เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 53 - 1 ราชินีน่ารักตะมุตะมิ
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 53 - 1 ราชินีน่ารักตะมุตะมิ
“อา…”
เสียงอุทานตกตะลึงอย่างควบคุมมิได้แว่วมาจากทั่วทุกสารทิศ
เหยียลี่ว์ฉี เหล่าขุนนางขั้นที่สามขึ้นไปในราชสำนัก ผู้นำหกแคว้นแปดชนเผ่าและองครักษ์ผู้ติดตามนับมิถ้วนต่างเหลือเพียงสีหน้า “ปากอ้าตาค้าง” สี่อักษรนี้ในชั่วพริบตา
คนในรถ…กำลังทำอะไร
ทำเรื่องบัดสีกลางวันแสกๆ หรือ
เรื่องนี้ช่างมันเถิด ราชินีทำเรื่องบัดสีกลางวันแสกๆ หรือ
เรื่องนี้ช่างมันเถิด
ราชินีกับราชครูทำเรื่องบัดสีกลางวันแสกๆ หรือ
เรื่องนี้ช่างมันเถิด
ราชินีทำเรื่องบัดสีกลางวันแสกๆ กับผู้ที่เย็นเยือกเหน็บหนาวท่าทางผิดมนุษย์มนารักสะอาดเป็นที่สุดไม่แปดเปื้อนฝุ่นธุลี เช่น ราชครู! ฝ่าย! ขวา!
ตาบอดแล้วตาบอดแล้ว!
ทว่าชั่วครู่แสงอสนีแสงเพลิงนั้น จากนั้นแขนเสื้อของกงอิ้นล่องลอยสยาย ผ้าม่านร่วงลงบดบังทัศนวิสัย
ทว่าเท่านี้ย่อมเพียงพอแล้ว
สิ่งที่ควรได้เห็น สิ่งที่ไม่ควรได้เห็นต่างมองเห็นแล้ว
เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าแปลกประหลาด รอยยิ้มมุมปากยังคงท่าทางคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้มอยู่เช่นเคย เพียงแต่แลดูคล้ายเจือด้วยความอึมครึมหลายส่วน
ผู้คนนับมิถ้วนมีสีหน้าตึงเครียด ผู้คนส่วนใหญ่เริ่มขยิบตาทำสัญญาณมือบอกใบ้องครักษ์แจ้งให้ผู้คนในตระกูลทราบอย่างรวดเร็วโดยพลัน
ทุกการเคลื่อนไหวของราชครูฝ่ายขวาสัมพันธ์กับชะตากรรมของแคว้นต้าฮวงมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของเขากับราชินีแห่งต้าฮวงจะชี้ชะตาความสงบสุขห้าสิบปีของต้าฮวงในอนาคตด้วย บัดนี้มองเห็นฉากหนึ่งนี้ ผู้คนนับมิถ้วนเริ่มสงสัย คาดเดาและคาดการณ์ว่า…ราชครูและราชินีมีความสัมพันธ์คลุมเครือเช่นนี้ สื่อนัยว่าราชินีลำดับนี้อาจจะไปมาหาสู่กับราชครูอย่างสงบสุขได้มิใช่หรือ สื่อนัยว่าราชครูจะล้มเลิกแผนการใหญ่แต่เดิมมิใช่หรือ หรือว่าเรื่องนี้เดิมทีเป็นเพียงการเล่นลูกไม้ถ่ายทอดข่าวสารบางเรื่องที่มิอาจบอกผู้อื่น อย่างไรเสียด้วยตำแหน่งของราชินีและนิสัยของราชครูฝ่ายขวา กระทำเรื่องเช่นนี้ผิดแผกจากปกตินักผิดแผกจากปกติเสียจริง…
ณ ต้าฮวง ราชินีใกล้ชิดสนิทสนมกับราชครูได้เพียงเล็กน้อย เรื่องนี้ยังต้องอาศัยการยอมรับของราชครูเป็นเงื่อนไขข้อแรก หากราชครูไม่คิดจะยอมรับราชินี ราชินีย่อมมิอาจข้ามบ่อน้ำเหลยเพียงก้าวเดียว หากราชินีจงใจยั่วยวนราชครู ทว่าราชครูจัดการปัญหานี้โดยประณามกล่าวหาราชินีไม่เคารพข้อบัญญัติ ราชินีย่อมละเมิดกฎเกณฑ์เช่นเดียวกัน
ทว่าแลดูท่าทางของราชครูฝ่ายขวา คล้ายมิได้มีความคิดจะประณามกล่าวหา…
ผู้เป็นกลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ผู้คัดค้านแอบปีติยินดีในใจ พันธมิตรของกงอิ้นกลับเริ่มกระวนกระวายว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงเงื่อนไขบางอย่างและการปรับเปลี่ยนแผนการ…
คลื่นใต้น้ำโหมซัดสาดนอกผ้าม่าน แผนการหลากหลายที่สัมพันธ์ถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในแว่นแคว้นกำลังก่อตัวอย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวในผ้าม่านไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย นางจะนึกไปถึงได้อย่างไรว่าเพียงแค่ฉวยโอกาสลวนลาม สถานการณ์แคว้นต้าฮวงอาจจะถูกปีกผีเสื้อสะบัดพัดพา
นางยังเลียริมฝีปากมองดูกงอิ้นด้วยท่าทางยิ้มแย้มปรีดา
โห แดงแล้วแดงแล้วจริงด้วยแฮะ…
ถ้าเป็นสมัยปัจจุบัน จะมองเห็นผู้ชายหูแดงได้ที่ไหนเนี่ย คุณยังไม่ทันเชื้อเชิญ ฝ่ายนั้นก็กระโจนออกไปเหมือนสุนัขป่าแล้ว
นางขบคิดถึงรสชาติงดงาม ทว่าไม่รู้ว่าท่วงท่าเลียริมฝีปากเป็นการยั่วยวนและเชื้อเชิญในตนเองเช่นกัน ปลายลิ้นสีชมพูลื่นไถลบนริมฝีปากแดงดุจเปลวเพลิงอย่างงดงามปราดเปรียว ดั่งเชือกนวลนุ่มเส้นหนึ่งเหนี่ยวรั้งความคิดจิตใจของมนุษย์ไว้อย่างหอมหวาน…
กงอิ้นแทบจะเบนสายตาออกไปโดยพลัน ชั่วเวลาเพียงลมหายใจเขายืนตรงแน่วแล้ว เอ่ยแล้วแปลกประหลาด ติ่งหูเขายังคงแดงซ่านเล็กน้อย ทว่าสีหน้าซีดขาวราวหิมะไร้ซึ่งสีโลหิตแม้เพียงน้อย แลดูยังเจือด้วยความเปราะบางหลายส่วน แม้ยามปริปากอีกคราเสียงเย็นชา ทว่าลมหายใจคล้ายไม่สงบนิ่งอยู่หลายส่วน
“มาต้อนรับแล้ว รีบเร่งสวมชุดพิธีการ”
จิ่งเหิงปัวมองดูเงาด้านหลังที่หันกายลงจากรถอย่างรวดเร็วของเขา แบะปาก…เมื่อครู่จิตใจฟุ้งซ่านชัดๆ ตอนนี้กลับเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน ผู้ชายคนนี้เอาใจยากจริงๆ เลย!
เบื้องล่างราชรถมีเสียงหวึ่งๆ เฉกเช่นฝูงผึ้ง หลังจากมองเห็นเงาร่างของกงอิ้นที่ก้าวออกมาอย่างสุขุม เสียงนั้นจึงหยุดลงฉับพลัน
เหยียลี่ว์ฉีโค้งกายเล็กน้อย ผู้คนที่เหลือหมอบคำนับสูงสุดแทบจะโดยพลัน
“คำนับราชครูฝ่ายขวา!”
กงอิ้นเพียงยกมือเล็กน้อยบอกใบ้ให้ลุกขึ้น เขายืนอยู่ตรงนั้นดุจภูผาหยกเสาหิมะตั้งตระหง่านสูงส่งไกลห่าง สายลมพัดพาแขนเสื้อสีขาวของเขาสะบัดพลิ้วปลิดปลิวดุจหงส์ขาว สูงศักดิ์เคร่งขรึมจนผู้ที่ก้มกรานใกล้ที่สุดยังมิกล้าสัมผัสชายผ้าของเขา
เพียงพริบตาหนึ่งนี้ เพียงเขายืนอยู่ตรงนั้น เรื่องเหลวไหลคลุมเครือฉากหนึ่งนั้นเมื่อครู่ดั่งถูกหิมะหนาทับถม ทุกผู้คนไม่กล้าแม้แต่จะย้อนระลึกถึงเรื่องล่วงละเมิดในจิตใจ ในจิตสำนึกหลงเหลือเพียงความหวาดกลัวและเคารพบูชาที่มีต่อบุรุษผู้กุมมหาอำนาจในฝ่ามือผู้นี้
จิ่งเหิงปัวสะบัดม่านรถออกเป็นเส้นตรง มองเห็นความเปลี่ยนแปลงก่อนหลังแตกต่างกันของสีหน้าทุกคนอย่างชัดเจน ทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างอิจฉา…นี่ถึงเรียกว่าสยบได้อยู่หมัดแท้จริง! ไปก่อกวนหน้าเว็บไป่ตู้รับรองว่าป้าตู้[1]ยังไม่กล้าทำกระทู้ปลิว! เมื่อไรที่นางมีอำนาจแม้ตอนไม่โกรธเคืองแบบนี้บ้างก็ดีสิ
ตอนปล่อยม่านรถลง นางมองเห็นใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีกะทันหัน เจ้าคนนี้กำลังเหลือบมองนางด้วยสายตาคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม สีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
จิ่งเหิงปัวส่งสีหน้านิ้วกลางห้อยลงครั้งหนึ่งให้เขาแล้วรีบเร่งเปลี่ยนเสื้อผ้า
ยามอู่จะต้องลงจากรถ ตนเองเดินผ่านพรมแดงสิบลี้ที่ปูเรียบร้อยแล้วเข้านคร ยอมรับเสียงโห่ร้องยินดี (หรือการมุงดู) ของราษฎร หลังจากนั้นเข้าสู่จัตุรัสอู่หมิงไถแห่งตี้เกอ ที่นั่นตระเตรียมปะรำพิธีไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ปะรำพิธีล้อมด้วยฉากกั้นหลากสี ตนเองจะอยู่ตรงนั้นยอมรับการทดสอบจากเหล่าขุนนางต้าฮวง ส่วนราษฎรกลับทำได้เพียงรอคอยรับฟังผลลัพธ์นอกฉากกั้นหลากสี แสดงถึงเกียรติภูมิของราชวงศ์
การจัดการแบบนี้ทำให้นางขมวดคิ้ว ด้วยแตกต่างจากแผนการในอุดมคติเล็กน้อย
เหลือเวลาอีกเค่อหนึ่งก่อนถึงยามอู่
จิ่งเหิงปัวเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยท่าทางร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ชุดพิธีการนี้รวมถึงส่วนลับป้องกันตัว กงอิ้นห้ามไม่ให้ใครช่วยเหลือนาง ชุดพิธีการก็หนัก เมื่อครู่นางยืดเหยียดร่างกายไปพอสมควรทำให้ดูมือไม้พันกัน ส่วนเอวมีขนาดใหญ่เกินไปหน่อย นางคิดเพ้อฝันอยากใช้กระดุมลับที่ซ่อนมีดลับกลัดไว้ ผลคือกระดุมลับค้าง มีดพุ่งออกมาใส่เข้าไปไม่ได้อีกแล้ว นางไม่อาจมีมีดเล่มหนึ่งโผล่ออกมาจากเอวตลอดเวลาได้จึงต้องเอามีดลับออกมา
ส่วนเอวที่เอามีดลับออกยิ่งหลวมมากขึ้น ตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจว่าแท้จริงแล้วมีดบางนั้นมีประโยชน์ในฐานะเข็มขัดเช่นกัน สายตามองเห็นชายกระโปรงหนาหนักกว้างใหญ่ ส่วนเอวยังแน่นไม่มากพอ นี่ถ้าตนเองสะดุดกระโปรง เกรงว่าคงต้องเดินเปลือย…
ตอนที่คิดแบบนี้นางลังเลเล็กน้อย อยากจะสวมใส่กางเกงแนบเนื้อของตนเองที่ถอดออกไปแล้ว เมื่อครู่นางถอดเปลี่ยนเป็นถุงน่องแล้วด้วยเพราะกระโปรงหนาเกินไป แต่ตอนนี้เสียงเคาะประตูรถดังขึ้น เสียงเหมิงหู่เจือความเร่งเร้าเอ่ยว่า “ฝ่าบาท เสร็จหรือยัง”
จิ่งเหิงปัวรีบเร่งตอบว่า “เสร็จแล้วๆ!” สวมรองเท้าที่มีกลไกเช่นกันคู่นั้นอย่างรีบเร่งไปพลาง กล่าวไปพลางว่า “ช่วยเรียกจิ้งอวิ๋นมาหาข้าหน่อย”
นางสวมรองเท้าไปพลาง เปิดกระเป๋าควานมั่วซั่วไปพลางระลอกหนึ่ง ควานของหลายสิ่งออกมาแล้วใช้ถุงผ้าใบหนึ่งซึ่งตระเตรียมไว้ใส่ให้เรียบร้อย ถือไว้ในมือมองดูรอบทิศ สุดท้ายตัดสินใจผูกไว้ที่เอว ชายชุดคลุมแผ่กว้างจนยัดเด็กหนึ่งคนเข้าไปยังมองไม่ออก
จิ้งอวิ๋นขึ้นรถมา จิ่งเหิงปัวกำลังคุกเข่าอยู่บนกระเป๋าหนังทับเสื้อผ้าของใช้ที่เละเทะสะเปะสะปะลงไป ปิดฝากระเป๋ารูดซิปกระเป๋าลวกๆ ครั้งหนึ่งแล้วส่งให้นาง กล่าวว่า “จิ้งอวิ๋น เดี๋ยวช่วยข้าถือหน่อย”
นางกลัวว่าสวมกระโปรงนี้อย่างสะเพร่าแล้วจะเกิดปัญหา ในกระเป๋ามีเข็มขัดหลายแบบและยังมีของหลายสิ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาเสื้อผ้าของใช้ได้ทันทีเตรียมไว้ใช้ทุกเวลา
เดิมทีเรื่องนี้ควรให้ชุ่ยเจี่ยทำ แต่หลังจากเรื่องราวครั้งก่อนที่ชุ่ยเจี่ยหลอกใช้นางแก้แค้น การไปมาหาสู่กันระหว่างทั้งสองคนมักจะอึดอัดอยู่บ้าง จิ่งเหิงปัวจนปัญญา บางครั้งจึงจำต้องขอร้องให้จิ้งอวิ๋นที่ป่วยไข้โซเซช่วยเหลือ
จิ้งอวิ๋นก้มหน้ามองดูกระเป๋า ลองยกขึ้น เอ่ยเสียงแผ่วเบาอ่อนแอว่า “ข้ากลัวว่าข้าจะถือไม่ไหว…”
“เช่นนั้นให้ชุ่ยเจี่ยช่วยเจ้าก็ได้” จิ่งเหิงปัวโบกมือด้วยท่าทีร้อนใจดั่งไฟแผดเผา
จิ้งอวิ๋นถือกระเป๋าลงไปให้ชุ่ยเจี่ย ราชรถเอนเอียงเล็กน้อยด้วยเพราะกำลังจะต้อนรับนางออกมาแล้ว จิ่งเหิงปัวรีบเร่งนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ภายนอกสงบเงียบอย่างยิ่งขึ้นมากะทันหัน แต่จิ่งเหิงปัวยังคงรู้สึกได้ถึงลมหายใจเกร็งแน่นของผู้คนนับไม่ถ้วนรอบด้านพาให้บรรยากาศผนึกแน่นทอดยาว…จนจินตนาการได้ว่า ตอนนี้ภายนอกคงจะมีผู้คนล้นหลามมืดฟ้ามัวดิน…
จิ่งเหิงปัวผู้ไม่อินังขังขอบรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
นางไม่อาจไม่ตื่นเต้น เด็กผู้หญิงทุกคนต่างมีความฝันที่จะเป็นเจ้าหญิง จิ่งเหิงปัวผู้ชอบความงามชอบความครึกครื้นชอบของสวยหรูทุกสิ่งให้ความสนใจกับความฝันแบบนี้เป็นพิเศษ ตอนยังอยู่ที่สถาบันวิจัย นางเคยเพ้อฝันว่าได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี เสพสุขจากความอิจฉาของผู้คนนับไม่ถ้วน ตอนทะลุมิตินางเคยเพ้อฝันว่าสร้างปาฏิหาริย์ ได้รับคำชมเชยจากผู้คนนับมิถ้วน แต่จินตนาการตามไม่ทันความประหลาดของความเป็นจริง คิดไปคิดมา คิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าพอเท้าถึงพื้นจะได้เป็นราชินีจริงๆ พอถึงตอนนี้ ผู้คนเรือนหมื่นออกจากตรอก เหล่าขุนนางต้อนรับแต่ไกล นางคือแสงรุ่งโรจน์ใจกลางสายตาทุกคู่
ขณะนี้ภายนอกยิ่งสงบเงียบ จิตใจของนางยิ่งตื่นเต้น ใจเต้นตึกตักขึ้นมา ความตื่นเต้นดีใจสอดประสานเข้ากับความอัดอั้นว้าวุ่นใจต่ออนาคต ปลายนิ้วสีขาวราวหิมะของนางสั่นไหวระริก
ข้างกายมีหนังสือพิธีการเล่มหนา สั่งสมกฎระเบียบที่นางต้องปฏิบัติตามหลังจากพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ นางไร้กะจิตกะใจเรียนรู้หนังสือที่หนาถึงหนึ่งนิ้วโดยสิ้นเชิง รู้เพียงว่าอีกเดี๋ยว เหมิงหู่จะสะบัดม่านรถออกรับนางลงจากรถ ประคองนางก้าวบนพรมแดงยาวเหยียด เยื้องย่างก้าวสำคัญก้าวหนึ่งของตนเองท่ามกลางสายตาของผู้คนนับมิถ้วน…
ทำไมเหมือนแต่งงานเลยล่ะ…
นางอยากมองเห็นกงอิ้นขึ้นมาทันที
ปรารถนาอย่างยิ่งขึ้นมาฉับพลันว่าให้เขาจูงนางไว้ เดินผ่านเส้นทางสลักสำคัญช่วงหนึ่งนี้ เดินบนแสงรุ่งโรจน์ครู่หนึ่งนั้นซึ่งเป็นของนาง
จากนั้นนางจึงถอนหายใจ
เป็นไปไม่ได้
กงอิ้นเป็นใครหรือ กษัตริย์ที่แท้จริงของต้าฮวงและผู้แรกที่กุมมหาอำนาจในฝ่ามือ วันนี้ไม่ใช่พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของราชินี ถ้าเขาละเลยเพียงน้อย ต่อให้ไม่เข้าร่วมยังไม่มีใครกล้าปฏิเสธสักคำ
อีกทั้งนางเองได้ยินมาว่าวันที่ราชินีองค์ก่อนขึ้นครองราชย์นั้น ว่ากันว่าเขาไม่ได้เข้าร่วม ขณะนี้พิธีเข้านครของราชินีที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเช่นนาง หากเขาอยากลดตัวถ่อมตนกระทำเรื่องนี้ที่ข้ารับใช้ควรทำ เกรงว่าผู้ใต้บัญชาของเขาย่อมไม่ยินยอม มิอาจนำการไม่ให้เกียรติราชินีหุ่นเชิดเช่นนางนี้ไปหักล้างเหตุผลของท่านราชครูโดยเด็ดขาด
ผ้าม่านพลันขยับขึ้นมาเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา
สีขาวราวหิมะ เรียวยาว เล็บดุจเปลือกหอย ทว่าไร้ซึ่งสีโลหิต
นอกผ้าม่านคล้ายมีเสียงสูดลมหายใจ
จิ่งเหิงปัวกลับกลั้นลมหายใจเสียแล้ว
นางจำมือข้างนี้ได้ มือนี้ไม่ใช่มือใหญ่โตที่เจือด้วยผิวหนังด้านหนาเล็กน้อยของเหมิงหู่!
นางเงยหน้าทันที ชะงักงันไปชั่วขณะ
เป็นไปได้เหรอ…
มือนั้นคลับคล้ายรำคาญขึ้นมาบ้าง หลังมือพลิกขึ้นมา นิ้วมือจิ้มลงไปด้านล่าง
ท่วงท่าหยิ่งทระนงคล้ายเอ่ยว่า “มนุษย์ผู้โง่เขลาเหตุใดเจ้าถึงอืดอาดเยี่ยงนี้ยังไม่ไสหัวออกมาอีก”
จิ่งเหิงปัวกัดริมฝีปากยิ้มแย้ม นัยน์ตาเปล่งประกายวาวแววแพรวพราวขึ้นมาทันที จากนั้นนางยื่นมือออกไปวางบนฝ่ามือของเขาอย่างแผ่วเบา
ฝ่ามือของเขาคล้ายชะงักไปเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นโอบกุมฝ่ามือของนางไว้ในฝ่ามือของตนอย่างอ่อนโยน
จิ่งเหิงปัวหายจากอาการตื่นเต้นทันที