เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?) - ตอนที่ 89 แกล้งทำเป็นยังไม่ได้หย่า!
- Home
- เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)
- ตอนที่ 89 แกล้งทำเป็นยังไม่ได้หย่า!
คุณนายหวังคิดจะอาศัยโอกาสที่ชีวิตของคุณย่าเล็กใกล้จะถึงฝั่ง สร้างโอกาสให้หวังเจียเหยาและเย่เฉิน
มีเพียงสิ่งเดียวที่ยืนยันไม่ได้นั่นก็คือเย่เฉินจะรับปากหรือไม่
อย่างไรเสียเย่เฉินก็หย่ากับหวังเจียเหยาแล้ว เขาไม่ใช่คนตระกูลหวังแล้ว
และยังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคนตระกูลหวังอีก ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นเพียงญาติห่างๆ อย่างน้องสาวของปู่หวังเจียเหยาอีกต่างหาก ดังนั้นครอบครัวหวังจื้อหย่วนจึงไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย
หวังจื้อเฉียงกล่าวว่า “คุณแม่น่ะ ท่านมีเจตนาที่ดีจริงๆ แต่เจียเหยาก็อย่าดีใจเกินไปนักล่ะ เด็กคนนั้นใจแข็งจะตายไป ปล่อยเธอคุกเข่ากลางสายฝนตั้งสองชั่วโมงยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังแนะนำคนพิการให้เจียเหยาอีก ฮ่าฮ่า ฉันว่าเขาคงจะไม่ยอมแกล้งทำเป็นสามีภรรยากับเธอเพียงเพราะเรื่องย่าเล็กหรอก”
หวังเจียเหยากัดริมฝีปาก หล่อนเองก็สงสัยว่าเย่เฉินจะไร้หัวใจแบบก่อนหน้านี้หรือเปล่า
แต่ว่าหล่อนยังรวบรวมความกล้าโทรศัพท์หาเย่เฉิน และบอกเขาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยร้อนรนเหมือนที่คุณย่าบอก
เย่เฉิน พ่อบ้านฟางและหลานชายเขายังคงนั่งกินข้าวกันที่เรือนหลงจิ่งอยู่ ทันใดนั้นเองหวังเจียเหยาก็โทรศัพท์มา
เย่เฉินเห็นหวังเจียเหยาโทรมาก็คิดในใจ “หรือว่ากลับไปคิดได้แล้วคิดว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เลวเลยเสียใจภายหลังขึ้นมา?”
พูดตรงๆ เขาค่อนข้างชื่นชมหล่อนทีเดียวที่เมื่อครู่ปฏิเสธการนัดดูตัวของเขา หนำซ้ำยังสาดน้ำชาใส่หน้าเขาด้วยโทสะ
นี่แปลว่าหล่อนไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงิน แต่หล่อนยังคงรักในเกียรติและศักดิ์ศรีของตนเองอยู่
สิ่งที่เย่เฉินรังเกียจที่สุดก็คือการที่หวังเจียเหยาเห็นแก่เงินจนดูถูกตนเอง ตัวหล่อนเองเดิมเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง
“ฮัลโหล” เย่เฉินรับสาย
“เย่เฉิน…”
ทันทีที่เปิดปากหวังเจียเหยาก็สะอึกสะอื้น เศร้าเสียใจอย่างยิ่ง
เย่เฉินกล่าวว่า “คุณไม่ต้องร้องไห้แล้ว ผมไม่ได้เอาเรื่องเมื่อครู่มาใส่ใจ”
หวังเจียเหยากล่าว “ขอโทษด้วยที่เมื่อครู่สาดน้ำชาใส่นาย ฉันรู้ว่าน้ำไม่ร้อนถึงได้ทำแบบนั้น”
“แต่ที่ฉันโทรหานายไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก แต่คุณย่าเล็กกำลังจะเสียแล้ว”
“อะไรนะ? คุณย่าเล็ก…”
เย่เฉินร้อนรนทันที
หวังเจียเหยากล่าวว่า “เมื่อกี้คนที่บ้านนั้นโทรมาบอกว่าย่าเล็กอาจจะอยู่ต่อได้อีกไม่กี่วัน อาจจะคืนนี้หรืออาจจะคืนพรุ่งนี้”
เย่เฉินที่กำลังกินข้าววางตะเกียบลง แล้วใช้มือข้างหนึ่งนวดขมับแล้วถอนหายใจยาว
คนตระกูลหวัง เพราะปู่ของหวังเจียเหยาเสียไปเร็ว ไม่ได้อยู่จนการแต่งเข้าของเย่เฉินสิ้นสุดลง
ส่วนคนอื่นๆ ก็ปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชา
มีแค่คุณย่าเล็กของหวังเจียเหยาคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เห็นเย่เฉินเป็นเขยที่แต่งเข้ามาก่อน แถมยังดีกับเขาเหมือนๆ กับหวังซ่าวเจี๋ย
คุณย่าเล็กผู้นี้เป็นหนึ่งในหญิงชราที่มีเมตตาที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา
ที่สำคัญที่สุดคือหล่อนยังเป็นผู้มีพระคุณของเขาอีกด้วย!
ผู้มีพระคุณ!
เมื่อครึ่งปีก่อน ตอนนั้นเย่เฉินยังไม่ได้ส่งอาหารเดลิเวอรี่ยังเป็นคนใช้ให้ตระกูลหวังอยู่
วันหนึ่งเย่เฉินมีเพื่อนทหารมาหาเขาที่อวิ๋นโจว เขาจึงไปกินข้าวกับเพื่อนของเขา
คืนวันนั้นเองเย่เฉินรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก
เขาจึงไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอเองก็ไม่เคยเจออาการแบบนี้ สุดท้ายจำเป็นต้องผ่าตัดแต่เงินค่าผ่าตัดรวมๆ แล้วก็หลายแสน
ตอนนั้นคนตระกูลหวังต่างก็ไปเที่ยวที่สวิตเซอร์แลนด์กันหมด เย่เฉินโทรหาหวังเจียเหยาไม่ได้ จึงโทรขอยืมเงินซูหลานและหวังจื้อหย่วน
พอได้ยินว่าหลายแสนทั้งสองคนก็ปฏิเสธทันที แถมยังพูดว่าเย่เฉินแกล้งป่วยอีกด้วย
ตอนนั้นเย่เฉินเจ็บปวดจนทนไม่ไหวจริงๆ จำเป็นต้องได้เงินมาผ่าตัด
แต่คนตระกูลหวังไม่ยอมให้เงินเขา ถ้าโทรขอเงินคนที่บ้าน การทดสอบครั้งนี้ก็จะถือว่าล้มเหลว
ทนทรมานมาตั้งสองปีแล้ว เย่เฉินจึงไม่อยากจะให้เวลาที่ผ่านมาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
คนตระกูลเย่สามรุ่น ตระกูลเย่มีลูกชายสามคน ลูกสาวสี่คน ย่อมมีการแข่งขันกันอยู่แล้ว เขาเองก็ไม่อยากล้มเหลว
ดังนั้นเย่เฉินจึงทดลองโทรหาคุณย่าเล็กของหวังเจียเหยาโดยไม่ได้คาดหวังอะไร
เพราะในความทรงจำของเขา คุณย่าเล็กของหวังเจียเหยาเป็นคนที่ใช้ได้ อีกทั้งยังดีกับเขามาก
ตอนเพิ่งแต่งเข้าตระกูลหวังเป็นเพราะเขาเพิ่งกลับมาจากสนามรบ ตอนนั้นมักจะนอนฝันร้ายพอตื่นมาจิตใจก็จะวุ่นวาย
คุณย่าเล็กของหวังเจียเหยาเห็นเขาไม่ค่อยสดใสก็ถามเขา แล้วเอายาจีนชุดหนึ่งให้เขา
พอเขากินแล้วก็ดีขึ้นมากจริงๆ
เย่เฉินโทรหาคุณย่าของหวังเจียเหยา อีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่โอนเงินเข้าบัญชีเขาทันทีสามแสนหยวน
แล้วยังบอกเขาด้วยว่าหล่อนไม่ได้ต้องการให้เขาคืนเงินก้อนนี้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องบอกคนตระกูลหวัง
เย่เฉินจึงใช้เงินก้อนนี้ไปผ่าตัดทำให้รอดชีวิตมาได้
และหลังจากครั้งนั้น เย่เฉินจึงตัดสินใจไปส่งอาหารเดลิเวอรี่เพื่อหาเงิน แล้วไม่ขอเงินคนตระกูลหวังอีกแม้แต่แดงเดียว!
เช้าวันนั้นที่หวังเจียเหยาจะไปเปิดห้องกับฟางเชา เย่เฉินได้ยินจากหวังเจียเหยาว่าคุณย่าเล็กป่วย หญิงชรายังชวนหวังเจียเหยากับเขาให้ไปหาหล่อนที่หยางหนิงตอนบ่าย
แต่หวังเจียเหยาบอกว่าตอนบ่ายไม่ว่างต้องไปพบลูกค้าเลยปฏิเสธคำเชิญชวนของหญิงชราไป
ต่อมาถึงได้รู้ว่าลูกค้าที่หวังเจียเหยาไปพบคือฟางเชา แถมยังวิ่งไปเปิดห้องกันที่โรงแรมเสียด้วย
“เดือนกว่าแล้ว ถ้าหากย่าเล็กป่วยมาเดือนกว่า นับๆวันดูตอนนี้อาจจจะไม่ไหวจริงๆ”
เย่เฉินไม่คิดว่าหวังเจียเหยากำลังโกหก หล่อนไม่มีทางเอาชีวิตของย่าตนเองมาแต่งเรื่องโกหก
หวังเจียเหยาพูดต่อ “เย่เฉิน ฉันรู้ว่าพวกเราทำไม่ดีกับนาย แต่คุณย่าเล็กเป็นคนที่ใจดีที่สุดในโลก คุณย่าไม่เคยดุด่านายมาก่อน แถมยังให้ของกินของใช้กับนายบ่อยๆ นายพอจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาของเรา ไปส่งคุณย่าที่หยางหนิงเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม?”
“ไม่ได้”
พอได้ยินคำตอบของเขา หวังเจียเหยาก็ใจหาย “ช่างเถอะ ถือว่าฉันไม่ได้ถามนายแล้วกัน”
ใครจะรู้เย่เฉินกลับพูดต่อ “ผมจะไม่ไปเพราะเห็นแก่คุณ แต่ผมจะไปเพราะเห็นแก่บุญคุณของย่าคุณ”
หวังเจียเหยาดีใจอย่างยิ่ง “นายยอมไปเหรอ?”
เย่เฉินกล่าวว่า “ผมติดเงินย่าสามแสน คุณย่าเคยช่วยชีวิตผมไว้ ตอนที่พวกคุณไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์กัน”
หวังเจียเหยาเพิ่งจะคิดออก มิน่าล่ะเย่เฉินถึงได้ไปส่งอาหาร
หล่อนอดกล่าวโทษมารดาตนเองไม่ได้ ถ้าหากว่าตอนที่เย่เฉินโทรมาขอยืมเงินแล้วแม่โอนให้เขา
เย่เฉินก็คงไม่ไปส่งอาหารแล้วก็จะไม่ไปเจอหล่อนเปิดห้องกับฟางเชา หากเป็นแบบนั้นจนถึงตอนนี้เย่เฉินก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองแอบนอกใจเขา
แล้วตอนนี้หล่อนก็จะเป็นหลานสะใภ้ตระกูลเย่ เป็นภรรยาของประธานบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ป!
“คุณแม่นี่จริงๆ เลย ทำลายอนาคตของฉันทั้งชีวิตเพื่อประหยัดเงินไม่กี่แสน!”
หวังเจียเหยากล่าวโทษมารดาตนเองในใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป
หวังเจียเหยาพูดต่อ “เย่เฉิน นายเองก็รู้ว่าคุณย่าเล็กชอบพวกเราสองคนที่สุดแล้ว ถ้าคุณย่ารู้ว่าพวกเราหย่ากันต้องตายตาไม่หลับแน่! ไม่แน่ว่าอาจจะขาดใจตายไปเลยก็ได้!”
เย่เฉินกล่าวว่า “คุณหมายความว่ายังไง?”
หวังเจียเหยากล่าว “ฉันหมายความว่าพวกเราแกล้งทำเป็นไม่หย่ากัน แล้วทำตัวปกติเหมือนเมื่อก่อนเวลาอยู่ต่อหน้าคุณย่าเล็ก”
เย่เฉินหัวเราะแล้วกล่าว “เหมือนเมื่อก่อนเหรอ? ไม่ว่าจะที่ไหนเราเคยจับมือกันหรือไง? ผมแตะขาคุณนิดเดียวคุณก็ด่าผมอยู่ตั้งนาน? นอนก็ยังแยกห้องกันไม่ใช่เหรอ? ก็ได้! ผมทำได้อยู่แล้ว!”