เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 465 ทำให้ทั้งงานตกตะลึง
ตอนที่ 465 ทำให้ทั้งงานตกตะลึง!
G Minor Bach เป็นเพลงที่ถูกปรับแก้มาจาก Prelude and Fugue No 2 BWV 847 ที่เจิ้งหงเพิ่งเล่นเมื่อครู่
เย่เฉินคนนี้ชอบใช้วิธีย้อนเอาคืน แล้วเพื่อให้เรื่องจบ
ในเมื่อคุณเล่นเพลงของ Bach งั้นผมก็จะเล่นบทเพลงของ Bach เหมือนกัน
ส่วนเพลง G Minor Bach ที่เย่เฉินเล่นนั้นกลับประทับจิตประทับใจของแขกเหรื่อทุกคนในงาน
บทเพลงบทนี้น่าจะถูกเปิดอย่างน้อยๆ หลายสิบล้านครั้ง ต่อให้ไม่ใช่คนที่เล่นเปียโนไม่ฟังเพลงคลาสสิคก็ต้องเคยฟังมาก่อน
เจิ้งหงย่อมเคยได้ยินมาก่อน เขารู้ว่าความเร็วของบทเพลงนี้อยู่ที่ประมาณ 100 เทมโป ถ้าจะเล่นบทที่มีความเร็วขนาดนี้โดยที่มองไม่เห็นนั่นเป็นไปไม่ได้!
ถ้าเย่เฉินเล่นเพลงง่ายๆ อย่าง twinkle little star เจิ้งหงคงไม่รู้สึกแปลกใจ
แต่ถ้าจะให้บรรเลงบทเพลงที่มีทำนองค่อนข้างไวแถมยังต้องใช้มือซ้ายและขวาสอดประสานกันแถมยังมองไม่เห็นอีก เจิ้งหงไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีคนทำได้!
เมื่อโดนเจิ้งหงท้าทาย เย่เฉินก็แค่นเสียง “ยกให้ฉันเป็นครูงั้นเหรอ? ขอโทษทีนะ คุณไม่มีสิทธิ์! ผมไม่รับลูกศิษย์หลงตัวเอง!”
“แก…”
เจิ้งหงโกรธจัด แต่ก็ไม่ได้ทะเลาะกับเขาต่อ อย่างไรเสียตอนนี้เย่เฉินดิ้นรนจะทำในสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้ เจิ้งหงก็อยากจะดูว่าเย่เฉินจะหาทางลงยังไง!
เดี๋ยวตอนที่เย่เฉินปิดตาเล่นดนตรีแล้วทำพังยับเยิน เจิ้งหงค่อยเยาะเย้ยเขาก็ยังไม่สาย!
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ เย่เฉินวางมือลงบนเปียโน ส่วนซูมู่ชิงตอนนี้ก็ประคองฝ่ามือของเย่เฉินแล้วบอกเขา “ที่รัก นี่คือ C กลางนะคะ”
“ครับ”
เย่เฉินแสร้งทำเป็นไม่เห็นแต่อาศัยการชี้แนะจากภรรยาเพื่อจำแนกตำแหน่งของเปียโน
หลังจากนั้น
“โด เร มี….”
เสียงเปียโนที่เสนาะหูดังขึ้นมาในทันที!
มือสองข้างของเย่เฉินพริ้วไหวบนเปียโน ความเร็วที่บรรเลงเป็นเหมือนบทเพลงต้นฉบับ ไม่ได้เล่นช้าลงเพราะความมองไม่เห็น และไม่ด้อยไปกว่ากันแม้แต่น้อย!
เจิ้งหงคนนี้มีพรสวรรค์อยู่บ้างเล็กน้อย เขาไม่เพียงแต่บรรเลงบทเพลงได้เก่งกว่าใครๆ แต่ยังมี Perfect Pitch ด้วย
ถ้าเย่เฉินเล่นผิดคีย์แม้แต่โน้ตเดียว หรือมีคอร์ดผิดแปลกออกมา เจิ้งหงก็จะจับได้ในทันที!
แต่ว่าเย่เฉินเล่นไปสิบกว่าวินาที เจิ้งหงก็ตกอยู่ในความตื่นตระหนก เขาเล่นไม่ผิดเลยแม้แต่โน้ตเดียว
“นี่เป็นไปได้อย่างไร!”
เจิ้งหงมองเย่เฉินอย่างตกตะลึง
“มีลูกชายทั้งทีต้องเอาให้มีแบบเย่เฉิน!”
พ่อตาของเย่เฉินอย่างซูหมิงเจ๋อเห็นลูกเขยตนเองบรรเลงโดยไม่มองก็ถอนหายใจ ยิ้มอย่างพอใจ
ส่วนซูเจิ้นหางเองก็ตกใจ “ตระกูลเย่อบรมเขาแบบไหนกัน! คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถเล่นเปียโนโดยไม่มองก็ได้! สุดยอดจริงๆ!”
กระทั่งจางเชี่ยนจือยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น “เย่เฉิน…เก่งขนาดนี้เลยเหรอ?”
หล่อนหวังว่าลูกเขยของตนเองเป็นคนไร้ประโยชน์ หล่อนจะได้จัดแจงให้ลูกสาวหย่ากับเขาได้โดยไม่ต้องกังวล
แต่ว่าความเก่งของเย่เฉิน ทำให้แม่ยายอย่างหล่อนชื่นชมเขา!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแขกในงาน พวกเขาตกใจพูดไม่ออก
ส่วนคนเดียวในงานที่ไม่ควรจะตกใจอย่างซูมู่ชิง เพราะหล่อนรู้ว่าสามีแกล้งตาบอด
แต่หล่อนก็ยังตกใจอยู่ดี!
นั่นเพราะหล่อนพบว่าสามีไม่ได้ก้มหน้าก้มตาเล่นเปียโน แต่เขาหลับตาแล้วแล้วแหงนหน้า
“เขา…ปิดตาเล่นจริงๆ!”
แค่เพลงของ BACH แค่บทเดียว เย่เฉินทำไมจะต้องโกงเพียงเพื่อจะเอาชนะเจิ้งหงด้วย ต่อให้ปิดตาเล่นก็เถอะ! เย่เฉินก็ยังเล่นได้ดีเหมือนเดิม!
“ที่รัก…”
เห็นเย่เฉินเก่งขนาดนี้ ซูมู่ชิงก็ยิ่งเลื่อมใสศรัทธาในตัวสามียิ่งกว่าเดิม
นี่เป็นบทเพลงที่ทั้งไพเราะและทให้คนเศร้าไปพร้อมๆ กัน มันทำให้คนดำดิ่งลงไปใส่โลกแห่งจินตนาการ
ตอนแรกเริ่มทุกคนต่างกำลังตะลึงเย่เฉินว่าทำไมเขาจึงปิดตาเล่นได้ หนึ่งนาทีต่อไปทุกคนก็ลืมเรื่องนี้ไป
นั่นเพราะพวกเขาต่างก็กำลังดื่มด่ำไปกับโลกของเสียงดนตรี
แน่นอนว่าเย่เฉินไม่สามารถจะปิดตาเล่นได้ทั้งหมดจริงๆ มีบางครั้งที่เขาอาจจะก้มหน้าเหลือบมองนิดหน่อย
แต่ใครก็ไม่เห็น ในเวลาเดียวกันภายในสวนมีพนักงานสาวในชุดกี่เพ้าที่สั่งทำเป็นพิเศษของโรงแรม มองเย่เฉินอย่างโง่งม แล้วหลั่งน้ำตาอย่างอดไม่ได้
พนักงานสาวคนนี้ใบหน้างดงาม สเน่ห์ของผู้หญิงบานสะพรั่ง ส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นชัดภายใต้ชุดกี่เพ้า งดงามจับใจ
“ดวงตาของเขาไม่ได้เป็นไร…เขาไม่ได้ตาบอด…”
หญิงสาวยิ้มอย่างดีใจไปพร้อมๆ กับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า
แล้วเมื่อบรรเลงจบ ในงานก็เต็มไปด้วยเสียงปรบมือที่ดังกึกก้อง!
เสียงดังกึกก้องกว่าการแสดงของเจิ้งหงก่อนนี้เป็นสิบเท่า!
“สุดยอด! ปิดตาเล่นได้แบบนี้ ฉันยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้!”
“ระดับความรู้ด้านเปียโนของลูกเขยของตระกูลซูเกรงว่าจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้วล่ะมั้ง”
“ท่านซู หลานเขยของท่านเป็นอัจฉริยะนี่นา!”
ซูเจิ้นหางหัวเราะร่วน “ชมเกินไปแล้วๆ”
เจิ้งหงรู้สึกอับอายขายหน้า คิดไม่ถึงว่าตนเองจะสู้คนตาบอดไม่ได้ด้วยซ้ำไปงั้นเหรอ?
เจิ้งหงเดินมาหยุดตรงหน้าเย่เฉินอล้วถามอย่างสงสัย“เย่เฉิน นายแกล้งตาบอดหรือเปล่า? นายมองเห็นแล้วแกล้งทำหรือเปล่า แล้วหลอกลวงคนอื่นเพื่อให้ทุกคนคิดว่านายตาบอด? ”
เมื่อฟังมาถึงแบบนี้หลิ่วอวี่เจ๋อก็หันมองเย่เฉินอย่างตั้งใจ
เย่เฉินตอบเนิบๆ “คุณสงสัยว่าผมแกล้งทำเป็นตาบอดเหรอ? ง่ายมาก งั้นเดี๋ยวผมถอดแว่นตาดำแล้วใช้มือปิดตาผมนะ ผมจะเล่นอีกครอบ ถ้าหากว่าผมยังเล่นโดยไม่ต้องมองได้ งั้นคุณต้องโขกศีรษะให้ผมสิบรอบ แล้วเรียกผมว่าคุณปู่ เป็นไง?”
เจิ้งหงไม่กล้าเดิมพันอีกแล้ว เพราะว่าเมื่อครู่เขาเห็นว่าส่วนมากเย่เฉินไม่เหลือบมองเปียโนด้วยซ้ำ
“ฮ่าๆ…” เจิ้งหงหัวเราะร่วน “ฉันยอมรับว่านายเล่นเปียโนเก่งกว่าฉัน แต่ฉันไม่ได้เป็นแค่เปียโน ฉันทำได้ทุกอย่าง!”
เย่เฉินตอบ “คนที่ผมอยากสั่งสอนในวันนี้คือคนที่คุยโวว่าตัวเองทำเป็นทุกอย่างแบบคุณ!เมื่อครู่คุณบอกว่าจะโชว์ดังก์บาสใช่ไหม? งั้นผมแสดงบ้างแล้วกัน”
เมื่อเขากล่าวก็ทำให้ทุกคนตกใจจนงุนงงกันไปหมด
“อะไรนะ? เขยตระกูลซูจะแสดงดังก์บาสเหรอ?”
“ฉันไม่ได้ฟังผิดจริงเหรอ? คนตาบอดขนาดเดินก็ยังเป็นปัญหา เขายังคิดจะดังก์บาสอีกเหรอ?”
เจิ้งหงเองก็ยังตกใจ “ดังก์บาสทั้งที่มองไม่เห็น!”
ที่จริงแล้ววำหรับคนที่ชอบเล่นบาสแล้ว การดังก์บาสแบบนี้ก็เคยปรากฏมาก่อน!
ปี 1999 ในการแข่งขันดังก์บาสของ NBA ดี บราวน์เจ้าของท่า No-Look Dunk ได้ใช้มือปิดตาดังก์บาส เอาชนะชอว์น เคมป์มาได้ทำให้กลายเป็นแชมป์ขิงการแข่งขันดังก์บาสของปีนั้น!
“ไม่…เป็นไปไม่ได้… เขาไม่มีทางทำท่า No-Look Dunk ต่อให้ตอนที่ดี บราวน์กระโดดก่อนถึงจะเริ่มปิดตา แต่ก่อนนั้นเขามองแป้นบาสตลอด”
“ตอนนี้เย่เฉินมองไม่เห็นอะไร กระทั่งแป้นบาสอยู่ไหนยังไม่รู้ เขาจะดังก์บาสได้ยังไง!”
ในงานเกิดเสียงฮือฮาอย่างรวดเร็ว ซูเจิ้นหางก็ลุกยืนขึ้นแล้วกล่าวกับคนตระกูลซูที่อยู่โต๊ะด้านหน้า
“ถ้าหากว่าเย่เฉินสามารถดังก์บาสทั้งที่เขาตาบอด ฉันไม่อยากจะได้ยินคำพูดที่พูดว่าเป็นขยะหรืออะไรแบบนี้อีก!”
คำพูดนี้บอกกับจางเชี่ยนจือชัดๆ จางเชี่ยนจือเอาแต่คิดว่าเย่เฉินตาบอดจนทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ถ้าหากว่าเย่เฉินยังสามารถดังก์บาสได้สำเร็จล่ะก็เท่ากับว่าเขาสามารถตบหน้าแม่ยายตนเองอย่างแรง!