฟนด้วย ก็เลยถ่ายรูปบอกให้เหวินเทาช่วยแนะนำให้ รูปถ่ายนั้นอยู่กับฉัน ตอนที่ฉันเขียนจดหมายไปหาพี่สะใภ้สาม รูปภาพนั้นดันติดอยู่ในจดหมายพอดี ตอนที่เหวินเทาส่งจดหมายก็รีบร้อน ไม่ทันได้สังเกตก็ส่งไปทั้งแบบนั้น พี่สะใภ้สามฉันเห็นรูปภาพนั้น ก็เลยคิดว่าน้องชายของแม่หม้ายหม่าหน้าตาดี สามารถลองเป็นนายแบบได้ ก็เลยเรียกให้เขาไปที่นั่น จับผลัดจับผลูจนเรื่องกลายเป็นแบบนี้ ขนาดพี่สะใภ้สามโทรศัพท์มาหาฉันพวกเรายังไม่รู้อะไรเลย พี่เองก็รู้ รูปภาพนั่นแค่ไม่กี่นิ้วเอง ขนาดเล็กมาก ถ้าพี่สะใภ้สามไม่พูดถึงฉันก็ลืมไปแล้ว”
ไม่ว่าพี่สะใภ้สี่จ้าวจะเชื่อหรือไม่ ถึงอย่างไรเย่ฉูฉู่ก็พูดเป็นจริงเป็นจังมาก เดิมทีเสี่ยวหม่าทำเงินได้มากขนาดนั้นก็แทบจะไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว มีเหตุผลไม่น่าเชื่อถือสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติ
พี่สะใภ้สามจ้าวเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง ถ้าบอกว่าไม่เชื่อ เย่ฉูฉู่น้องสะใภ้คนนี้ก็ไม่ใช่คนพูดโกหกมาแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้าเชื่อ ก็รู้สึกบังเอิญเกินไปหน่อยเหมือนกัน
เย่ฉูฉู่มองเห็นความสงสัยของหล่อน จึงพูดต่อไปว่า “พี่สะใภ้สี่ ไม่ใช่ว่าเราไม่ช่วยพี่หรอกนะคะ แต่เรื่องนี้เหวินเทาช่วยอะไรไม่ได้หรอก ในเมื่อช่วยเหลือคนนอกได้ทำไมจะไม่ช่วยเหลือญาติตัวเองล่ะ พี่ว่าจริงไหม?”
……………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ฉูฉู่ฉลาดพูดมาก กลับเรื่องให้การที่เสี่ยวหม่าได้ไปปักกิ่งกลายเป็นเรื่องบังเอิญไป เหวินเทาก็จะได้รอดจากมือสะใภ้สี่
ไหหม่า(海馬)