เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 50 - 2 เปลื้องผ้าเจ้า!
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 50 - 2 เปลื้องผ้าเจ้า!
มุมปากกระหวัดขึ้นเล็กน้อยสยายยิ้มเชื่องช้า ยังคงสูงส่งเย็นชาเช่นเดิม ในความเหน็บหนาวประดุจหิมะเยือกแข็งบนภูผาสูงชัน สุดท้ายแล้วจึงมีความเสียดสีเช่นนั้นเลือนรางท่ามกลางความมั่นใจหลายส่วน การปล่อยวางหลายส่วนและการคาดการณ์หลายส่วน รอยยิ้มนี้หยุดตรึงเชื่องช้าตรงมุมปาก งดงามทว่าพาให้ผู้เชยชมหนาวสะท้าน
ดวงใจของจิ่งเหิงปัวพลันร่วงหล่นสู่หุบเหว เยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง
ไม่แม้แต่จะคิด นางหมอบอยู่บนแอกรถตะโกนเสียงดังว่า “ถอยกลับไป!”
เสียงยังมิทันสิ้น แสงสว่างสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาโดยพลัน!
แสงโค้งสว่างดุจหิมะ พัดพลิ้วปราดเปรียว งามคดเคี้ยวดั่งมังกร!
มังกรนั้นพุ่งขึ้นมาจากด้านหลังผู้อ่อนวัยหน้ากลมในพริบตา นัยน์ตาที่เพิ่งสาดส่องผู้คนปรากฏตรงด้านหลังผู้อ่อนวัยหน้ากลมเสียแล้ว ส่วนยอดสะบัดเพียงน้อยดั่งมังกรยักษ์เชิดศีรษะหยิ่งผยองขึ้นแล้วมองลงมาน่าเกรงขาม ในพริบตาต่อมาจึงพุ่งลงมาปานสายฟ้าแลบ
“ฉึก”
เส้นโค้งฉวัดเฉวียนตรงลำคอ หนามแหลมโผล่ออกมาดุจน้ำแข็ง แสงสีขาวแลแสงโลหิตร่วมกระเซ็น ศีรษะหนึ่งพร้อมด้วยโลหิตสูงประมาณจั้งเหินกลางอากาศ
อาวุธรูปร่างยาวนั้นคำรามเวียนวนกลางอากาศ ยามนี้ทุกคนจึงมองเห็นว่าสิ่งนั้นคืออาวุธรูปร่างยาวปานสายโซ่สายหนึ่ง ส่วนยอดมีลูกตุ้มแหลม สองข้างประดับด้วยหนามย้อนปานเหลี่ยมน้ำแข็งนับถ้วน ทั้งอาวุธขาวดุจหิมะ ยิ่งกลางพิรุณโลหิตยิ่งมิแปดเปื้อนสีแดงแม้เพียงน้อย
แสงเหน็บหนาวกะพริบวูบ สูญสลายสู่มือกงอิ้น
ทุกคนอุทานอย่างตื่นตะลึงนึกไม่ถึงว่าเขาจะลงมือด้วยตนเอง ทว่าอาวุธคดเคี้ยวงดงามเช่นนี้ เหมาะสมกับเขาอย่างยิ่งจริงแท้
สายตาของจิ่งเหิงปัวกลับเบนขึ้นไปด้านบนตามศีรษะนั้น เบนขึ้นไป เบนขึ้นไป…
ศีรษะนั้นสองตาเบิกกว้าง กล้ามเนื้อบนใบหน้าตึงเครียดเกร็งแน่น ยังคงไว้ซึ่งสีหน้าห่วงใยอย่างสุดซึ้งชั่วขณะก่อนสิ้นชีพนั้น
ร่างกายไร้ศีรษะของเขายังคงสืบเท้ามาเบื้องหน้าสองก้าวตามแรงเฉื่อย มือสองข้างที่ชุ่มโชกด้วยโลหิตกางออกมาหานาง
คงไว้ซึ่งท่วงท่าที่อยากจะช่วยเหลือนาง
ผู้อ่อนวัยที่ให้ความอบอุ่นแด่นางอย่างรวดเร็วที่สุดและเด่นชัดที่สุดในระหว่างการเดินทางลำบากยากเข็ญตลอดเส้นทางผู้นี้…
นอกจากนางแล้วไม่มีใครเข้าใจการปลอบโยนและการปลอบใจที่เขานำมา…
ผิวพรรณทั่วร่างของจิ่งเหิงปัวเย็นเยียบไปหมด
โลหิตกลับร้อนผ่าวในพริบตาเดียว
ประหนึ่งเพลิงแผดเผาความสงสัยที่เก็บซ่อนไว้ในเบื้องลึกของจิตใจ
นางเงยหน้าจดจ้องกงอิ้นฉับพลัน
กำจัดจารชน กำจัดผู้เห็นต่าง กำจัดผู้ที่เป็นมิตรต่อนางหรืออาจจะกลายเป็นพละกำลังให้นางทั้งหมด ใช่ไหม
กำจัดพลังที่นางอาจจะพึ่งพาทั้งหมดทิ้ง ทำให้นางสิ้นไร้ทุกสิ่ง ตั้งตนไม่ได้ กลายเป็นหุ่นเชิดของเขาเพียงคนเดียวไปตลอดกาล ใช่ไหม!
ความโกรธแค้นพังทลายดังครืนดุจภูผาจุดปะทุดอกไม้เพลิงออกมานับไม่ถ้วน ในดวงตาของนางเหลือเพียงกงอิ้น เขาผู้สูงส่งเย็นชา สงบนิ่ง เฉยเมย เชยชมการสังหารนองเลือดทั้งมวลบนแดนมนุษย์อย่างชินชา
รถม้าที่บรรทุกจารชนและตัวประกันจนเต็มคันเคลื่อนผ่านข้างกายนางแล้ว นางไม่รับรู้
องครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าถูกกวาดต้อนกระจัดกระจายแล้ว นางไม่รับรู้
ค่ายหลงฉีและค่ายหย่งเลี่ยไล่ตามมาแล้ว นางไม่รับรู้
ชุ่ยเจี่ยพุ่งเข้ามาคิดที่จะดึงกระโปรงของนางไว้ นางไม่รับรู้
กงอิ้นควบอาชาพุ่งเข้ามาแล้ว นางมองเห็นแล้ว
นางมองเห็นเพียงเจ้าคนนั้นสืบเข้ามาใกล้ดุจกองหิมะล้อมหยก ความสะอาดสะอ้านบ้าบอ ความงามบริสุทธิ์บ้าบอ ทรราชบ้าบอที่สังหารผู้ที่นางถือว่าเป็นน้องชายแต่ยังไม่แปดเปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียว!
นางจะฆ่าเขา อัดเขาให้น่วม โยนเขาเข้าไปในบึงโคลนที่เหม็นที่สุดแล้วใช้โคลนหยาบแปดหมื่นชั่งฝังกลบเขา!
“ย้ากๆๆ ย้ากๆ!” นางร้องตะโกนกระโดดลงจากรถม้า ชุดพิธีการหนักอึ้งเกี่ยวไว้จนนางเกือบจะล้มลง นางฉวยมือชิงมีดในมือขององครักษ์ผู้หนึ่ง ยกมือขึ้นลดดาบลง แสงขาวกะพริบวูบ…
ชายกระโปรงสีแดงเข้มปักทองงดงามท่อนหนึ่งถูกฟันหลุดร่วง นางเหยียบย่ำชายกระโปรงท่อนหนึ่งซึ่งร่วงลงมาแล้วพุ่งไปข้างหน้า
ชั่วขณะนี้
ผู้เดินเท้าลืมเดินเท้า
ผู้ควบม้าลืมควบม้า
ผู้ที่ดึงนางลืมดึง
ผู้ห้อตะบึงเข้ามาเกือบจะร่วงจากม้า
ทุกผู้คนปากอ้าตาค้างมองดูจิ่งเหิงปัว กระโปรงฉีกขาดเป็นท่อนใหญ่ท่อนหนึ่ง แม้แต่กางเกงด้านในยังฉีกขาดไปด้วย ผลุบโผล่ผุดเผยขาอ่อนขาวดุจหิมะระหว่างการทั้งกระโดดทั้งวิ่ง นางใช้ท่วงท่าแปลกแยกแตกต่างที่ทำให้ดวงใจของราษฎรต้าฮวงตื่นตะลึงท่าหนึ่งนี้วิ่งอย่างบ้าคลั่งไปทางกงอิ้น…
กงอิ้นหยุดชะงัก สีหน้าตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน แววตาวูบไหว ยามมองโดยละเอียดกลับพบการเฝ้ารอคอยเบาบาง
“ย้ากๆ ย้ากๆ…” ต้าปัวผู้บ้าคลั่งด้านหนึ่งวิ่งอีกด้านหนึ่งกวัดแกว่งสองมืออย่างรุนแรง กงอิ้นรู้สึกว่าท่วงท่านี้มีความคุ้นเคยเลือนรางบางส่วน ในใจพวยพุ่งด้วยความรู้สึกถึงลางร้าย อดจะตะโกนโพล่งออกมาอย่างเย็นชามิได้ว่า “เจ้าห้าม…”
“ลงมา!”
เสียงหนึ่งตะโกนก้อง รวดเร็วเสียยิ่งกว่าเขา
“พลั่ก”
ทุกคนมองดูกงอิ้นที่นั่งสง่าบนหลังม้า เรือนร่างหงายเพียงครั้งโดยพลันคล้ายถูกคนหิ้วขึ้นมาอย่างรุนแรง จากนั้นร่วงจากหลังม้าดังพลั่ก ร่างทิ่มลงไปในดินโคลนต่อหน้าต่อตา
…
“พลั่ก”
จิ่งเหิงปัวที่วิ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งแข้งขาอ่อนแรงกะทันหัน ทั้งสูญเสียการทรงตัว ร่างทิ่มลงไปบนท้องของกงอิ้นทันที
…
ชะงักงันกันทั้งลานกว้าง
ผู้หลบหนีเกือบจะลืมหลบหนี ผู้ไล่ล่าลืมไล่ตามไปเนิ่นนานแล้ว ผู้หวังปกป้องเสด็จมิรู้ว่าควรปกป้องผู้ใด ผู้หวังห้ามการวิวาทหาผู้ถูกทำร้ายนั้นไม่พบ
สถานการณ์หนึ่งเบื้องหน้ามีแรงโจมตีมากยิ่ง แม้แต่ค่ายหย่งเลี่ยที่รอดผ่านศึกนับร้อยยังทำได้เพียงยืนงงงวยอยู่ตำแหน่งเดิม มองราชครูผู้สูงส่งดุจเทพดั่งหิมะในดวงใจของราษฎรต้าฮวงถูกทุ่มสู่ฝุ่นธุลี มองราชินีผู้ทรงบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ในดวงใจของราษฎรต้าฮวงซบพระพักตร์ลงบนท้องน้อยของราชครูที่พวกเขายกย่องให้บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน…
อา…
ล้มล้างเกินไปแล้ว…
มิใช่ ยังล้มล้างไม่จบสิ้น
การทุ่มเขาใช้พลังมหาศาล จนถึงวันนี้จิ่งเหิงปัวเคยใช้เพียงสองครั้ง ครั้งหนึ่งกับเหยียลี่ว์ฉีอีกครั้งหนึ่งกับกงอิ้น ทุกครั้งที่ใช้จะเหนื่อยล้าอ่อนแรงทั่วร่างอ่อนยวบ ต่อให้เป็นแบบนี้นางยังไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป พุ่งชนกงอิ้นคลานขึ้นไปข้างบนทันทีแล้วขี่บนร่างกงอิ้น กำปั้นแกว่งขึ้นมาเล็งตรงใบหน้าซีกขวาของกงอิ้นแล้วปล่อยหมัดอย่างรุนแรงเพียงครั้ง…
“เพียะ”
เสียงดังกังวาน
ฝูงชนล้อมรอบที่อดทนมองฉากหนึ่งนี้มิได้ ได้ยินเสียงผิดปกติจึงหาญกล้าลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางสั่นสะท้าน
ข้อมือของจิ่งเหิงปัวถูกกงอิ้นคว้าไว้ กำลังลอยสูงกลางอากาศ จิ่งเหิงปัวดิ้นรนหลายครั้ง รอยมือของกงอิ้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
“เจ้าทำอะไร! หลีกไป!” เขาเอ่ยด้วยความโกรธ แลมิรู้ว่าเพราะโกรธเคืองหรือเขินอาย ใบหน้าดุจน้ำแข็งดั่งหิมะในยามปกติกลับพวยพุ่งด้วยสีแดงจางชั้นหนึ่ง
แดงซ่านดั่งสีกระจกเคลือบ ขับให้นัยน์ตาสุกสว่างของเขาโดดเด่นเช่นผลึกธารสีนิล
หากเป็นเวลาปกติจิ่งเหิงปัวคงต้องน้ำลายไหลหยดย้อยเพราะได้พบเห็นทิวทัศน์งดงามยากพบพานนี้ ขณะนี้เพลิงโทสะลุกโชนจึงทำเป็นมองไม่เห็น กวัดแกว่งมืออีกข้างหนึ่งซึ่งเป็นอิสระเพียงมือเดียวโจมตีลงมาอีกครั้งอย่างรุนแรง
“หยุดนะ!” กงอิ้นยื่นมือไปขวางอีกครั้ง มือของจิ่งเหิงปัวกวัดแกว่งถึงครึ่งทางกลับร่นถอยไปข้างหลังทันที วนโค้งครั้งหนึ่งหยิกใบหน้าของกงอิ้นไว้ในครั้งเดียว
สองนิ้วหนีบไว้ ร่องนิ้วใช้แรงหยิก ฉันหยิก ฉันหยิก ฉันหยิกๆๆ !
“ไอ้หน้านิ่ง! ไอ้ภูเขาน้ำแข็ง! ไอ้น่ารำคาญ!” นางร้องเสียงดังว่า “เกลียดคนเยี่ยงเจ้าที่สุดเลย! เหตุใดถึงต้องสังหารเขา! อธิบายให้ข้าฟังเลยนะ! มิเช่นนั้นข้าจะ…มิเช่นนั้นข้าจะ…”
ทุกคนที่ล้อมรอบหายใจมิได้เสียแล้ว…
กงอิ้นแข็งทื่อเช่นกัน
มีชีวิตอยู่จนถึงบัดนี้ ตนอยู่ในตำแหน่งสูงส่ง เขาถูกผู้อื่นทำร้ายแลเคยทำร้ายผู้อื่น เคยรับสายลมดุจคมมีดน้ำค้างดุจคมกระบี่มามากมาย ทว่าการชำระแค้นที่ “โหดร้าย” เช่นนี้ เขาเคยพานพบเป็นครั้งแรกในชั่วชีวิต
ตกตะลึงเหลือเกิน แม้แต่วาจาของจิ่งเหิงปัวยังได้ยินมิชัดเจน มองเห็นเพียงนัยน์ตาแผดเผาวาวแววของนาง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยเพราะโกรธแค้นโหมซัดจนคล้ายจะประชิดมาเบื้องหน้า
นางโกรธแค้นแทนความเป็นความตายของผู้อื่น…
แววตาเขาเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย
“มิเช่นนั้นเจ้าจะทำอะไร” ดวงใจคล้ายมีสิ่งเยือกเย็นสิ่งใดสักอย่างขวางกั้นไว้ เขาเองหลงลืมสถานการณ์บัดนี้เช่นกัน สะบัดมือของนางออกไปดังเพียะพลางซักถามอย่างเย็นชา
“มิเช่นนั้นข้าจะ…” จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าทั้งการฆ่าแกงทั้งการตอนทิ้งหรือสิ่งอื่นล้วนเป็นเพียงการขู่ขวัญตบตา เรื่องที่ทำไม่ได้กล่าวแล้วน่าลำพองใจตรงไหน ต้องเลือกเรื่องที่สามารถทำได้มากระตุ้นเขาถึงจะถูก
มองเห็นคอเสื้อของเขาแวบหนึ่ง คอเสื้อนั้นใช้ไข่มุกสีทองอ่อนขนาดมหึมาเม็ดหนึ่งพันผูกไว้อย่างแน่นหนาด้วยไหมทองเส้นหนึ่ง
นางนึกถึงคอเสื้อที่ผูกไว้ด้วยก้านอ่อนในตอนนั้นขึ้นมาทันที จักรวาลน้อยลุกโชนด้วยเพลิงโทสะโหมกระหน่ำอีกครั้ง
ไอ้น่ารำคาญ! ไอ้เสแสร้งทำดี! ไอ้โจรพิทักษ์คุณธรรม! ไอ้บ้าความบริสุทธิ์!
วิธีที่ดีที่สุดในการโจมตีพวกบ้าความบริสุทธิ์คือให้เขาวิ่งแก้ผ้า!
นางดึงไหมทองทิ้งดังสวบอย่างคล่องแคล่ว ฉวยมือดึงไข่มุกเขวี้ยงทิ้งเพียงครั้ง จับคอเสื้อของเขาเอาไว้ในครั้งเดียวใช้สองมือกระชากออกอย่างรุนแรง
“มิเช่นนั้นข้าจะเปลื้องผ้าเจ้ากลางวันแสกๆ!”
“…”
เสียงสูดหายใจดังกังวาน
ผู้คนส่วนใหญ่คล้ายอยากพุ่งไปด้านหน้าแลคล้ายอยากถอยไปด้านหลัง ฝ่าเท้าขยับเขยื้อนไร้ท่วงท่า ท่าทางไม่ขึ้นหน้าไม่ถอยหลัง ไม่รู้ว่าควรช่วยเหลือหรือว่าควรหลีกลี้กันแน่
สีหน้าบนใบหน้ายากจะเปลี่ยนปรับอย่างยิ่งเช่นกัน ควรจะหัวเราะหรือว่าควรจะแสดงความโกรธแค้นกันแน่ ตามหลักแล้วควรจะเป็นสิ่งหลัง ทว่าตามอารมณ์แล้วต้องปฏิบัติตามสิ่งแรกด้วยไร้หนทาง เฮ้อ หวังจัดระเบียบสีหน้าชั่วขณะนี้ให้ดี ยากเย็นยิ่งนัก
…
จิ่งเหิงปัวมองเห็นมุมปากของกงอิ้นกำลังกระตุกอย่างชัดเจน
สีหน้าแบบนี้เกิดขึ้นบนใบหน้าเขา แลดูแปลกประหลาดมากจริงๆ
อีกทั้ง…สายตาของนางอดจะทอดลงไปข้างล่างไม่ได้…แม้ว่าขณะนี้มีเรื่องอื่นแอบแฝงโกรธแค้นแน่นอก ยังต้องยอมรับว่าทิวทัศน์ตรงนี้ดีจริงๆ แฮะ…
แผ่นอกกระดูกไหปลาร้าดุจหยก ผิวพรรณครึ่งผืนดั่งหิมะ…
“ปล่อย ข้า นะ!” เสียงของผู้หนึ่งเปี่ยมด้วยไอเหน็บหนาว ผู้ฟังรู้สึกว่าเบื้องหน้าคล้ายอบอวลด้วยหมอกขาวขึ้นมา
จิ่งเหิงปัวชะงักไปชั่วครู่
“ไม่ไหวแล้วแม่งเอ้ย!” นางกล่าวเสียงดังว่า “ข้าต่อยเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ จะทับเจ้าไว้ได้หรือ ตัวเจ้าเองติดใจไม่ยอมลุกขึ้นมาเกี่ยวอะไรกับข้า!”
“…”
ในชั่วพริบตาใบหน้าของท่านราชครูออกสีเขียวแล้ว
ยิ่งกว่านั้นมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง
ในที่สุดทุกคนจึงตัดสินใจว่า…มองผู้อาวุโสเป็นเรื่องต้องห้าม หันกายไปทำเป็นมองไม่เห็นดีกว่า!
เสียง “ฟิ้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้น ท่านราชครูผู้ถูกหยิกอย่างไร้ความปราณีจนฟื้นคืนสติดีดองค์ราชินีผู้ลวนลามเขาต่อหน้าธารกำนัลจนเพียงพอแล้วออกไปในที่สุด
จิ่งเหิงปัวลอยสูงขึ้นไปแต่ไม่ได้ร่วงลงมาอย่างรุนแรง ตอนร่วงพื้นเรือนร่างเด้งครั้งหนึ่ง ร่วงลงบนชายกระโปรงกองหนึ่งนั้นที่ตนเองฟันออกมาพอดี
ผ้าคลุมสีหิมะผืนใหญ่ผืนหนึ่งสะบัดตามมาคลุมขาของนางไว้
เสียงของกงอิ้นฟังแล้วยิ่งเย็นยะเยือก
“ขอฝ่าบาทเสด็จกลับรถม้า! ห้ามเสด็จออกไปโดยพลการแม้แต่ก้าวเดียว!”