เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 372 แยกห้องนอนหลังแต่งงาน
- Home
- เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)
- ตอนที่ 372 แยกห้องนอนหลังแต่งงาน
ตอนที่ 372 แยกห้องนอนหลังแต่งงาน!
หลี่เฉิงเจี๋ยเป็นพวกปิตาธิปไตย เป็นคนที่แสนจะรักหน้าตัวเอง พอรู้ว่าคู่หมั้นของตนเองอยู่ในห้องเดียวกับผู้ชายคนหนึ่งทั้งคืนก็โวยวายทันที
ส่วนซูมู่ชิงกก็รีบร้อนผุดลุกขึ้นมา“หลี่เฉิงเจี๋ยคุณพูดอะไรต้องมีหลักฐานนะคะ คุณไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้วทำไมมากล่าวหาฉันกับเย่เฉินแบบนี้?”
เย่เฉินไม่พอใจอย่างมาก พวกเขาสามคนกำลังกินอาหารเช้าอย่างมีความสุขอยู่ พอหลี่เฉิงเจี๋ยมาก็ทำลายบรรยากาศดีๆ จนพังหมด
เย่เฉนิวางมีดลงแล้วกล่าวกับหลี่เฉิงเจี๋ย “ถ้าคุณชอบหมวกสีเขียวมากนักล่ะก็ ผมให้หมวกของทีมบอสตัน เซลติกส์ที่มีลายเซ็นของคือเควิน การ์เน็ตก็ได้ ของจริงนะ เอาไหม?”
ทีมบอสตัน เซลติกส์เป็นทีม NBA ชื่อดังอเมริกา ทีมนี้มีสีประจำทีมเป็นสีเขียว ทั้งหมวก เสื้อล้วนแต่เป็นสีเขียวทั้งสิ้น
“แก…”
หลี่เฉิงเจี๋ยโกรธจนกัดฟันกรอด เย่เฉินปากเสียยสุดๆ ไม่ว่าจะเชือดเฉือนกันด้วยกำลังหรือวาจา หลี่เฉิงเจี๋ยก็เอาชนะเขาไม่ได้!
ที่น่าโมโหที่สุดคือเควิน การ์เน็ตเป็นนักกีฬา NBA ที่หลี่เฉิงเจี๋ยชอบที่สุด เขาอยากได้หมวกพร้อมลายเซ็นของอีกฝ่ายจริงๆ
ซูมู่ชิงไม่อยากให้ทั้งสองคนทะเลาะกันต่อจึงกล่าว “หลี่เฉิงเจี๋ยฉันมีอะไรจะคุยกับคุณ”
หลี่เฉิงเจี๋ยแค่นเสียง “พอดีเลย ผมก็มีอะไรจะคุยกับคุณเหมือนกัน!”
ซูมู่ชิงกล่าว “ไปคุยกันในห้องฉันแล้วกัน”
เห็นท่าทางไม่พอใจของหลี่เฉิงเจี๋ย เย่เฉินก็กังวลว่าอีกฝ่ายจะลงมือทำร้ายหญิงสาว เขาจึงกล่าวกับร่างบางตรงหน้า “มู่ชิง มีอะไรเรียกผมนะ”
“ค่ะ” ซูมู่ชิงเองก็หันไปพยักหน้าให้เย่เฉินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
แววตาของเย่เฉินและหลี่เฉิงเจี๋ยเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและไม่เป็นมิตร ขณะประสานสายตาเข้าหากัน
เมื่อมาถึงห้องนอนของหญิงสาว หลี่เฉิงเจี๋ยก็มัวเมาไปกับกลิ่นที่ปรับอากาศในห้องนอนร่วมไปถึงกลิ่นเรือนกายของหญิงสาว
หลี่เฉิงเจี๋ยมองหญิงสาวแสนสวยตรงหน้า น้ำเสียงก็อ่อนลง “มู่ชิง เราย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันเถอะ”
“อะไรนะ?” ซูมู่ชิงประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าหลี่เฉิงเจี๋ยจะยื่นข้อเสนอว่าอยากจะให้หล่อนย้ายไปอยู่กับเขา
หลี่เฉิงเจี๋ยกล่าว“ที่จริงอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ 1 เมษายนแล้ว ผมหวังว่าเราจะอยู่ด้วยกัน แบบนี้ถ้าคุณหรือซือซือไม่สบาย ผมจะได้ไปส่งพวกคุณไปโรงพยาบาลในทันที ผมไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบคืนก่อนอีก ถ้าเรื่องนี้มีคนรู้เข้า คุณจะให้ผมเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” /
ซูมู่ชิงก้มหน้างุดพลางกล่าว “ที่จริงฉันเองก็อยากคุยเรื่องนี้พอดี”
หลี่เฉิงเจี๋ยยินดีอย่างยิ่ง “คุณอยากจะอยู่กับผมก่อนแต่งเหรอ? ดีจังเลย งั้นเรารีบย้ายไปที่บ้านผมเดี๋ยวนี้เลย!”
เขาพูดพลางคว้ามือนวลเนียน อยากจะลากหญิงสาวออกไปด้วย
หลี่เฉิงเจี๋ยอยากจะครอบครองหญิงสาวที่งามล่มเมืองอย่างซูมู่ชิงนี้อย่างซูมู่ชิงมานานแล้ว อย่าได้คิดว่าหญิงสาวกำลังจะเป็นจ้าสาวของเขาแล้วเขาจะไม่ร้อนรน
ตอนยังไม่ได้ฤกษ์แต่งงานยังพอว่า แต่พอมีวันเวลาที่กำหนดแน่ชัดแล้ว หลายวันมานี้ของหลี่เฉิงเจี๋ยก็ยิ่งผ่านไปเชื่องช้ากว่าที่เคย!
เขาอยากจะให้เวลาสิบวันนี้ผ่านไปให้เร็วกว่านี้ เพื่อจะได้ข้ามไปค่ำคืนในวันที่เขาสองคนจะร่วมหอกัน
ซูมู่ชิงปล่อยมือหลี่เฉิงเจี๋ยแล้วกล่าว “คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันจะคุยเรื่องการใช้ชีวิตร่วมกันหลังแต่งงานของเรา”
หลี่เฉิงเจี๋ยสับสน “หลังแต่งงานแล้วอยู่ด้วยกันมันมีอะไรต้องตกลงเหรอ?”
สามีภรรยากันอยู่ด้วยกันมันมีอะไรไม่สมควรเหรอ?
ซูมู่ชิงกล่าวว่า “ฉันหวังว่าหลังแต่งงานเราจะแยกห้องนอนกัน”
“คุณพูดอะไรนะ?” หลี่เฉิงเจี๋ยฉุนจัด “แยกห้องนอน? คุณเห็นผมเป็นตัวอะไร? คุณคิดว่าผมเป็นคนแต่งเข้าบ้านคุณเหรอ? ผมแต่งงานกับคุณอย่างยิ่งใหญ่ คิดไม่ถึงว่าคุณจะกล้าแยกห้องนอนกับผม?”
และเป็นอย่างที่ซูมู่ชิงคาดการณ์เอาไว้จริงๆ หลี่เฉิงเจี๋ยโวยวายและคัดค้านหัวชนฝา รู้สึกว่านี่เป็นการเหยียดหยามเขาเหลือเกิน
เย่เฉินเองก็เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน
เขาแต่งงานกับหวังเจียเหยามาสามปียังไม่เคยร่วมห้องกับหญิงสาวแม้แต่ครั้งเดียว ในสายตาคนนอกเขาไร้ศักดิ์ศรีในฐานะลูกผู้ชายอย่างมาก
นี่เป็นเงื่อนไขที่ไม่ว่าผู้ชายปกติคนไหนๆ ก็รับไม่ได้ทั้งสิ้น
ซูมู่ชิงอธิบาย “เฉิงเจี๋ย ฉันไม่ได้ถูกคุณนะคะ ที่ฉันทำแบบนี้เพราะเพราะฉันจำเป็น เพราะฉันมีโรค ฉันเลยไม่สามารถมีสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากับคุณได้”
“เป็น…เป็นโรค?”
หลี่เฉิงเจี๋ยถอยร่นไปอย่างไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าเขากลัวหญิงสาว
หรือว่าซูมู่ชิงไม่ได้ใสสะอาดเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของหล่อน? หรือว่าหล่อนมีประวัติที่เหลวแหลกเหรอ?
ซูมู่ชิงเองก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจว่าตนเองเป็นผู้หญิงเหลวแหลก “ฉันหมายถึงโรคทางจิต
“โรคทางจิตใจเหรอ? จิตใจจะมีโรคอะไรได้?” หลี่เฉิงเจี๋ยซักไซร้
โรคนี้ซับซ้อน ถ้าซูมู่ชิงแจกแจงให้ลชอย่างละเอียดละก็ หล่อนจำเป็นต้องเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบทั้งหมดให้เขาฟัง
ซูมู่ชิงไม่อยากให้ลชขรู้ว่าตอนนี้ตนเองยอมตกเป็นของเย่เฉินได้แค่คนเดียว
ดังนั้นหล่อนจึงกล่าว “เป็นโรคที่ซับซ้อนอยู่เหมือนกัน ฉันเองก็พูดไม่ถูกหรอกค่ะ สรุปคือ ฉันขอใช้ฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลซูสาบานกับคุณว่าฉันไม่ได้หลอกคุณ ฉันเองก็ทำอะไรไม่จริงๆ หวังว่าคุณจะเข้าใจ เรารู้จักกันไม่ใช่แค่ปีสองปี คุณน่าจะรู้จักฉันดีว่าฉันไม่มีทางหลอกคุณ”
หลี่เฉิงเจี๋ยเองย่อมรู้จักนิสัยของหญิงสาวเป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่อยากจะแต่งงานกับหล่อนขนาดนี้!
แต่ในฐานะที่เขาเป็นคู่หมั้นของซูมู่ชิง เขาเองก็อยากรู้จริงๆ ว่าหญิงสาวป่วยเป็นอะไรกันแน่!
หลี่เฉิงเจี๋ยลำบากใจทันที ถ้าหากว่าซูมู่ชิงมีโรคเช่นนี้จริงๆ งั้นเขาแต่งงานกับหญิงสาวแล้วจะมีประโยชน์อะไร?
ซูมู่ชิงเองก็รู้สึกผิด หญิงสาวกล่าว “ขอโทษด้วยนะ พี่เฉิงเจี๋ย ถ้าคุณรับไม่ได้ ก็ยกเลิกงานแต่งานก็ได้ค่ะ เราจะทำแถลงการณ์ขอโทษและชดใช้ให้คุณ”
หลี่เฉิงเจี๋ยตื่นตูมทันที “ขอยกเลิกการแต่งงานเหรอ? เป็นไปไม่ได้! คนทั้งเมืองหลงล้วนแต่รู้ว่าผมจะแต่งงงาน คนที่มีหน้ามีตาในสังคมของประเทศนี้จะมาเข้าร่วมงานแต่งของผมในวันที่ 1 เดือนเมษายน! ผมไม่ยอมกลายเป็นตัวตลกในสายตาพวกเขาแน่!”
ซูมู่ชิงเห็นหลี่เฉิงเจี๋ยแน่วแน่อยากแต่งงานกับตนเองก็กล่าวต่อ “ไม่งั้นหลังจากแต่งงานแล้ว คุณค่อยแอบหาผู้หญิงคนอื่นแล้วกัน ฉันจะปิดตาข้างหนึ่ง ขอแค่อย่าหักหน้าตระกูลซูมากไป ฉันก็จะแล้วแต่คุณ”
คิดไม่ถึงว่าซูมู่ชิงจะยอมให้หลี่เฉิงเจี๋ยผู้หญิงคนอื่นในขณะที่แต่งงานกัน!
หลี่เฉิงเจี๋ยลิงโลด ถึงแม้ว่าเขาเองก็ตั้งใจแบบนี้ตั้งแต่แรกเช่นกัน!
!”
แต่ว่าหลี่เฉิงเจี๋ยเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขารีบปฏิเสธทันที “ไร้สาระ! ซูมู่ชิง คุณเห็นผมเป็นตัวอะไร? หลังจากที่ผมแต่งงานกับคุณแล้วผมย่อมต้องรักคุณและซื่อสัตย์กับคุณคนเดียว จะให้ทำเรื่องผิดต่อคุณและผิดต่อตระกูลซูได้ยังไง! เราค่อยคุยเรื่องนี้กันวันหลัง ในเมื่อคุณไม่สบาย ก็พักผ่อนเยอะๆ เถอะนะ ผมไปล่ะ!”
พูดจบหลี่เฉิงเจี๋ยก็เดินออกจากประตู ออกไปจากบ้านของซูมู่ชิง
เมื่อเดินออกมาจากเรือนสี่ประสานและทรุดตัวนั่งลงบนรถ SUV แล้ว หลี่เฉิงเจี๋ยก็หันไปสั่งเฉียนช่วนจื่อ
“ไปลองตามสืบมาให้ฉันทีว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ไม่สิ สามปีที่ผ่านมา ลองไปดูบันทึกเวชระเบียนของแต่ละโรงพยาบาลแล้วพาตัวหมอทุกคนทีเคยรักษาหล่อนมาพบฉันที!”
“ครับ! คุณชายหลี่นี่คุณคิดจะทำอะไร?”
“ฉันอยากจะรู้ว่าหล่อนป่วยเป็นอะไรกันแน่!”