เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 46 - 1 น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 46 - 1 น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้
สีหน้าของกงอิ้นตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน
เหมิงหู่ที่อยู่ข้างรถม้ามีสีหน้าแปลกประหลาด พึมพำกับตนเองว่า “น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้! ยามนี้ยังมีประเพณีนี้อีกหรือ อยู่ดีๆ เหตุใดจึงมาไม้นี้เล่า อีกทั้งผู้ที่มาเหตุใดจึงไม่ใช่แคว้นเซียง?”
“หมายความว่าอะไร” จิ่งเหิงปัวชะโงกหน้าออกไป มองเห็นว่าไกลออกไปมีขบวนแถวสีดำสายหนึ่งทะยานมาดุจมังกรพิโรธ
“โลกมนุษย์จุติหงส์สีรุ้ง พยัคฆ์พุ่งมังกรเหินเมฆลม สิบสี่ทูตหลากสีร่วมเกลียวกลม ร่วมประสมพันลี้รับขบวน” เหมิงหู่เอ่ยเสียงทุ้มว่า “นี่คือหนึ่งในประเพณีเก่าแก่ในการต้อนรับกษัตริย์ของต้าฮวง กาลก่อน ยามราชินีกลับชาติมาเกิดเข้าสู่นครหลวงสืบราชสันตติวงศ์เป็นครั้งแรก หกแคว้นแปดชนเผ่าที่อยู่ใต้อาณัฐของต้าฮวงจะส่งทูตชุดหลากสีร่วมรับเสด็จ แม้ว่าการน้อมรับเสด็จไกลพันลี้แลดูเกินจริงไปบ้าง ทว่าน้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้ย่อมได้ หกแคว้นแปดชนเผ่าร่วมควบอาชาต่อเนื่องกันไปตลอดเส้นทางจวบจนขบวนเสด็จเข้าสู่เมืองหลวง รวมทูตถวายกำลังทั้งสิ้นสิบสี่คนพอดี”
ท่ามกลางเสียงนั้น ทหารม้าชุดดำขบวนหนึ่งนั้นหยุดลงห่างจากขบวนรถสิบจั้ง ทหารม้าที่นำหน้าแกว่งแขนเพียงครั้ง ธงสีดำกุ๊นขอบทองเสาหนึ่งปักเข้าไปในดินอย่างมั่นคง ธงสีดำปักลวดลายผืนใหญ่โบกสะบัดออกมาดังพึ่บพั่บ อินทรีสีทองสยายปีกบนผืนธง ปีกทั้งสองของอินทรีดุจหลังคา กรงเล็บแหลมคมดุจโลหะ
เหล่าทหารม้าต่อแถวเรียงหนึ่งแยกออกมาสู่สองฝั่งเส้นทางแล้วโค้งคำนับเล็กน้อยบนหลังม้า เมื่อมองจากที่ห่างไกลเห็นคางเรียงตรงดิ่งกลายเป็นเส้นเดียว แสงอาทิตย์ทะลุผ่านแผ่นสีเงินบนหมวกแล้วเปล่งแสงสีเงินขาวสว่างสายหนึ่งออกมา
“หกแคว้นใช้แซ่ของกษัตริย์เป็นนามราชวงศ์ กองทัพนี้คือกองทัพองครักษ์ที่แคว้นอี้ส่งมา แคว้นอี้มีอาณาเขตติดต่อกับบึงโคลนเสินหนง ในบึงโคลนผลิตหญ้าลุ่มหลงและโคลนลิขิตสวรรค์มากมายซึ่งมีสรรพคุณในการแปลงรูปแปลงโฉม ฉะนั้นชาวแคว้นอี้เลื่องชื่อในด้านแปลงโฉมและการมอมเมา” เหมิงหู่แนะนำ พลางชี้ผู้เคราเฟิ้มท่าทางกล้าหาญคนหนึ่งซึ่งอยู่ด้านหน้าที่สุดของกองทัพ เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ท่านว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษหรือสตรี”
“เป็นบุรุษแน่นอน”
“ทูตชุดดำ อินทรีสยายปีกแห่งแคว้นอี้ถวายบังคมฝ่าบาท” ผู้เคราเฟิ้มปริปาก เสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน ยังชม้ายชายตาให้จิ่งเหิงปัวอย่างอ่อนโยนงดงาม
ศีรษะของจิ่งเหิงปัวชนเข้ากับผนังรถดังพลั่ก
เหมิงหู่ชี้ไปยังองครักษ์รูปงามที่มีรูปร่างงามสง่า ดวงตาดอกซิ่งแก้มลูกท้อ ผิวกายบอบบางจนแตะมิได้ผู้หนึ่งอีกครั้งแล้วถามจิ่งเหิงปัวว่า “ผู้นี้เล่าฝ่าบาท?”
“บุรุษ!” จิ่งเหิงปัวตอบคำตอบที่ไม่เข้าท่าที่สุดอย่างเด็ดเดี่ยว
“สตรี” คำตอบของเหมิงหู่ทำให้จิ่งเหิงปัวโกรธจนตาถลน นางกำลังจะด่าเขาว่าหลอกลวง เหมิงหู่เอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า “ทว่าคงจะอายุห้าสิบแล้ว ท่านดูลำคอของนาง…”
จิ่งเหิงปัวถลกกระโปรงขึ้นมาเตรียมจะกระโดดลงจากรถม้า กล่าวว่า “เร็วเข้า! ข้าจะถามเคล็ดลับการดูแลตนเองจากนาง…”
เหมิงหู่ลากนางกลับไปอย่างมือไวตาไวแล้วบอกนางว่า “การแปลงโฉมของเผ่าอี้มิได้ดีงามเช่นที่ท่านคิด ใบหน้าอ่อนเยาว์ลงหนึ่งปี ร่างกายจะสูงวัยขึ้นหนึ่งปี ท่านยอมหรือ?”
จิ่งเหิงปัวนึกถึงผิวหนังที่ห้อยย้อยลงมาเป็นชั้นบนร่างกายขององครักษ์หญิงอ่อนวัยรูปงามคนนั้น สั่นสะท้านหนึ่งครั้งนั่งลงอย่างมั่นคง
“ผู้นี้เล่า?” เหมิงหู่ชี้ไปยังผู้อ่อนเยาว์รูปร่างสูงหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งแล้วถามนาง
จิ่งเหิงปัวมองอยู่ครู่หนึ่ง ตอบอย่างมั่นใจว่ากะเทย!
“…นั่นคือเด็กผู้หนึ่ง อายุไม่เกินสิบปี”
“ชนเผ่าปีศาจ!” จิ่งเหิงปัวพิงหน้าต่างรถถอนใจด้วยความเศร้า รู้สึกว่าที่ซึ่งกำลังจะไปมีความผิดปกติหลากหลายสิ่ง
เหมิงหู่หัวเราะอย่างไม่คิดเช่นนั้น นี่ไม่เท่าไรหรอก แคว้นอี้เป็นเพียงแคว้นที่ค่อนข้างอ่อนแอในหกแคว้นแปดชนเผ่าแคว้นหนึ่งเท่านั้น
ขบวนรถม้าแล่นผ่านเหล่าองครักษ์ องครักษ์หญิงเคราเฟิ้มผู้นั้นโบกมือเพียงครั้ง องครักษ์ที่อยู่ตามรายทางปะปนเข้าสู่ฝูงองครักษ์อย่างเงียบเชียบ ติดตามแถวท้ายที่สุดของกองทัพ
“พวกเขาจะน้อมส่งขบวนเสด็จตลอดทางจวบจนถึงนครหลวง” เหมิงหู่อธิบาย
ทางนี้เพิ่งปะปนเข้าสู่กองทัพ พายุหมุนสีเขียวที่อยู่เบื้องหน้าเคลื่อนเข้ามาแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นยักษ์เขียวฝูงหนึ่งกำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็วมาแต่ไกล พอถึงใกล้เบื้องหน้าจึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่ากองทัพนับร้อยคนนี้ทุกผู้คนล้วนสวมหมวกทรงสูงสีเขียว หมวกที่เตี้ยที่สุดสูงเพียงครึ่งนิ้ว หมวกที่สูงที่สุดสูงถึงสามนิ้ว ยอดหมวกยังฝังอัญมณีสีเขียวขนาดแตกต่างกัน มองจากที่ไกลๆ คล้ายมีผักกาดหอมพุ่งมากองหนึ่ง
“แคว้นเหมิง” สีหน้าของเหมิงหู่ไม่ค่อยดีเท่าไร เอ่ยอย่างแข็งทื่อเล็กน้อยว่า “ติดต่อกับบึงโคลนลี่ว์ มีสัตว์กระดองเหล็กที่มีเฉพาะในบึงโคลนลี่ว์เป็นสัญลักษณ์ประจำเผ่า เลื่อมใสพลังธรรมชาติทุกสิ่ง บูชาสีเขียว”
“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ หมวกเขียว[1]!” จิ่งเหิงปัวกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมาในรถ กล่าวว่า “มีชนเผ่าที่ชอบหมวกเขียวด้วย ฮ่าๆๆ โลกนี้แฟนตาซีชะมัด…”
หลังจากกองทัพองครักษ์หมวกเขียวแห่งแคว้นเหมิงเข้ามาใกล้ จิ่งเหิงปัวจึงพบว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ตัวเตี้ยมาก มิน่าเล่าถึงชอบใส่หมวกทรงสูง อีกทั้งตำแหน่งของพวกเขายิ่งสูงหมวกก็ยิ่งสูง เมื่อหัวหน้าองครักษ์สองที่ยืนแยกกันอยู่แถวหน้าสุดทั้งสองฝั่งโค้งกายมาทางรถม้าของจิ่งเหิงปัว หมวกทรงสูงสีเขียวที่ยอดหมวกสูงถึงสามนิ้วบนศีรษะของพวกเขาชนเข้าด้วยกันดังพลั่ก
จิ่งเหิงปัวหัวเราะจนเกือบจะร่วงจากรถม้า หัวเราะจนเหมิงหู่มีสีหน้าเขียวคล้ำ หลังจากนั้นจึงไม่ได้สนใจนางอีก จนกระทั่งพายุหมุนสีเหลืองเคลื่อนเข้ามาจึงจำใจเอ่ยว่า “แคว้นอวี่ ติดต่อกับบึงโคลนโฮ่วถู่ สถานที่ที่ผลิตอัญมณีได้มากมายที่สุดในต้าฮวง ร่ำรวยและอุปนิสัยเกียจคร้าน เงินทองมากมายและชอบก่อเรื่องเป็นที่สุด”
จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งมาแต่ไกล แสงทองแผ่นใหญ่ผืนหนึ่งขยับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทุกผู้คนคือป้อมปราการทองคำที่เคลื่อนไหวได้แห่งหนึ่ง บนชุดเกราะสีทอง ชุดคลุมยาวสีทองและปลอกแขนสีทองฝังอัญมณีหลากสีเต็มไปหมด บนฝักมีดใช้อัญมณีฝังออกมาเป็นลวดลายแปลกประหลาดหลากหลายแบบ ชุดคลุมของพวกเขายาวอย่างยิ่ง ลากยาวไปถึงพื้นดินชุ่มโคลนชุ่มน้ำ เห็นได้ชัดว่าด้วยเพราะชายชุดคลุมยาวเหยียดสามารถประดับอัญมณีเพิ่มขึ้นได้อีกหน่อย ม้าทุกตัวเดินช้าอืดอาดด้วยรับน้ำหนักไม่ไหว พวกมันถูกสิ่งหรูหราหนักอึ้งทับจนหายใจฮืดฮาด
“เช่นนี้จะสู้รบได้อย่างไร?” จิ่งเหิงปัวสังเกตว่ามีดขององครักษ์ล้วนทำจากทองคำ ตกตะลึงอ้าปากค้างกล่าวว่า “หรือว่าแกะอัญมณีออกมาเป็นค่าไถ่ทุกครั้ง?”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
“…”
เมื่อกองทัพต่อมาเข้ามาใกล้ ทั้งขบวนรถปิดจมูกเอาไว้กันหมด ยกเว้นจิ่งเหิงปัวและผู้ที่มาจากนอกแคว้นไม่กี่คน
“หือ? เหตุใดพวกเจ้าจึงปิดจมูกกัน มีอะไรผิดปกติหรือ” จิ่งเหิงปัวด้านหนึ่งยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดจมูกเอาไว้เช่นกัน อีกด้านหนึ่งเหลียวซ้ายแลขวามองเห็นกองทัพองครักษ์สีแดงที่เข้ามารวดเร็วข้างหน้า ไม่มีหมวกทรงสูง ไม่มีชุดคลุมทองคำ ไม่ได้หญิงชายแยกไม่ออก ดูท่าทางปกติอย่างยิ่ง
“แคว้นซัง” เหมิงหู่ปิดจมูกเอาไว้ตอบด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ติดต่อกับบึงโคลนเลี่ยหั่ว บึงโคลนเลี่ยหั่วผลิตยาที่มีชื่อเสียงสำหรับเสริมเส้นเอ็นเสริมกระดูกและรักษาบาดแผลภายนอกมากมายหลายชนิด คือเมืองแห่งยาและการรักษามีชื่อเสียงมากที่สุดในต้าฮวง”
“แคว้นนี้ต้องรักษาสัมพันธ์ไว้ให้ดี หมอน่ะยอดเยี่ยมที่สุดเลยนะ ผู้ใดจะรู้ว่าตนจะต้องการคนมารักษาในยามใด” จิ่งเหิงปัวบัญชาให้เลิกม่านออก ไม่ได้สังเกตถึงสายตาสงสารจากทุกคน
ทูตชุดแดงแห่งแคว้นซังกระตือรือร้นดังเช่นเสื้อผ้าของพวกเขา พอเห็นราชินีเลิกม่านกั้นออกจึงรีบเร่งทะยานเข้า ทูตชุดแดงที่อยู่แถวหน้าโค้งคำนับอย่างเคารพนบนอบไม่กล้าเงยหน้า
“กระหม่อม…ปิ้ว…ทูตชุดแดงแห่งแคว้นซังนามเจิ้งเซียง…ปิ้ว…ถวายบังคมองค์ราชินี…ปิ้ว…ฝ่าบาททรงพระเจริญยิ่งยืนนาน…ปิ้ว…พระบารมีแผ่ไพศาล…ปิ้ว…พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงปิ้วๆ แปลกประหลาดดังต่อเนื่อง กลิ่นอายยากจะพรรณนาสายหนึ่งกำจายมาอย่างอืดอาดเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวมีสีหน้าเขียวคล้ำอดกลั้นกลิ่นอายที่พอจะทำให้คนหยุดหายใจสายนั้น ถามเหมิงหู่ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าบอกข้า…เจ้าอย่าได้บอกข้าเชียวนะว่า…เขาคงมิได้เอ่ยวาจาไปพลางผายลมไปพลางใช่หรือไม่…”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
ศีรษะของจิ่งเหิงปัวกระแทกเข้ากับผนังรถเสียงดังตึ้ง
“ช่วยด้วยโว้ย เอาม่านลงเร็ว!”
จิ้งอวิ๋นก้มหน้าอาเจียนอยู่ด้านหนึ่งแล้ว ชุ่ยเจี่ยคลานเข้าไปรีบเร่งดึงม่านลงมาด้วยลมหายใจแผ่วโผย
สายตาของทูตชุดแดงแห่งแคว้นซังโศกเศร้าเสียใจยิ่งนัก แต่จิ่งเหิงปัวโศกเศร้าเสียใจยิ่งกว่า
นางพบว่าแม้ว่าเอาม่านลงแล้ว ยังไม่สามารถขัดขวางการซึมแทรกของอากาศแปลกประหลาดระลอกนั้นด้วยเพราะองครักษ์ทั้งกองทัพกำลังผายลม เสียงปิ้วๆ ฟังแล้วคล้ายเกมยิงลูกบอลหลากสีในโลกยุคปัจจุบัน ซ้ำยังเป็นแบบเสียงคมชัดอีกต่างหาก
“แม้ว่าบึงโคลนเลี่ยหั่วผลิตยาวิเศษมากมาย ทว่าย่อมมีสิ่งที่ไม่ดีอยู่บ้างเล็กน้อย” ยามนี้เหมิงหู่เพิ่งอธิบายให้นางฟังว่า “บึงโคลนกำจายไอแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง แม้ว่าทำให้ผู้คนร่างกายแข็งแรง ทว่าประชิดใกล้เป็นเวลานานจะท้องอืดท้องเฟ้อ ปล่อยปราณ…ได้โดยง่าย”
จิ่งเหิงปัวถลึงตามองเขาด้วยความโกรธเกลียดที่เขาไม่เตือน ที่แท้เจ้าคนที่ดูท่าทางซื่อสัตย์ถึงจะเป็นคนที่ชั่วร้ายที่สุด
นางชำเลืองมองกงอิ้นแวบหนึ่ง เพิ่งพบว่าเจ้าผู้นั้นสวมหน้ากากแปลกประหลาดอันหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร คิดว่าคงจะใช้เพื่อปิดกั้นการบุกจู่โจมด้วยกลิ่นเหม็นจากทูตชุดหลากสีสันแห่งแคว้นซัง
ลูกน้องเป็นอย่างไร เจ้านายก็เป็นอย่างนั้นจริงด้วย!
ทูตชุดแดงแห่งแคว้นซังถูกจัดให้อยู่ที่ซึ่งท้ายที่สุดของกองทัพซ้ำยังห่างออกไปร้อยเมตร ยามพวกเขาปะปนเข้าสู่กองทัพ จิ่งเหิงปัวพบว่าลายปักบนธงสีแดงนั้นคือเพียงพอนไซบีเรีย
…
กองทัพเคลื่อนมาเป็นระลอก เส้นทางสองฝากฝั่งของผืนดินใหญ่ร้อยลี้ค่อยๆ ปักเต็มไปด้วยธงหลากสี คดเคี้ยวใต้แสงไฟไปตลอดทางดุจมังกรสีรุ้ง แลดูยิ่งใหญ่อลังการ
ตลอดทั้งวันดวงตาของจิ่งเหิงปัวกวาดลงบนพื้นไม่เคยได้เงยขึ้นมา แม้ว่านางยังไม่ได้สืบราชสันตติวงศ์อย่างเป็นทางการ ทว่าตามกฎเกณฑ์เข้มงวดแห่งต้าฮวง ขณะนี้ยังไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับทูตชุดหลากสีเหล่านี้ได้ แต่หกแคว้นแปดชนเผ่าของต้าฮวงที่มีบุคลิกแตกต่างกันไปก็เพียงพอจะทำให้นาง “มิเข้าใจทว่าเก่งกล้า เหนื่อยล้ามิอาจทานทน” แล้ว
ในหกแคว้น แคว้นจีเป็นสตรีทั้งแคว้น อาศัยอยู่บริเวณบึงโคลนเจียเทียนที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงสุด สัตว์ที่พวกนางขี่มิใช่ม้าแต่คือม้าเฉ่าหนี[2]!
แน่นอนว่าพวกนางเรียกสัตว์นั้นว่าลามะ[3] ว่ากันว่าคือสัตว์ที่บรรพบุรุษท่านหนึ่งของพวกนางนำข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมาขยายพันธุ์ที่บริเวณบึงโคลนเจียเทียนที่มีสภาพอากาศเฉพาะได้สำเร็จ ขณะนี้กลายเป็นสัตว์ในตระกูลอูฐที่สำคัญแห่งแคว้นจี กระทั่งปรากฏลามะกลายพันธุ์ ไม่เพียงมีลักษณะเฉลียวฉลาดว่องไวของลามะดั้งเดิม ยังดุร้ายกล้าหาญ ตัวที่มีขนาดใหญ่สามารถจับได้กระทั่งเสือและสิงโต
หลังจากจิ่งเหิงปัวได้พบม้าเฉ่าหนี นางร้องกระจองอแงอยู่ในห้องโดยสารว่า “ให้ข้าตัวหนึ่ง! ให้ข้าตัวหนึ่ง!” สุดท้ายแล้วได้ม้าเฉ่าหนีขนาดเล็กตัวหนึ่งมาสมปรารถนา ตั้งชื่อว่าเสี่ยวอิ้นอิ้น ตระเตรียมฝึกฝนให้กลายเป็นสัตว์สำหรับพาหนะโดยเฉพาะของตนเอง
“เสี่ยว…อิ้นอิ้น?” สายตาของเหมิงหู่ที่จูงม้าเฉ่าหนีเข้ามาเปล่งประกายด้วยความสงสัย
“เสี่ยวอิ๋งอิ๋ง” จิ่งเหิงปัวชม้ายชายตาให้เขา โอบกอดม้าเฉ่าหนีน้อยอย่างรักใคร่พลางกล่าวว่า “ไฮ เสี่ยวอิ้นอิ้น สวัสดีตอนเย็น!”
ภายหลังยังมีแปดชนเผ่ามารับเสด็จตามลำดับ ได้แก่ ฝููสุ่ย เฉินเถี่ย ลั่วอวิ๋น และจั๋นอวี่คือสี่ชนเผ่าแรก ส่วนไต้เม่า หลิวหลี หวงจิน และเฝ่ยชุ่ยคือสี่ชนเผ่าหลัง จิ่งเหิงปัวค้นพบกฎเกณฑ์หนึ่งคือ การแบ่งแยกชนเผ่าและราชอาณาจักรในต้าฮวงกว่าครึ่งมีความสัมพันธ์กับบึงโคลนที่มีลักษณะพิเศษที่สุดในอาณาเขต เช่น ฝููสุ่ย เฉินเถี่ย ลั่วอวิ๋น และจั๋นอวี่สี่ชนเผ่าแรก นามหมายถึงคุณสมบัติของบึงโคลนในอาณาเขต บนบึงโคลนฝููสุ่ยหรือธารลอยล่อง น้ำที่ล่องลอยอยู่ตลอดเวลาจะลอยวัตถุทุกสิ่งขึ้นมา ส่วนบึงโคลนเฉินเถี่ยหรือล่มโลหะ บึงโคลนลั่วอวิ๋นหรือเมฆาโปรย บึงโคลนจั๋นอวี่หรือสะบั้นขนนกมีนามตามความหมาย คือสามารถจัดการวัตถุทุกสิ่งที่ลอยผ่าน ขนเส้นเดียวยังถูกบึงโคลนสังหาร ส่วนบึงโคลนหวงจินหรือทองคำ บึงโคลนเฝ่ยชุ่ยหรือมรกต บึงโคลนไต้เม่าหรือกระดองเต่า บึงโคลนหลิวหลีหรือกระจกสี แน่นอนว่าคือที่ซึ่งผลิตอัญมณีมากมายพวกนี้ไง พอจิ่งเหิงปัวได้ยินนามสี่นามนี้จึงจัดอันดับชนเผ่าทั้งสี่เป็นที่หนึ่งในรายนาม “คู่มือสถานที่ที่ต้องไปในต้าฮวง”ของตนเอง
ระยะเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ห้าแคว้นแปดชนเผ่าน้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้ ธงสิบสามสีสะบัดเต็มเส้นทางคดเคี้ยว กองทัพองครักษ์จิ่งเหิงปัวเริ่มกลายเป็นแถวยาวยิ่งใหญ่สมบารมี สมลักษณะของราชินียิ่งนัก
แต่ว่าสิ่งที่ทำให้นางไม่พอใจคือ แม้ว่าพิธีการรับเสด็จราชินีของอีกฝ่ายสมบูรณ์พร้อม ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง แต่แลดูไม่แยแสนางที่เป็นเจ้านายที่แท้จริง ผู้มีท่าทางดีหน่อยโค้งคำนับครั้งหนึ่งหน้ารถม้า ผู้มีท่าทางไม่ค่อยดีวนรอบรถสักรอบหนึ่งแล้วจากไป แต่ทุกผู้คนประจบสอพลอกงอิ้นอย่างยิ่ง หัวหน้าองครักษ์สิบสามคนล้อมรอบอยู่ข้างกายกงอิ้น เสียงหัวเราะราวกระพรวนเงินของสตรีเคราเฟิ้มนางนั้นดังไม่หยุดหย่อน ฟังแล้วจิ่งเหิงปัวกัดฟันกรอดอยากจะถอนเคราของนางออกมาทีละเส้นละเส้น
ทุกครั้้งที่ราชอาณาจักรและชนเผ่ามาถึงครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายจะปักธงหลากสีผืนน้อยผืนหนึ่งบนราชรถและแอกรถของราชินี จิ่งเหิงปัวลองนับดูตอนใกล้ค่ำ ร้อง “เอ๋” เสียงหนึ่งเอ่ยว่า “ยังขาดไปผืนหนึ่ง”
“ยังขาดแคว้นเซียงที่เกรียงไกรที่สุด ใกล้กับนครหลวงมากที่สุด” เหมิงหู่ขานรับ ในสายตาที่จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนมีความกลุ้มใจอยู่บ้าง
“เหตุใดจึงยังไม่มา”
“หกแคว้นแปดชนเผ่า เปลือกนอกส่วนใหญ่มีไมตรีต่อราชครูทว่ามีผู้ที่ก่อการขลาดเขลาด้วยไม่พอใจเช่นกัน เฉกเช่น แคว้นเซียงที่มีอำนาจแข็งแกร่งเกรียงไกร หวังจะล้มล้างแทนที่ราชครูกลายเป็นผู้กุมอำนาจหนึ่งเดียวในลุ่มน้ำต้าฮวงตลอดมา” เหมิงหู่เอ่ยสืบต่อว่า “ประเพณีเก่าแก่เช่นน้อมรับเสด็จราชินีร้อยลี้ แท้จริงแล้วยกเลิกไปนานนับสิบปี ราชินีห้าพระองค์ที่ผ่านมานี้ล้วนมิได้เสพสุขจากการปรนนิบัติเช่นนี้ อีกทั้งต่อให้เป็นการน้อมรับเสด็จราชินีร้อยลี้ ย่อมควรจะเรียงลำดับตามตำแหน่งของราชอาณาจักรและชนเผ่า หรือจากอ่อนแอถึงแข็งแกร่ง หรือจากแข็งแกร่งถึงอ่อนแอ มิได้มั่วซั่วเช่นครั้งนี้ ยิ่งมิได้เอ่ยว่าแคว้นเซียงไม่ปรากฏตัวออกมาเสียที ดูท่า เบื้องหลังพิธีการน้อมรับเสด็จราชินีร้อยลี้คงมิได้ง่ายดายเช่นนั้น”
จิ่งเหิงปัวเหม่อลอย อารมณ์ปีติยินดีร่วงหล่นลงหุบเหว…หรือว่ายังไม่ทันได้เข้าสู่อาณาเขตต้าฮวงก็จะโดนวางอำนาจสักครั้งก่อนซะแล้ว?
นางนึกถึงเผ่าจั๋นอวี่ที่ร่วมมือกับเหยียลี่ว์ฉีลอบสังหารตนเองและกงอิ้น เอ่ยอย่างหดหู่ว่า “ที่ซึ่งมีมนุษย์ย่อมมียุทธจักรโดยแท้”
“ที่ซึ่งมีมนุษย์ย่อมมียุทธจักร…” เหมิงหู่ทวนซ้ำรอบหนึ่ง ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นเพียงครั้ง เอ่ยว่า “ฝ่าบาทวาจาคมคาย!”
“มิเพียงแต่วาจาคมคาย ข้ายังแต่งกลอนงดงามได้อีกด้วย ให้เจ้าได้รู้จะกลอนผังดอกสาลี่[4]แบบดั้งเดิมสักหน่อย” จิ่งเหิงปัวกล่าวด้วยท่าทีสนุกสนานยิ่งนักว่า “ฟังนะ กลอนนี้นามว่า ผู้หนึ่งในลุ่มน้ำต้าฮวง ฮะแฮ่ม”
กงอิ้นที่ถูกคนกลุ่มหนึ่งติดสอยห้อยตามผ่านมาทำภารกิจหยุดฝีเท้าลงโดยพลัน คนที่เหลือยืนนิ่งอย่างประหลาดใจ ต่อมาทุกคนจึงได้ยินเสียงราชินีบนรถม้ากำลังท่องกลอนด้วยเสียงสูงว่า
“ผู้หนึ่งในลุ่มน้ำต้าฮวง”
“ไร้ข้อครหา”
“ราชินีเช่นข้า”
“หนึ่งในทั่วหล้า”
“ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด”