เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田 - ตอนที่ 220 เรื่องจริงของการนองเลือด
ตอนที่ 220 เรื่องจริงของการนองเลือด
ซูหวานหว่าน! ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าวันนั้นเจ้าจะยังไม่ตาย ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก ยังจะมาขัดขวางความมั่งคั่งของข้า เข้ามายุ่งเรื่องการหาเงินของข้าอีก โชคดีที่ตอนนี้ข้าได้คำแนะนำมาจากผู้ที่มีวิชาเก่งกาจ ตอนนี้ข้าจะทำให้วิญญาณของเจ้าแตกแหลกสลายกลายเป็นผุยผง! ซูเสี่ยวเหยียนหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนเดินออกมาจากหลังรูปปั้นของพระโพธิสัตว์ นางมองไปยังซูหวานหว่านที่กำลังใช้มือปิดหูด้วยท่าทางสบายใจ ทุกคนมาจากยุคสมัยใหม่ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเห็นข้าเป็นศัตรู และไม่ให้หนทางแก่ข้าในการดำเนินชีวิตในยุคนี้ ในตอนนี้… เจ้าควรได้รับผลกรรมที่เจ้าทำกับข้าเอาไว้!
เหลวไหล! ซูหวานหว่านรู้สึกแค้นเคือง นางไม่เคยเห็นใครที่จะหน้าด้านหน้าทนแบบนี้มาก่อนเลย! ซูเสี่ยวเหยียนข้ามมิติมาเหมือนกัน หากนับเวลาดูแล้วต้องเป็นวันที่ซูเสี่ยวเหยียนตายในวันนั้น เมื่ออีกฝ่ายกลับมาได้ก็หาหนทางกำจัดนางทิ้ง เช่นนี้ยังมาบอกว่าซูหวานหว่านคนนี้ไม่เหลือหนทางเอาไว้ให้นางมีชีวิตอีกหรือ?
ซูหวานหว่านหมายจะพูดบางสิ่งออกมา แต่เมื่อนางอ้าปากรู้สึกว่ามีบางอย่างหายเข้าไปในร่างกายของนางว่ายวนไปทั่ว หญิงสาวปิดปากตนเองแต่กลับรู้สึกว่าสิ่งนั้นภายในร่างกายของนางเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ มันกระแทกอวัยวะภายในไปมา ร่างกายของนางเหมือนกำลังจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ!
หรือว่านางจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ? ซูหวานหว่านขบริมฝีปากล่างของตนเองแน่น แต่ว่าในตอนนี้ร่างกายของนางนั้นไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว ทำให้นางหมดแรงล้มลงไปกองอยู่กับพื้น
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ซูเสี่ยวเหยียนก็ยิ่งหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง นางก้าวทางเดินเข้ามาฉีกหน้ากากอำพรางบนใบหน้าของซูหวานหว่านออก เมื่อเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย นางก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้น ซูหวานหว่าน! ข้านึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีวันนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!
นางพูดออกมาพร้อมเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจ แต่ซูเสี่ยวเหยียนเองก็รู้สึกปวดหัวมากเช่นกันจึงรีบเดินออกไปจากที่แห่งนี้
ซูหวานหว่านถูกทิ้งเอาไว้ท่ามกลางพระเหล่านั้น เสวียนปินถือพระคัมภีร์เล่มหนึ่งเดินวนรอบกายซูหวานหว่าน และเปลี่ยนมาเป็นอีกบทสวด เป็นบทสวดเหนือธรรมชาติ
ซูหวานหว่านที่ได้ยินบทสวดนางก็ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ร่างกายของนางก็ดูเหมือนหนักขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหวานหว่านก็รู้สึกว่าตัวนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ นางก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป!
ทันใดนั้นร่างกายของนางก็ดูเหมือนจะเบาขึ้น พอนางลืมตาขึ้นนางก็เห็นตัวเองลอยตัวอยู่บนที่สูง และเห็นกลุ่มพระกำลังท่องบทสวดพระคัมภีร์อยู่! และ… ร่างของนาง!
ในตอนนี้นางก็กลายเป็นวิญญาณที่โปร่งใส ราวกับอากาศไปแล้ว!
สถานการณ์ในตอนนี้มันคืออะไร? ตอนนี้นางได้กลายเป็นวิญญาณที่ออกจากร่างแล้วงั้นหรือ? นาง… มีโอกาสที่จะได้กลับไปหรือไม่?
ซูหวานหว่านเกิดอาการตื่นตระหนก เมื่อคิดถึงหลิงเชอคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ครั้งหนึ่งได้หายตัวไปแล้ว และนางก็ไม่สามารถปกป้องชีวิตของตัวเองได้ ในตอนนี้ซูหวานหว่านกำลังตำหนิตัวเองภายในใจ หลังจากครุ่นคิดไปอยู่ครู่หนึ่ง ซูหวานหว่านต้องการลงไปเพื่อกลับเข้าร่างของตัวเอง แต่ว่านางกลับไม่สามารถเข้าไปในร่างของตัวเองได้!
ทันใดนั้น เจ้าอาวาสเสวียนปินก็ขอให้พระทุกคนช่วยกันสวด และจับมือของซูหวานหว่านที่นอนอยู่บนพื้นขึ้นมา เผยให้เห็นแหวนมิติฟาร์มบนนิ้วของนาง!
ในที่สุดอาตมาก็เจอมันแล้ว! เสวียนปินพยายามที่จะถอดมันออกจากนิ้วของซูวานหว่าน แต่ไม่ว่าจะพยายามดึงมันออกเท่าใด เขาก็ไม่สามารถดึงออกมาได้!
เสวียนปินขมวดคิ้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าจิตวิญญาณในวงแหวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ และมันก็ยังจำเจ้าบ้านของมันได้?
ตัวเขาเองก็คิดสิ่งใดไม่ออกเช่นกัน ดังนั้นจึงบอกให้พระทุกคนออกไปจากที่นี้ หลังจากนั้นก็หยิบหนังสือเล่มเล็กสีเหลืองออกมาแล้วเปิดออก ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วแน่น ก่อนที่จะหยิบมีดออกมาแล้วเดินเข้าไปหาซูหวานหว่าน!
เขากำลังจะตัดนิ้วของซูหวานหว่าน! นี่มันบ้าไปแล้ว! เขาเป็นพระนะ!
ซูหวานหว่านรู้สึกประหม่าและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง โดยการตั้งสมาธิและถอดจิตเข้าไปในวงแหวนมิติฟาร์มของตัวเอง จากนั้นนางก็ถูกดูดเข้าไปในมิติฟาร์มทันที เมื่อเข้าไปก็พบว่าภายมิติฟาร์มมืดมาก มีตัวหนังสือเล็กปรากฏขึ้นบนอากาศ สวัสดีเจ้าบ้านที่เคารพ ในตอนนี้ท่านได้กลายเป็นวิญญาณ ท่านต้องใช้คะแนนหนึ่งล้านแต้มจึงจะสามารถเข้าร่างได้ แต่ว่าในตอนนี้ท่านมีคะแนนเพียงหกแสนคะแนนเท่านั้น ท่านสามารถเลือกยืมคะแนนล่วงหน้าได้หากท่านต้องการ
อะไรนะ?
มิติฟาร์มแห่งนี้เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นมาในทันที เมื่อรู้ว่าเจ้าบ้านของตัวเองกำลังจะตาย?
ซูหวานหว่านจึงรีบพูดออกมาว่า ข้าขอใช้คะแนนล่วงหน้า!
คะแนนที่ลอยอยู่ภายในอากาศกลายเป็นติดลบสี่แสนแต้ม!
หลังจากนั้นวงแหวนมิติฟาร์มของซูหวานหว่านก็ส่องแสงสีเขียววาบขึ้นมาอยู่ในนิ้วมือ และวงแหวนมิติฟาร์มก็ค่อย ๆ จางหายไปในนิ้วมือของซูหวานหว่านทันที หลังจากนั้นวิญญาณของซูหวานหว่านก็ดูเหมือนจะถูกอะไรดูดเข้าไปด้วยแรงมหาศาลและกลับเข้าไปในร่างของตัวเอง!
ในตอนนั้นเสวียนปินกำลังถือมีดจ่อไว้ที่มือนิ้วของซูหวานหว่าน เขาเตรียมลงมือตัดนิ้วของนาง แต่เมื่อเห็นดวงตาที่ปิดของซูหวานหว่านเปิดขึ้น หัวใจของเสวียนปินพลันสั่นสะท้าน มือของเขาคลายออก มือไม้อ่อนแรงทำให้มีดในมือตกลงบนพื้นและพูดออกมาอย่างตกใจว่า นี่ …นี่เจ้ายังไม่ตายอย่างงั้นรึ!
หลังจากพูดจบเขาก็ลุกขึ้นยืนและวางหนังสือสีเหลืองลงทันที คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าดึงเอาวงแหวนออกมาจากนิ้วมือของเจ้าไม่ได้สักที!
พอพูดจบเสวียนปินก็จับข้อมือของซูหวานหว่านมัดเอาไว้ ถึงแม้ว่านางจะฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ว่าร่างกายของซูหวานหว่านนั้นก็อ่อนแออยู่มาก จึงขัดขืนอะไรไม่ได้มากนัก
เสวียนปินจับซูหวานหว่านมัดมือแล้วตะโกนออกไปข้างนอกว่า นำคนเข้ามาได้! ให้พวกเขาท่องบทสวดพระคัมภีร์อีกครา!
ซูหวานหว่านคิดไม่ถึงว่าคนที่เสวียนปินพามาจะคือเจิ้นซิวซิวและซูต้าเฉียง
เมื่อเจิ้นซิวซิวและซูต้าเฉียงเห็นว่าคือซูหวานหว่านก็พูดออกมาว่า นี่…. นี่เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือ? เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ตายอีก?
เจ้า… เจ้าอย่ามารบกวนพวกเราเลย พวกเราเป็นคนเลี้ยงดูเจ้ามานะ!
…
สองคนนี้กำลังแสดงความรักของตนเอง!
ซูหวานหว่านยิ้มเยาะเย้ยตนเองอยู่ในใจ แต่ก็ยังไม่พูดอะไรออกมา ในตอนนี้หัวใจนางรู้สึกขมขื่นมาก
เสวียนปินกล่าวว่า นังผีชั่วร้าย หากเจ้าสองคนไม่อยากถูกนางฆ่าก็จงท่องบทสวดพระคัมภีร์ตามที่ข้าสวด ท่องจนหมดหนึ่งก้านธูปหอมแล้ววิญญาณของนางจะถูกแยกออกจากร่าง… ตายในทันที!
เจิ้นซิวซิวและซูต้าเฉียงรีบตอบตกลงทันที พวกเขาทั้งสองคนคุกเข่าและเตรียมบทสวด แต่ว่าพวกเขาทั้งสองอ่านหนังสือไม่ออก
พวกเขาสองคนท่องบทสวดพระคัมภีร์ผิดอยู่หลายครั้ง ทำให้เสวียนปินโกรธมากและเตะพวกเขาอย่างแรง จากนั้นเขาก็เป็นคนนำท่องบทสวดพระคัมภีร์ให้ทั้งสองคนท่องตาม ซึ่งผลลัพธ์มันก็ยังดีกว่าที่พวกเขาทั้งสองคนท่องแบบผิด ๆ ซูหวานหว่านได้แต่มองดูและรอให้พลังของตัวเองฟื้นตัวขึ้นมามากกว่านี้ก่อน ตอนนี้หัวใจของนางนิ่งสงบมาก หญิงสาวมองไปยังทั้งสองคนที่ดูหวาดกลัวนาง จึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า ข้าเป็นลูกสาวของพวกท่าน ข้าปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างไรพวกท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ ทำไมถึงมาทำแบบนี้กับข้า อีกทั้งยังเชื่อคนที่ทอดทิ้งพวกท่าน ปล่อยให้อดยากตามยถากรรม อีกทั้งเปลี่ยนชื่อและแซ่เพื่อแสวงหาความมั่งคั่งอีก
เอ่อ… เจิ้นซิวซิวถอนหายใจออกมา สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปแล้วพูดออกมาว่า ที่จริงแล้วเจ้าไม่ใช่ลูกสาวของข้า ในวันนั้นข้าไปทำงานในทุ่งนา ข้าให้กำเนิดลูกสาวอย่างกะทันหัน แต่ว่าลูกของข้าตายตั้งแต่ยังไม่คลอด และข้าก็กลัวว่าจะถูกชาวบ้านพากันเอาไปนินทา แต่กลับได้เจอเจ้าอยู่ข้างทางจึงเก็บเจ้ามาเลี้ยงดู โชคดีที่เจ้ากับเสี่ยวเหยียนมีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันอยู่เล็กน้อย เมื่อเจ้ายังเป็นเด็กชาวบ้านก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่ใครจะไปรู้… ว่าเจ้านั้นชั่วร้ายมาก! อีกอย่างเจ้ายังฆ่าลูกสาวของข้าด้วย! คนที่มีวิชาบอกกับข้าว่าหากเจ้าไม่ตาย เจ้าจะเป็นคนฆ่าล้างตระกูลของเรา! และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าจะมาขัดขวางความมั่งคั่งของครอบครัวเรา!
นี่มันคือความจริงอย่างงั้นรึ? ช่างน่าขัน! คิดไม่ถึงเลยว่าที่นางปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความรักจากหัวใจ กลับมาคิดร้ายกับนางได้ขนาดนี้! ที่ผ่านมาต่อให้นางทำดีต่อพวกเขาเท่าใดนางก็ไม่สามารถทำให้พวกเขารักนางได้อย่างแท้จริง เพราะว่านางไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขานี่เอง! ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาดัง ๆ
เมื่อเสวียนปินได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี เขาคิดว่าทั้งคู่คือพ่อแม่แท้ ๆ ของซูหวานหว่านจึงได้พามาที่นี่ มีเพียงพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเท่านั้นที่ใช้ประโยชน์ได้! เสวียนปินจึงเอ่ยออกมาอย่างเย็นชาว่า แล้วใครคือพ่อแม่แท้ ๆ ของนาง?
เอ่อคือว่า…เราจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน! เจิ้นซิวซิวบอก แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่น่ามองของเสวียนปิน นางก็พูดออกมาอย่างรวดเร็วอีกว่า แต่ข้าสามารถบอกท่านได้อย่างมั่นใจเลยก็คือพ่อแม่แท้ ๆ ของซูหวานหว่านไม่ได้เป็นคนในหมู่บ้าน! เพราะว่าในวันนั้นไม่มีใครคลอดลูก!
ถึงว่า… ทั้ง ๆ ที่ท่องบทสวดพระคัมภีร์อยู่นานแล้ว แต่มันกลับไม่ได้ผล เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง! เสวียนปินพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า เอาล่ะ! ลากพวกมันสองคนออกไปแล้วพาพวกมันไปฆ่าทิ้งซะ! แล้วก็อย่าลืมฝังศพพวกมันเสีย!
ท่านเจ้าอาวาส! ท่านไม่ได้บอกว่าข้าเองหรือว่าจะให้เงินพวกเราสิบตำลึงที่ให้พวกเรามาช่วย เหตุใดถึงต้องการฆ่าพวกเราด้วย! ใบหน้าของเจิ้นซิวซิวและซูต้าเฉียงซีดเผือด แต่พวกเขาก็ถูกลากตัวออกไปแล้ว!
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนถูกลากตัวออกไป เสวียนปินพลันเดินไปที่ด้านข้างของซูหวานหว่าน เขาขมวดคิ้วแล้วจับมือของซูหวานหว่านขึ้นมา ก่อนจะพบว่าแหวนที่อยู่บนนิ้วของนางได้หายไปแล้ว!
เสวียนปินหยิบมีดขึ้นมาแล้วจ่อไปที่คอของซูหวานหว่าน ปากพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า มอบแหวนนั้นมาให้ข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!