เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 353 ฉันให้นายกินแล้วเหรอ
ตอนที่ 353 ฉันให้นายกินแล้วเหรอ!
หลี่เฉิงเจี๋ยทำให้เย่เฉินเสียหน้าอีกครั้ง!
เฉียนช่วนจื่อที่ยืนตรงหน้าประตู เขาโยนหมั่นโถวสองลูกกับผักดองหนึ่งถุงให้เย่เฉินแล้วกล่าว
“คุณเย่ อาหารเหลาเนี่ยไม่ได้มีไว้ให้ทุกคน คุณกินเจ้านี่เถอะนะ เหมาะสมกับสถานะคุณดี!”
คิดไม่ถึงว่าเฉียนช่วนจื่อกับหลี่เฉิงเจี๋ยจะให้เย่เฉินกินหมั่นโถวกับผักดอง!
และในตอนนี้ซูมู่ชิงก็ทนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปไม่ไหว หล่อยหันมองหลี่เฉิงเจี๋ย “หลี่เฉิงเจี๋ย อาหารเยอะขนาดนี้ เราสองคนแม่ลูกกินไม่หมดหรอกนะ ซือซือก็กินนิดเดียว อย่างมากก็กินได้แค่ไม่กี่คำ ทำไมถึงไม่ให้เย่เฉินเขากินด้วยกันล่ะ? ไม่ว่ายังไงเขาก็คือพ่อของซือซือนะ!”
ไม่ว่าเรื่องไหนๆ ก็มีทั้งด้านดีและไม่ดีทั้งนั้น
ถึงแม้ว่าหลี่เฉิงเจี๋ยจะดูหมิ่นเย่เฉินครั้งแล้วครั้งเล่า แต่กลับทำให้ซูมู่ชิงเห็นใจอีกฝ่ายมากขึ้น
ถ้าหากวันนี้หลี่เฉิงเจี๋ยไม่มาที่นี่และไม่ทำเรื่องเหล่านี้ แล้วยิ่งเมื่อวานเย่เฉินเพิ่งพูดจาทำร้ายจิตใจหญิงสาวไปก็มาก มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าหล่อนคงจะไม่สนใจเย่เฉินอีกต่อไป
แต่ว่าซูมู่ชิงรู้ดีวาเย่เฉินเป็นผู้ชายที่ดี เมื่อวานที่ว่าหล่อนก็เพราะเป็นห่วงแฟนสาว มู่ชิงชอบผู้ชายคลั่งรัก และมีความรับผิดชอบแบบนี้
ดังนั้นซูมู่ชิงจึงให้อภัยเย่เฉินไปนานแล้ว หล่อนทนเห็นชายหนุ่มกินหมั่นโถวกับผักดองไม่ได้จริงๆ
หลี่เฉิงเจี๋ยรีบเข้าไปรั้งแขนหญิงสาวพลางกล่าว “ผมเป็นโรคจิต ผมไม่ชอบกินข้าวร่วมโต๊ะกับคนไม่รู้จัก ถ้าตะเกียบเขาจิ้มใส่อาหารจานไหน ผมก็ไม่อยากจะแตะต่อ ใครจะไปรู้ว่าเขาปากเหม็นไหม?”
ทันใดนั้นเองซือซือก็แผดเสียง “พ่อหนูไม่ได้ปากเหม็น! เมื่อกี้คุณพ่อจุ๊บหนูตั้งหลายที! แม่คะไม่เชื่อแม่ลองเลย!”
พูดพลางหันไปจุมพิตมารดา ซูมู่ชิง ชะงักนิ่งไปแล้วหน้าระเรื่ออย่างขัดเขิน
นี่… เท่ากับว่าหล่อนและเย่เฉินจูบกันผ่านลูกสาวหรือเปล่านะ?
ถึงแม้ว่าเย่เฉินกับซูมู่หลินจะเคยมีลูกด้วยกัน แต่ในวินาทีนี้คนทั้งสองก็มีอาการขัดเขินและใจเต้นแรงราวตอนมีรักครั้งแรก
หลี่เฉิงเจี๋ยหัวเสียอย่างหนักจนต้องหันไปใส่เฉียนช่วนจื่ออย่างไม่ใครจะเต็มใจว่า “ให้ซวงเอ๋อร์ไปเอาถ้วยที่ห้องครัวมา แล้วตักอาหารให้เย่เฉินหน่อย”
“ไม่ต้องแล้ว!”
เย่เฉินปฏิเสธทันควัน “เดิมทีผมเองก็ไม่มีแก่ใจจะกินอะไร เมื่อครู่ผมดื่มน้ำไปแล้ว ไม่หิวเท่าไหร่ ผมอยู่ป้อนลูกสาวผมที่นี่ก็พอ”
ซูมู่ชิงพอจะมองออกว่าชายหนุ่มกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะเรื่องของฉินหงเหยียนคงจะกินอะไรไม่ลงจริงๆ จึงกล่าวอย่างห่วงใย
“เมื่อวานคุณไม่ได้กินอะไรเลยทั้งวัน ไหนจะวันนี้อีก กินสักหน่อยเถอะค่ะ”
หลี่เฉิงเจี๋ยกล่าวพลางหัวเราะร่วน “ลูกผู้ชายไม่กินข้าวสามวันสบายมาก มู่ชิงเรากินกันเถอะ”
เย่เฉินตอนนี้จริงๆ ท้องหิวมาก ผู้ชายที่ออกกำลังกายหนักเย่างเขาปริมาณอาหารที่ต้องการในแต่ละวันนั้นค่อนข้างมาก
และในเวลานี้เองซือซือก็โพล่งออกมา “คุณพ่อหนูอยากกินอาหารฝีมือพ่อค่ะ”
ซูมู่ชิงเองก็ระบายยิ้มน้อยๆ เย่เฉินไม่อยากกินอาหารที่หลี่เฉิงเจี๋ยเอามา แต่ถ้าเป็นของที่เขาทำเองล่ะก็ เขาก็จะได้กินตามสะดวก
แต่หลี่เฉิงเจี๋ยกลับขัดขึ้นว่า “ซือซือกินอาหารบ้านๆ ทำไม อาหารบนโต๊ะที่ลุงสั่งมาให้หนูเนี่ยเป็นฝีมือเชฟที่ทำงานเลี้ยงระดับประเทศเลยนะ หนูลองชิมก่อนอร่อยกว่าอาหารบ้านๆ ที่หนูอยากกินแน่ๆ!”
แต่ซูมู่หลินกลับขัดขึ้นมาว่า “บางครั้งอาหารในร้าน ต่อให้อร่อยมากขนาดไหนก็ไม่เท่าอาหารบ้านๆ หรอกค่ะ”
หลี่เฉิงเจี๋ยกลับระเบิดเสียงหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง “มู่ชิง คุณไม่ค่อยออกบ้านกับคุณปู่คุณ มิน่าล่ะถึงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรตอนผมเด็กๆ เคยติดตามคุณปู่ไปงานเลี้ยงของประเทศฝรั่งเศสที่ปาแลเดอเลลีเซ เลยได้ลิ้มลองรสชาติ ‘ซุปทรัฟเฟิล’ ถ้วยแรกในชีวิตผม สุดยอดไปเลย! แล้วไม่ได้มีแค่ซุปนะ แต่ยังมีอาหารอีกหลายอย่าง รสชาติของมันทำให้คนลืมไม่ลงเลย!
ต่อมาเรายังได้ไปหาเชฟที่ทำอาหารในงานเลี้ยงวันนั้น เลยได้รู้มาว่าเขาเป็นเชฟชาวฝรั่งเศส ไม่สิเชฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่างปอล โบคูเซ่! หลังจากนั้นทุกครั้งที่เราไปฝรั่งเศสก็จะไปพบเขา มู่ชิงถ้าคุณเคยกินอาหารฝีมือเขา คุณถึงจะรู้ว่าฝีมือในการทำอาหารของคนปกติกับเชฟต่างกันราวฟ้ากับเหว! เสียดายที่เขาเสียไปแล้ว ต่อไปเราเลยไม่มีทางได้กินอาหารฝีมือเขาอีก”
เย่เฉินชะงักไปเล็กน้อย แล้วคิดในใจ “คิดไม่ถึงว่าหลี่เฉิงเจี๋ยนี่จะเคยกินอาหารฝีมือเชฟโบคูเช่ด้วย? ถือว่าใช้ได้เลย!”
หลี่เฉิงเจี๋ยแสร้งวางท่าต่อหน้าว่าที่คู่หมั้น เพื่อจะบอกหญิงสาวว่าตนเองเคยไปกินข้าวที่งานเลี้ยงของฝรั่งเศส แล้วยังเป็นอาหารฝีมือของเชฟที่เก่งที่สุดในโลกเสียด้วย
ทว่าหลี่เฉิงเจี๋ยไม่ได้รู้เลยว่าโบคูเซ่เองก็รู้จักกับเย่เฉิน!
อีกทั้งยังได้บอกสูตรลับของอาหารที่เขาไม่บอกใครให้เย่เฉินสองจาน!
เย่เฉินไม่พูดอะไร แต่หันไปส่งยิ้มให้ซือซือ “ได้สิคะ พ่อจะไปทำอาหารหาให้หนูเอง”
เมื่อึงห้องครัว สาวใช้ของซูมู่ชิงซวงเอ๋อร์ก็กุลีกุจอเดินมาแล้วกล่าวกับเย่เฉินด้วยความเคารพ “คุณชาย คุณจะทำอะไรคะ เดี๋ยวฉันช่วยเป็นลูกมือให้”
เย่เฉินรู้จักกับซวงเอ๋อร์ตั้งแต่เขามาเมื่อครั้งก่อน เด็กสาวเป็นคนน่ารักและนิสัยดี เจ้าหล่อนมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น
เย่เฉินจึงรื้อๆ วัตถุดิบในครัวแล้วกล่าว “ช่วยไปซื้อทรัฟเฟิล ตับห่าน เนื้อไก่ให้ผมหน่อย ส่วนเรื่องเงิน คราวหน้าเดี๋ยวผมจ่ายให้ได้ไหม?”
ซวงเอ๋อร์รีบร้อนกล่าว “ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณชายจะให้เงินทำไมกัน คุณชายคิดเสียว่าตัวเองเป็นเจ้านายที่นี่ก็พอ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
เย่เฉินเห็นท่าทางคล่องแคล่วของอีกฝ่าย ก็พลันคิดในใจเจ้านายเป็นอย่างไรสาวใช้ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
เจ้านายทั้งอ่อนโยนในดี สาวใช้เองก็อ่อนหวานมีน้ำใจ
ตอนซวงเอ๋อร์ซื้อวัตถุดิบกลับมา เย่เฉินก็จัดการทำ Loup en Croûte ซึ่งอาหารจานนี้ก็เป็นหนึ่งในซิกเนอเจอร์ของโบคูเซ่ สามารถพูดได้ว่านี่เป็นอาหารที่ต้องมีในงานเลี้ยง!
แต่หลังจากที่เขาจากไป ก็ไม่ค่อยมีคนทำอาหารจานนี้เป็น ดังนั้นบนโต๊ะอาหารจึงไม่มีเมนูอาหารนี้อีก
แต่เย่เฉินบังเอิญทำอาหารจานนี้อร่อยที่สุด ในสองจานที่เขาได้เรียนรู้มา
ไม่นานนักเย่เฉินก็ทำอาหารสองจานเสร็จแล้ววางอาหารไว้บนโต๊ะ
ตาหลี่เฉิงเจี๋ยเบิกกว้าง “Loup en Croûte? ซุปทัฟเฟิล? นายทำหมดเลยเหรอ”
หลี่เฉิงเจี๋ยแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง!
เดิมทีตัวเขาเองก็เป็นนักกิน ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ตัวใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งในอาหารสองจานนี้เป็นอาหารที่หลี่เฉิงเจี๋ยชอบกินมากตั้งแต่เด็กพอดี!
เขามองปราดเดียวก็รู้เลยว่าอาหารจานนี้น่าจะมีรสชาติดีตั้งแต่ที่เห็นหน้าตาของมัน!
หลี่เฉิงเจี๋ยทนไม่ไหวจนน้ำลายแทบไหล!
เย่เฉินกล่าวพลางระบายยิ้ม “หรือว่าอาหารสองจานนี้ผมก็ให้คนอื่นทำให้หรือครับ”
“ซือซือรีบมาชิมซุปทรัฟเฟิลเร็วว่ารสชาติเป็นไง”
ซือซือรีบร้อนพยักหน้า “ได้ค่ะ!”
บนหน้าซุปมีพายชีสปะกบอยู่ หน้าตาของมันน่ารักเหมือนเห็ดหอม ทว่าซือซือถือช้อนแล้วเก้ๆ กังๆ
“คุณพ่อคะ อันนี้กินยังไงคะ?”
เย่เฉินยังไม่ทันได้ตอบ จู่ๆ หลี่เฉิงเจี๋ยก็ถือช้อนแล้วกล่าว “ซือซือ เราต้องจิ้มพายเข้าไปนะ ใช้ช้อนเคาะเปลือกพายแล้วค่อยใช้ช้อนตักซุปมากิน”
“เดี๋ยวลุงทำให้หนูดูนะ!”
หลี่เฉิงเจี๋ยได้กลิ่นหอมอลอวน ก็กลืนน้ำลาย เตรียมจะชิมอาหาร
แต่เย่เฉินกลับโพล่งออกมา “หลี่เฉิงเจี๋ย ผมอนุญาตให้คุณกินแล้วเหรอ!”